ตอนที่ 400 รักษา

จีอู๋ซวงไม่มีทางยอมรับว่านอกจากสือชีผู้อายุน้อยและสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนที่ถูกยุยงไม่สำเร็จจึงไม่เคยบุกมารนหาที่ตาย คนที่เหลืออีกห้าคนล้วนเคยวิ่งมารนหาที่ตายที่หอเมามายแห่งนี้อยู่หลายครั้ง แน่นอนผลปรากฏว่าถูกจัดการจนสภาพอนาถอย่างยิ่ง

เขาเคยลอบสาบานว่าชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มาสถานที่บัดซบแห่งนี้อีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าเร็วขนาดนี้ก็ต้องกลับคำ

“เจ้าไก่เฒ่าเจ้าสั่นขาทำไม เจ้ากลัวใช่หรือไม่” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามอย่างแปลกใจ

“ใครกลัว” จีอู๋ซวงกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วกดขาขวาที่สั่นเอาไว้

ไม่นาน ขาซายก็เริ่มสั่นขึ้นมาด้วย…

จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยเดินขึ้นไปชั้นบน

บนหอเงียบกริบ เงียบสงัดยิ่งกว่าห้องโถงใหญ่ ทางเดินยาวเฟื้อยทอดตัวอยู่เบื้องหน้า ฝั่งขวาคือห้องที่บานประตูกับหน้าต่างปิดสนิท ฝั่งซ้ายเป็นราวกั้น มองจากราวกั้นลงไปสามารถเห็นได้ทั่วทั้งห้องโถงใหญ่

จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยเดินไปตามทางเดินยาว ไม่นานก็สุดราวกั้น สองฝั่งมีห้องอยู่

แสงสลัว ไอเย็นยะเยือกวนเวียนอ้อยอิ่งอยู่รอบด้าน

คนที่รู้เรียกมันว่าหอเมามาย แต่คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าเดินเข้ามาในยมโลก

“ผู้ใด” องครักษ์หนุ่มอายุราวสิบสี่ถึงสิบห้าปีคนหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวเบื้องหน้าจีหมิงซิว ก่อนจะขวางทางของจีหมิงซิวเอาไว้

จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “ข้ามาหาเจ้าหอของเจ้า”

องครักษ์หนุ่มตอบอย่างไม่เกรงใจ “เจ้าหอไม่อยู่ ตกกลางคืนถึงจะเปิดกิจการ เจ้าค่อยกลับมาตอนกลางคืนก็แล้วกัน!”

ในเมื่อติดตามนายท่านผู้หยิ่งยโสถึงเพียงนั้น ความโอหังขององครักษ์หนุ่มจึงมีมากตามไปด้วย

จีหมิงซิวไม่มีอารมณ์จะมาเปลืองคำพูดกับเขา เขากุมมือของเฉียวเวยอย่างแผ่วเบา มุกอสนีบาตเม็ดหนึ่งกลิ้งลงมาอยู่ในมือ

องครักษ์หนุ่มยังไม่ทันตอบสนองทันว่านั่นคือสิ่งใด จีหมิงซิวก็ซัดมุกอสนีบาตออกมาแล้ว

“อ้าก”

องครักษ์หนุ่มร้องเสียงหลง!

แต่ไม่ใช่เพราะถูกมุกอสนีบาตระเบิดใส่ แต่เพราะถูกพื้นรองเท้าข้างหนึ่งฟาดเข้าที่ศีรษะ คนทั้งตัวล้มหน้าคว่ำลงไปที่พื้น คางกระแทกจนเจ็บร้าว

แต่ก็เพราะเช่นนี้จึงหลบมุกอสนีบาตไปได้

มุกอสนีบาตร่วงลงไปในไหน้ำใบหนึ่ง เกิดเสียงระเบิดทึบตันดังขึ้นหนึ่งหน

ด้านในประตูมีเสียงเย็นๆ แฝงแววหยอกล้อเสียงหนึ่งดังขึ้นเรียบเรื่อย “เจ้าไม่กลับมาเป็นชาติแล้ว แต่มาถึงก็จะพังหอเมามายของข้าเลยหรือ”

องครักษ์หนุ่มลูบคางที่เจ็บเพราะล้มกระแทกกับหลังศีรษะที่ถูกพื้นรองเท้าฟาดจนบวมเป็นลูก แล้วถามอย่างหงุดหงิด “เจ้าหอรู้จักเขาหรือขอรับ”

น้ำเสียงเย็นชานั่นเอ่ยตอบ “คนรู้จักเมื่อนานมาแล้ว เจ้าขวางเขาไม่ได้หรอก ถอยไปเสียเถิด”

“ขอรับ!” องครักษหนุ่มถลึงตาใส่จีหมิงซิว แล้วถอยออกไปอย่างไม่พอใจ

จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยเดินเข้าไปในห้อง

ภายในห้องเย็นกว่าทางเดินอยู่สามส่วน แม้ไม่ถึงขั้นยามกลางวันมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า แต่ก็แทบจะมองเห็นหน้าตาของอีกฝ่ายที่ซ่อนอยู่ในเงามืดไม่ชัด เห็นแต่เพียงอาภรณ์สีแดงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นตามลำพัง ประหนึ่งดอกพลับพลึงแดงที่เบ่งบานอยู่บนหน้าผาของยมโลก งดงามทว่าเย็นชาอย่างที่สุด

เขายกสุราที่อุ่นเสร็จแล้วออกมาจากเตา “ไหนๆ ก็มาแล้ว นั่งเถิด”

จีหมิงซิววางเฉียวเวยลงบนเก้าอี้อย่างแผ่วเบา แล้วใช้ผ้าห่มผืนบางพับเป็นหมอนหนุนรองไว้ใต้ศีรษะของนาง ก่อนจะเดินมาหน้าโต๊ะน้ำชา คุกเข่านั่งลงฝั่งตรงข้ามกับบุรุษผู้นั้น

เขาทำเหมือนมองไม่เห็นเฉียวเวย รินสุราบ๊วยให้จีหมิงซิวหนึ่งจอก “เจ้ามาซื้อของหรือว่ามาขายของเล่า”

“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ข้ามาขอให้เจ้ารักษาคน” จีหมิงซิวตอบ

“สาวน้อยคนนั้นหรือ” เขาหันไปมองเฉียวเวยแวบหนึ่ง ในดวงตาไม่มีความประหลาดใจเท่าใดนัก คล้ายกับคิดอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งวันนี้ต้องมาถึง “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะไม่ทำงานอะไรให้เจ้าทั้งสิ้น”

จีหมิงซิวจ้องเขา “เจ้าบอกเงื่อนไขมา เจ้าต้องการสิ่งใด ข้าล้วนทำให้เจ้าสมปรารถนา”

เขาจิบสุราบ๊วยคำเล็กๆ “หากเมื่อสิบปีก่อนเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าอาจจะรับปาก แต่ตอนนี้ ข้าคิดตกแล้ว ข้าไม่มีสิ่งใดที่ต้องการอีกแล้ว ต่อให้เจ้าใช้ความตายมาข่มขู่ข้า อย่างมากที่สุดข้าก็แค่ลากเจ้าตายไปด้วยกันเท่านั้น”

จีหมิงซิวสีหน้าราบเรียบยามเอ่ยตอบว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นพวกใช้ไม้อ่อนด้วยได้แต่ใช้ไม้แข็งด้วยไม่ได้ ข้าไม่มีทางใช้ความตายมาข่มขู่เจ้า แต่เจ้าบอกมาก่อนว่าเจ้าช่วยนางได้หรือไม่”

สายตาของบุรุษผู้นั้นเลื่อนมาจับบนใบหน้าของเฉียวเวย พริบตาหนึ่งหลังจากนั้นก็ขานอืมตอบออกมาอย่างเฉยเมย “ถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้ายมา แม้จะตึงมืออยู่บ้าง แต่ถ้าอยู่ในมือข้าก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร”

กึก!

เสียงกระแทกเบาๆ ดังมาจากด้านนอก

เขาเอ่ยขึ้นว่า “พวกที่แอบฟังอยู่เข้ามาเถิด”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระแอม แล้วลากจีอู๋ซวงเข้าไปในห้อง

เมื่อครู่ได้ยินว่าเฉียวเวยถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้าย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ตกใจจนข้อศอกสั่นไปกระแทกถูกบานหน้าต่าง ถึงเกิดเสียงกระแทกเบาๆ นั่นขึ้นมา

เขาสาบานว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ข้อมูลเรื่องนี้น่าตกใจเกินไปแล้วจริงๆ

เขาไม่ได้ตกใจที่เจ้าหมอนี่รู้จักธนูจันทร์โลหิตได้อย่างไร ด้วยความสามารถของเจ้าหมอนี่ อยากรู้การเคลื่อนไหวในเมืองหลวงกับวังหลวงคงง่ายดายดุจพลิกฝ่ามืออยู่แล้ว

สิ่งที่เขาประหลาดใจก็คือเฉียวเวยถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้ายได้อย่างไรกัน ธนูจันทร์โลหิตอยู่ในหีบร้อยสมบัติของวั่งซูตัวน้อยในตระกูลจีชัดๆ หรือว่ามัน…จะถูกคนขโมยไปแล้ว

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพกความสงสัยเดินทางกลับไปตระกูลจีทันที ผลสุดท้ายปรากฏว่าธนูจันทร์โลหิตยังอยู่ เพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอม เขาจึงลองง้างมันด้วยมือตนเอง จนแน่ใจว่าไม่มีคนสับเปลี่ยนไป

หากเป็นเช่นนี้ก็แปลกแล้ว ธนูอยู่ที่ตระกูลจี ถ้าเช่นนั้นเฉียวเวยถูกธนูยิงจนบาดเจ็บได้อย่างไรเล่า

จะบอกว่าธนูจันทร์โลหิตถูกขโมยออกไป จากนั้นพอยิงเสร็จก็มีคนนำกลับมาวางไว้หรือ

หรือว่า…บนโลกนี้มีธนูจันทร์โลหิตสองคันจริงๆ

ยังไม่ต้องพูดถึงประวัติความเป็นมาของธนูคันนั้น แต่คนธรรมดาง้างมันไม่ได้เสียด้วยซ้ำ!

ไม่ต้องพูดถึงราชครูเยี่ยหลัว ตาเฒ่าคนนั้นตอนนี้ยังนอนรักษาตัวอยู่ในตำหนักฉางฮวนอยู่เลย เขาลงจากเตียงยังไม่ได้

“มารดามันสิ! ที่แท้เกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทุบกำปั้น

จีอู๋ซวงบอกอย่างมีสติ “เรื่องเหล่านี้ค่อยๆ สืบดูได้ เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือช่วยให้คนฟื้นขึ้นมาก่อน บางทีตอนนั้นฮูหยินน้อยอาจจะเห็นคนร้ายก็ได้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้าราวกับตำกระเทียม “ใช่ๆ! ช่วยคนก่อน!”

จีหมิงซิวหันไปมองเขา

เขาเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา “ข้าตกลงแล้วหรือว่าจะช่วยนาง”

จีหมิงซิวส่งสายตาให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวง ทั้งสองคนถอยออกไปอย่างรู้จักสถานการณ์ พวกเขาลงไปถึงห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งเพื่อรับประกันว่าจะไม่ได้ยินบทสนทนาด้านใน

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างหนักแน่น “เจ้ารักษานางให้หาย ข้ามอบอิสระให้เจ้า”

บุรุษผู้นั้นหัวเราะ “ชีวิตของนางมีค่าเท่ากับอิสระของข้าคนเดียวเองหรือ”

“เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีก” จีหมิงซิวถามเรียบๆ

เขายกมุมปากอย่างมีเลศนัย “หากข้าบอกเจ้าว่าข้าต้องการกระบี่โหราจารย์ เจ้าจะตัดใจ…”

พูดยังไม่ทันจบ จีหมิงซิวก็ดึงกระบี่โหราจารย์ที่ซุกอยู่ในผ้าห่มผืนบางที่ห่อตัวเฉียวเวยออกมา แล้ววางตรงหน้าเขาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ยังต้องการสิ่งใดอีก”

เขามองมาทางจีหมิงซิวคล้ายไม่อยากเชื่อนัก ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยิ้มจางๆ แล้วบอกอย่างตรงไปตรงมา “ยังต้องการกระสายยาอย่างหนึ่ง”

“กระสายยาอันใด” จีหมิงซิวถาม

“โลหิตของโหราจารย์” เขาวางมีดสั้นเล่มหนึ่งกับชามเปล่าใบหนึ่งไว้ข้างมือของจีหมิงซิว

จีหมิงซิวพับแขนเสื้อแล้วหยิบมีดสั้นขึ้นมาจะกรีดลงบนข้อมือของตัวเอง

“โลหิตจากหัวใจ” เขาเอ่ยทัก

จีหมิงซิวชะงักมือที่กำลังจะกรีดบนข้อมือแล้วปล่อยแขนเสื้อลงเงียบๆ จากนั้นจึงแหวะอกเสื้อออก ปักมีดเข้าไปที่หัวใจของตนเอง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรออยู่ที่ชั้นล่างอยู่นาน แต่ไม่เห็นจีหมิงซิวออกมาสักทีก็ร้อนใจดังไฟลน เขาวิ่งตึงตังขึ้นไปด้านบนอีกครั้ง ทันทีที่เข้าไปในห้องก็เห็นจีหมิงซิวคู้ตัวอยู่ มือซ้ายคล้ายจะกุมหน้าอก มือขวายันโต๊ะน้ำชา ข้างมือของเขาคือมีดเปื้อนเลือดเล่มหนึ่ง

ภายในห้องมีกลิ่นเลือดคละคลุ้งอบอวล

เขาเดินอ้อมร่างจีหมิงซิวมาดูด้านหน้า ในพริบตานั้นเขาพลันตาค้าง!

จีหมิงซิวเหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วร่าง ตรงขมับมีเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วผุดพรายออกมาหยดแล้วหยดเล่า ดวงหน้างามดั่งหยกซีดเผือดไร้สีเลือด แม้แต่ริมฝีปากก็ซีดจนกลายเป็นสีขาว

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไฟโทสะลุกสามจั้งทันควัน “เจ้าไอ้ลูกเต่า! เจ้าทำอะไรกับนายน้อย!”

เขาตอบว่า “ไม่ได้ทำอะไร แค่เอาเลือดหัวใจของโหราจารย์มาชามหนึ่งก็เท่านั้น”

“รักษาคนป่วยต้องใช้เลือดหัวใจของโหราจารย์ด้วยหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคำราม

เขาตอบตามอย่างตรงไปตรงมาไม่ปิดบังสักนิด “ไม่ใช่นางจะใช้ ข้าจะใช้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโกรธจนจะไม่ไหวแล้ว “เจ้าจะเอาโลหิตหัวใจของนายน้อยไปทำอะไร”

เขาถอนหายใจเบาๆ “ล้างความแค้นในใจหลายปีที่ผ่านมานี้อย่างไรเล่า”

กล่าวจบก็เทโลหิตหัวใจครึ่งชามที่เกือบจะพรากชีวิตของจีหมิงซิวไปนั่นลงไปในกระถาง รดน้ำดอกกุหลาบพันปีสีแดงอันงามเย้ายวนดอกนั้นต่อหน้าต่อตาจีหมิงซิวอย่างไม่เกรงใจสักนิด

สิ่งที่เรียกว่าวิญญูชนแก้แค้นสิบปียังไม่สายก็คงเป็นเช่นนี้เอง

ยามนั้นจีหมิงซิวทำร้ายผู้อื่น ยามนี้เมื่อตกอยู่ในมือของผู้อื่น จะถูกทำร้ายกลับบ้างก็สมควรแล้ว หากไม่เป็นเช่นนี้ผู้คนจะกล่าวกันว่าเวรกรรมย่อมตามสนอง สวรรค์ไม่ละเว้นผู้ใดหรือ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะกดกลั้นอารมณ์ไม่เก่งถึงเพียงนั้น เขาเกือบจะลงมือกับอีกฝ่ายแล้ว แต่จีอู๋ซวงพุ่งขึ้นมาชั้นบนได้ทันเวลา ขวางเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาไว้ได้ทัน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดือดดาล “เจ้าถอยไป! วันนี้ข้าต้องได้สั่งสอนเขาสักยก!”

เขาเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “นางมีเวลาเพียงสิบสองชั่วยาม หากพ้นสิบสองชั่วยามไปแล้ว ต่อให้จักรพรรดิสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์ก็ไร้ทางช่วย ตอนนี้นางถูกทำร้ายมาเกินหนึ่งชั่วยามแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเปลืองเวลาสู้กับข้าอีก”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกดโทสะที่ลุกโชนกลับลงไปในหัวใจ

มารดามันสิ ข้าทนก็ได้!

รอแม่หนูหายดีแล้ว คอยดูเถิดท่านปู่คนนี้จะจัดการเจ้าอย่างไร!

เขาหยิบร่มคันหนึ่งขึ้นมาแล้วเดินออกไปด้านนอกอย่างเชื่องช้า

“รอก่อน ข้ามีคำถามหนึ่งข้อ” จีอู๋ซวงเรียกเขาไว้ “ทั้งที่ถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้ายเหมือนกัน เหตุใดอาการของนางกับราชครูจึงไม่เหมือนกัน”

แม้จีอู๋ซวงไม่ได้เห็นอาการบาดเจ็บของราชครูด้วยตาตนเอง แต่สำนักหมอหลวงทั้งสำนักต่างพูดกันทั่วว่าราชครูบาดเจ็บภายในอาการสาหัสอย่างยิ่ง แต่เฉียวเวยกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางดูเหมือนไม่บาดเจ็บอะไรทั้งสิ้น แม้แต่บาดแผลภายนอกก็ไม่มีให้เห็น

เขาตอบว่า “ราชครูบาดเจ็บที่ร่างกาย แต่นางบาดเจ็บที่วิญญาณ แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนกัน รีบหน่อยเถิด สภาพของนางพิเศษมาก หากช้ากว่านี้อาจจะไม่ทันกาลแล้วจริงๆ”