ตอนที่ 401-2 สับประยุทธ์สี่ทิศ
เวลานี้ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว บนท้องนภายามรัตติกาลมีเมฆสีดำลอยขมุกขมัว ไม่เห็นดวงจันทร์หรือดวงดาวสักดวง องครักษ์หนุ่มจุดคบเพลิงรอบด้านสองสามอัน แล้วปักตรงตำแหน่งต่างๆ พื้นที่ว่างแห่งนั้นจึงมีแสงไฟส่องสว่างไสว
แสงเปลวเพลิงส่องกระทบใบหน้าของทุกคน สายลมโชยพัดแผ่วเบา แสงไฟเดี๋ยวจ้าเดี๋ยวสลัว ทำให้ใบหน้าของทุกคนเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด
“ได้แล้ว อุ้มนางมาเถิด” ชายหนุ่มหันไปมองรถม้าพลางเอ่ยบอก
จีหมิงซิวอุ้มเฉียวเวยเข้ามา
“ไปนั่งด้านใน” เขาออกคำสั่ง
จีหมิงซิวนั่งขัดสมาธิบนพื้น ให้เฉียวเวยนั่งอยู่ในอ้อมแขนของตนเอง เขาเอื้อมมือไปรวบเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของนางไปไว้หลังใบหู มือจึงสัมผัสถูกใบหน้าของนางอย่างไม่ตั้งใจ อุณหภูมิเย็นเฉียบนั่นทำให้แววตาของจีหมิงซิวมืดหม่นขึ้นหนึ่งส่วน
ชายหนุ่มหมุนตัวไปมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับอีกสองคนที่เหลือแล้วบอกว่า “ข้าจะเริ่มวาดยันต์แล้ว ระหว่างขั้นตอนนี้ผู้ใดก็ห้ามรบกวนข้า หากมีคนไม่มีตาคนไหนบุกมา พวกเจ้าคงรู้ว่าต้องทำเช่นไร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคิดในใจ เจ้าเลี้ยววกไปวนมามากมายหลายหนขนาดนั้น แม้แต่ลายังเลี้ยวตามจนเวียนหัว ยังจะมีผู้ใดตามเข้ามาได้อีก เลิกคิดมากแล้วรีบทำงานเข้าเถิดเจ้าหนู!
ทว่าความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าชายหนุ่มไม่ได้คิดมากเกินไปแต่อย่างใด เขาเพิ่งจะหยิบกระดาษยันต์ออกมายังไม่ทันวาดได้ถึงสองขีด ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวผิดปกติดังขึ้นไม่ไกล
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงระแวดระวังอย่างรวดเร็ว แม้แต่องครักษ์หนุ่มท่าทางปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนั้นก็ชักกระบี่อ่อนตรงเอวออกมาเช่นกัน
เสียงดังมาจากสามทิศทางต่างกัน ใบไม้ส่งเสียงดังแสกสาก ฝูงวิหคตื่นร้อง กระพือปีกโผบินขึ้นบนอากาศ
สัญชาตญาณของผู้ฝึกยุทธ์ทำให้จีอู๋ซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนที่มาไม่ใช่มิตร”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ท่องยุทธภพมาเนิ่นนานถึงเพียงนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงว่าดวงตาคู่นี้ของเขาไม่เคยมองผิด แต่ไอสังหารรุนแรงถึงขนาดนี้ ทำอย่างไรก็คงมองข้ามไม่ได้
สิ่งที่แปลกก็คืออีกฝ่ายตามหาที่แห่งนี้พบได้เช่นไร เขาแน่ใจว่าระหว่างทางที่พวกเขามาไม่มีผู้ใดจับจ้องอยู่ คำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คืออีกฝ่ายล่วงรู้อยู่ก่อนแล้วว่าพวกเขาจะมาปรากฏตัวที่นี่ “เจ้าลูกเต่า เจ้าไม่ได้ปูดเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
ชายหนุ่มแค่นเสียงหยันเบาๆ “นางถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้าย ต้องหาสถานที่อันมีพลังหยินเข้มข้นที่สุดเพื่อรักษา เรื่องนี้เดายากมากนักหรือไร”
ที่เขาว่ากันว่าอยู่กันคนละวงการเหมือนอยู่กันคนละโลกก็คงเป็นเช่นนี้สินะ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เข้าใจเรื่องวุ่นวายเหล่านี้สักนิด แต่มีจุดหนึ่งที่เขาฟังเข้าใจ นั่นก็คืออีกฝ่ายทราบว่าเฉียวเวยถูกธนูจันทร์โลหิตทำร้าย ข้อมูลนี้พวกเขาไม่ได้แพร่งพรายออกไปข้างนอก นอกเสียจากตัวผู้ร้ายเอง เขาก็คิดไม่ออกแล้วว่ายังจะมีผู้ใดตามหาที่นี่พบได้อีก
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านหัว ความลังเลเสี้ยวสุดท้ายของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็มลายหายไป ห้านิ้วรวบเข้าหากันซัดมีดบินสี่เล่มออกไปดัง ฟิ้ว!
“อ้าก!”
เสียงกรีดร้องดังออกมาจากในป่าฝั่งตรงข้าม
แต่คนกลุ่มนั้นเห็นชัดว่าไม่ใช่สัตว์กินพืช คาดเดาจากเสียงน่าจะมีเพียงคนเดียวที่ถูกมีดบินเล่นงาน แล้วก็ไม่รู้ว่าตายหรือยัง
เป็นกลุ่มศัตรูที่ตึงมือจริงๆ!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชักอาวุธลับชุดใหม่ออกมาอีก แต่หนนี้เขาไม่รีบร้อนลงมือแล้ว เขารอให้คนกลุ่มนั้นพุ่งออกมาจากป่าก่อน แล้วจึงใช้กำลังภายในซัดอาวุธลับออกไป
กลีบดอกไม้นับไม่ถ้วนปลิวว่อนลงมาทั่วฟ้า บ้างจับกลุ่มบ้างกระจายตัว สีชมพูราวกับกลีบดอกท้อปนดอกสาลี่ ชั่วพริบตานั่นโลกทั้งใบดูละมุนขึ้นมาทันตา
มือสังหารที่ตั้งกระบวนทัพสังหารพุ่งออกมากลุ่มนั้นเห็นกลีบดอกไม้เหนือศีรษะก็ชะงักไปจังหวะหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ช่วงที่เผลอเสียสมาธิเพียงหนึ่งจังหวะนั่นเอง จู่ๆ กลีบดอกไม้เหล่านั้นก็ราวกับหยุดค้างอยู่กลางอากาศแล้วส่งเสียงดังกึก ก่อนจะปริแยกออกจากกันในชั่วพริบตา เผยให้เห็นเข็มเงินที่ตกลงมาประหนึ่งสายฝน ปักลงบนหน้าอกของพวกเขาทุกคนอย่างอันตราย!
หลายคนทรุดฮวบลงบนพื้น!
มือสังหารที่เหลือต่างโกรธเกรี้ยวพากันชักกระบี่ยาวออกมาพุ่งเข้าใส่พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
อาวุธลับของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหมาะกับการโจมตีระยะไกล การต่อสู้ประชิดตัวต้องขับเคี่ยวกันด้วยฝีมือ
กลุ่มคนเข้าประหัตประหารกันอย่างรวดเร็ว
คนกลุ่มนี้มีจำนวนราวยี่สิบคน ดูเหมือนเป็นมือสังหารมืออาชีพ คนที่ทำงานในวงการลอบสังหารไม่ได้มีเพียงพรรคโลหิตพิฆาตเพียงพรรคเดียว แต่จะมีผู้ใดเล่ากล้ารับงานลอบสังหารหัวหน้าพรรคของพรรคโลหิตพิฆาตกับอัครมหาเสนาบดีของยุคนี้
จีอู๋ซวงฟันดาบฉับเดียวก็จัดการมือสังหารที่กำลังจะลอบจู่โจมเยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้สำเร็จ เขาบอกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยว่า “พวกนี้เป็นคนเยี่ยหลัว!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกเท้าถีบมือสังหารที่พุ่งเข้ามาหาองครักษ์หนุ่มออกไป “มารดามันเถอะ! มิน่าฮ่องเต้เฒ่าถึงอยากจะกำจัดพวกเขา! ท่านปู่คนนี้ก็เริ่มอยากทำอย่างนั้นขึ้นมาแล้วเหมือนกัน!”
คนกลุ่มนี้จะว่าจำนวนมากก็มาก แต่ฝีมือไม่ได้สูงส่งอะไรนัก พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยสามคนร่วมมือกันไม่นานก็กำจัดคนกลุ่มนี้จนหมด
แต่หากคิดว่าทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ไร้เดียงสาเกินไป
กลับตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ มือสังหารตัวจริงที่มาลอบสังหารเพิ่งจะโผล่มาเปิดม่านปฐมบท
มือสังหารสองกลุ่มทยอยพุ่งออกมาจากป่าสองฟากฝั่ง มือสังหารกลุ่มหนึ่งเคยประมือกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมาแล้ว พวกเขาคือลูกน้องของชางจิว คนกลุ่มนี้วรยุทธ์ไม่อ่อนด้อย อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่ากลุ่มเมื่อครู่อยู่มาก ส่วนมือสังหารที่โผล่มากลุ่มหลังสุด…ทำให้คนขวัญผวาอยู่เล็กน้อย
บนหน้าของพวกเขาแต่ละคนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย แววตาเย็นชาแข็งกร้าวดุจคมดาบ อาวุธลับที่แฝงพิษร้ายของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยโจมตีลงบนร่างของพวกเขา แต่พวกเขากลับชักดาบพุ่งเข้ามาหาเหมือนไม่เป็นอันใดทั้งสิ้น
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้ว “แย่แล้ว! นั่นพวกนักรบมรณะ!”
เมื่อได้ยินคำว่านักรบมรณะ จีอู๋ซวงก็หน้าซีด สือชีก็เป็นนักรบมรณะ สือชีแข็งแกร่งมากเพียงใด เพียงนึกดูก็ชวนให้คนหวั่นใจ ตอนนี้มีคนที่เหมือนสือชีโขยงหนึ่งบุกเข้ามา นี่สวรรค์คิดจะให้พวกเขาตายหรืออย่างไรกัน!
ลูกน้องของชางจิวมีทั้งหมดสิบคน นักรบมรณะมีแปดคน แต่ละคนไม่ว่าจะเลือกผู้ใดล้วนเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในหมู่อันดับหนึ่งของยุทธภพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักรบมรณะกลุ่มนี้ พวกเขาร้ายกาจยิ่งกว่านักรบมรณะที่เคยประลองกับเฉียวเวยก่อนหน้านี้ถึงสามส่วน!
พวกเขามีเพียงสามหัวหกกร ยามอยู่ต่อหน้ากลุ่มคนที่ร้ายกาจมากถึงเพียงนี้ย่อมไม่มีค่าพอให้มองสักนิด
เพียงแต่ว่าไม่มีค่าพอให้มองแล้วอย่างไร ก็ยังต้องกัดฟันสู้อยู่ดี
อีกฝั่งหนึ่งชายหนุ่มวาดกระดาษยันต์ไปได้ครึ่งแผ่นแล้ว
นักรบมรณะคนหนึ่งที่สลัดเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจนหลุดวิ่งเข้ามา ในมือเขาถือดาบเล่มใหญ่ฟันเข้าใส่ศีรษะของชายหนุ่มอย่างไม่พูดพร่ำให้เสียเวลา
ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะหนังตากระตุกสักนิด เขาคว้าชาดกำหนึ่งสาดออกไป
นักรบมรณะคนนั้นเหมือนถูกกรดเข้มข้นสาดใส่ เขากุมหน้าล้มลงกับพื้นในบัดดล
นักรบมรณะอีกคนหนึ่งพุ่งเข้าใส่เฉียวเวยที่อยู่ในอ้อมแขนของจีหมิงซิว
จีหมิงซิวเอาเยี่ยงอย่าง คว้าชาดบนพื้นแล้วสะบัดแขนเสื้อ ไล่นักรบมรณะให้ถอยกรูดไปด้านหลัง!
หลังจากค้นพบว่าสองคนนี้จัดการไม่ง่าย คนสองกลุ่มจึงเปลี่ยนยุทธวิธี ปล่อยให้มือสังหารจู่โจมพวกจีหมิงซิวเป็นหลัก ส่วนนักรบมรณะล้อมพวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไว้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว เขาจึงกระโจนขึ้นไปบนรถม้า คว้าหน้าไม้โยนไปให้จีหมิงซิว
จีหมิงซิวยิงหน้าไม้ดอกหนึ่งสวนกลับไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ย เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตกใจนตาเบิกค้าง!
กำลังคิดจะตะโกนถามว่า ท่านผีเข้าหรืออย่างไร ข้าโยนหน้าไม้ให้ท่าน แต่ท่านกลับมายิงข้า
คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ลูกดอกก็วิ่งเฉียดผ่านใบหูขวาของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตัวสั่นสะท้านวูบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลัง
เมื่อเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหันกลับไปเห็นมือสังหารที่กองอยู่บนพื้น เขาก็ตบหน้าอกเบาๆ พลางนึกหวาดกลัวย้อนหลัง
ไม่อาจไม่บอกว่านักรบมรณะกลุ่มนี้ตึงมืออย่างยิ่ง แม้ชาดจะข่มพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ไม่โง่ เมื่อพรรคพวกคนหนึ่งถูกเล่นงาน พรรคพวกสองคนถูกเล่นงาน พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าต้องหลีกเลี่ยงของสิ่งนี้
องครักษ์หนุ่มกอดกระปุกชาดเอาไว้ สาดอยู่ตั้งนาน แต่สาดไม่ถูกแม้แต่ขนสักเส้น
ต่อสู้กันอยู่พักหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงก็สะบักสะบอมไปทั่วร่าง ส่วนฝั่งจีหมิงซิว ลูกดอกของหน้าไม้ก็ถูกใช้หมดไปทีละดอกๆ
หากต่อสู้เช่นนี้ต่อไป ช้าเร็วพวกเขาต้องถูกเจ้าพวกนี้ฉีกเป็นชิ้นๆ แน่
“ยังอีกนานเท่าไรฮะ เจ้าลูกเต่า!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตะโกนลั่น
ชายหนุ่มตั้งอกตั้งใจวาด พลางตอบเสียงเบา “ใกล้แล้ว อย่าเอะอะหนวกหู”
“อ้ากกก” มือสังหารคนหนึ่งเงื้อกระบี่ฟันใส่ชายหนุ่มพร้อมเสียงคำราม ในตอนที่กระบี่ใกล้จะฟันถูกเขานั่นเอง จู่ๆ ร่างของอีกฝ่ายก็ชะงักนิ่ง
มือสังหารก้มลงมองก็เห็นร่มกระดาษคันหนึ่งดันอยู่ที่ท้องของตนเอง เขาแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน สองมือกับกระบี่ชั้นเลิศ หมายจะฟันร่มอันขัดหูขัดตาคันนี้ให้ขาดเป็นสองเสี่ยง ทว่าเขาเพิ่งจะเงื้อมือขึ้นก็มองเห็นโลหิตทะลักออกมาจากท้องของตัวเอง
เขาหันกลับไปด้านหลังอย่างมึนงง ก่อนจะเห็นว่าแผ่นหลังของตนมีปลายดาบแหลมคมช่วงหนึ่งทะลุออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
เขาคลายมือออก กระบี่ร่วงตกลงบนพื้น
“ก็บอกว่าอย่าเสียงดัง” ชายหนุ่มดึงร่มกลับมาโดยไม่หันไปมองแม้แต่น้อย ส่วนมือสังหารล้มลงไปนอนจมกองเลือด