ตอนที่ 403 หวนพบหลังพลัดพรากหวานล้ำกว่าข้าวใหม่ปลามัน
“ยอม”
ใจกว้างขนาดนี้กลับทำให้เฉียวเวยขัดเขิน แต่ขัดเขินก็ส่วนขัดเขิน ส่วนที่สมควรขยำก็ต้องขยำเสียหน่อย
เฉียวเวยขยำเนื้อบนก้นของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีแรงๆ สองสามที นางบีบเพลินมืออย่างพออกพอใจ สมใจอยากอย่างยิ่ง!
จีหมิงซิวอมยิ้มมองนาง
เฉียวเวยบังเอิญเผลอมองเข้าไปในดวงตาของเขา จนถูกสายตาร้อนแรงทำเอาร้อนผ่าวขึ้นมาเล็กน้อย นางหลุบตาลง กระแอมไอหนึ่งหนแล้วพึมพำว่า “เหตุใดจึงมองข้าเช่นนี้ ทำเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นนั้นแหละ”
“เพราะข้ารักเจ้า” จีหมิงซิวตอบเบาๆ
เป็นสามีภรรยากันมาตั้งนานแล้วยังจะมาบอกรักอะไรอีก กลางวันแสกๆ เอาความจริงมาพูดเช่นนี้จะดีหรือ เฉียวเวยกดมุมปากที่ยกโค้งขึ้นมาลงไปอีกครั้ง “กินน้ำตาลมาหรือไร ปากจึงหวานเช่นนี้”
จีหมิงซิวไม่เอ่ยอะไร ริมฝีปากยกโค้งนิดๆ จับปลายคางคมสวยของนางมาประทับจุมพิตบนริมฝีปากแดงนุ่มนิ่มของนางเบาๆ
จุมพิตผะแผ่วประหนึ่งแมลงปอแตะผิวน้ำ มิได้มีความใคร่ผสมอยู่ด้วยแม้แต่น้อย แต่สัมผัสอันอ่อนโยนและอบอุ่นกับแววตารักใคร่อาลัยอาวรณ์ทำให้ดวงใจของเฉียวเวยเต้นตึกตัก
“ไม่ต้องมองแล้ว”
ในที่สุดเฉียวเวยก็ถูกเขามองจนทนไม่ไหว ยกกำปั้นน้อยขึ้นมาทุบหน้าอกของเขาเบาๆ
คิดไม่ถึงว่ากลับไปทุบถูกแผลของเขาอย่างไม่ตั้งใจ เขาครางทุ้มออกมาคำหนึ่ง
เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นอย่างฉับไว แล้วก็พบว่าใบหน้าของเขาซีดเผือดไปหมด
เฉียวเวยหัวใจกระตุก “ท่านเป็นอะไรไป”
จีหมิงซิวตอบเสียงอ่อนโยน “ไม่มีอะไร”
“ยังจะมาไม่มีอะไรอีก ท่านเลือดออกหมดแล้ว!” หัวหน้าพรรคเฉียวกระชากเสื้อของสามีตัวเองออก พอเห็นผ้าพันแผลที่ถูกโลหิตย้อมเป็นสีแดงพันอยู่รอบหน้าอก คิ้วก็ขมวดเป็นปม “ไอ้สารเลวคนไหนทำ!”
“ฮัดเช้ย!” ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีจาม
เฉียวเวยลุกขึ้นมานั่ง นางหันไปมองห้องที่ดูโบราณแต่แปลกตาอย่างยิ่งแล้วถามว่า “นี่คือที่ใด ข้าเหมือนจะไม่เคยมานะ”
“เจ้าเคยมาแล้ว” จีหมิงซิวตอบ
“อย่างนั้นหรือ” เฉียวเวยลุกขึ้นมาจากตัวเขาแล้วกระโดดลงจากเตียง สวมรองเท้าก่อนจะเดินออกไปเปิดประตู จากนั้นก็มองเห็นห้องโถงใหญ่คุ้นตา การตกแต่งของห้องโถงใหญ่แห่งนี้กล่าวไม่ได้ว่าหรูหรา แต่ก็ทำให้คนเห็นผ่านตาไม่ลืมเลือน “ท่านพูดถูกแล้ว ข้าเคยมาจริงๆ หนก่อนข้าซื้อชาดจากที่นี่! เหตุใดพวกเราจึงมาค้างแรมอยู่ที่นี่ได้ ไม่ใช่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับนายท่านของที่แห่งนี้ไม่ค่อยดีนักหรือ”
จีหมิงซิวตอบเบาๆ “เล่าแล้วก็ยาว”
เฉียวเวยปิดประตู แล้วหมุนตัวกลับมาจ้องเขา “หลังจากข้าถูกธนูจันทร์โลหิตยิงแล้วเกิดเรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้ใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวไม่อยากให้นางกังวลใจ ชั่วขณะหนึ่งจึงไม่รู้ว่าจะเปิดปากอย่างไรดี
“ช่างเถิด ท่านบาดเจ็บอยู่ พูดให้น้อยหน่อยก็ดี ข้าจะไปหายามาให้ท่านสักหน่อย!”
เฉียวเวยพูดพลางก็เปิดประตูเดินออกไป
จีหมิงซิวเห็นนางเดินฉับๆ ประหนึ่งพายุก็มั่นใจว่านางหายดีแล้วจริงๆ ก้อนหินใหญ่ในหัวใจถูกยกออก ตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าของร่างกาย ความเหน็ดเหนื่อยมหาศาลโถมเข้าใส่ทำให้เขาต้องปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งลง
เฉียวเวยไปเอาล่วมยาจากจีอู๋ซวงมาได้ก็เห็นว่าจีหมิงซิวหลับไปแล้ว สีหน้ายังไม่ค่อยดีนัก นางนั่งลง ยื่นมือออกไปจับชีพจรของเขา ชีพจรแผ่วเบาอยู่บ้าง นางปลดผ้าพันแผลดูบาดแผลของเขาต่อ บาดแผลถูกจีอู๋ซวงเย็บปิดไปแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าเพราะเหตุผลอันใดมันจึงปริออกมาอีก มีร่องรอยของการเย็บปิดซ้ำสองปรากฏอยู่
นางช่างไร้เดียงสาที่คิดจริงๆ ว่าตนเองไม่เป็นอะไร หลังจากนางถูกยิงคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นไม่น้อย
เฉียวเวยทายาให้จีหมิงซิวแล้วเปลี่ยนผ้าพันแผล เขายังหลับสนิทอยู่ ขยับตัวมากมายขนาดนี้ก็ยังไม่ตื่น เห็นชัดว่าเขาเหนื่อยล้าถึงขีดสุดแล้ว
เฉียวเวยห่มผ้าให้เขาจนเรียบร้อย จากนั้นจึงเก็บข้าวของเดินไปที่ห้องของจีอู๋ซวง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้ยินเสียงก็ทราบว่าเฉียวเวยตื่นแล้ว เขาเลิกนอนแล้วรีบวิ่งมาหาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะจับหัวไหล่ของเฉียวเวยแล้วมองสำรวจเฉียวเวยตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ “หายดีแล้วจริงหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า “หายดีแล้ว !”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอุทานโอ้โฮอยู่ในใจ
หายดีเร็วกว่าราชครูมากนัก ดูท่าเจ้าเด็กคนนั้นจะไม่ได้หลอกพวกเขา เขารักษานางให้หายดีได้จริงๆ!
แต่พูดไปแล้วไม่ใช่เพราะร่างกายของแม่หนูคนนี้แข็งแกร่งเกินใครหรอกหรือ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอดไม่ได้นึกถึงเรื่องที่เฉียวเวยกินยาห้าทิวาสราญที่ล้มช้างได้ทั้งตัวแล้วยังกระโดดโลดเต้นได้ขึ้นมา จากนั้นก็เศร้าใจแทนคนที่ยิงธนูคนนนั้น
เฉียวเวยหายดีเร็วจนแม้แต่จีอู๋ซวงยังต้องถอนหายใจด้วยความพิศวง คืนก่อนหน้านี้เฉียวเวยยังเฉียดใกล้ความตายเพียงเส้นกั้นอยู่เลย ต่อให้หายดีแล้วก็สมควรนอนอยู่บนเตียงสักสิบวันครึ่งเดือนถึงจะถูก แต่พอจีอู๋ซวงนึกถึงร่างกายที่ผิดมนุษย์ของเฉียวเวยขึ้นมาได้ เขาก็รู้สึกว่าหากนางต้องนอนติดเตียงนั่นสิถึงจะแปลก
เฉียวเวยคืนล่วมยาให้กับจีอู๋ซวง แล้วฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังนางได้รับบาดเจ็บจากทั้งสองคน
นางมาถามพวกเขาที่นี่ ย่อมหมายความว่าจีหมิงซิวยังไม่ได้อธิบายให้นางฟัง เรื่องที่นายน้อยไม่ปรารถนาจะให้นางรู้ จีอู๋ซวงย่อมไม่ต้องการจะปากมาก แต่เขาไม่อาจปิดปากบอนๆ ของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้ เฉียวเวยเรียกลุงเยี่ยนสองคำ เขาก็สาธยายออกมาประหนึ่งเทกระจาดเมล็ดถั่ว เรื่องอะไรสารพัดสารเพก็เล่าให้เฉียวเวยฟังจนหมดสิ้น
“…สรุปก็เป็นเช่นนี้ เพื่อรักษาเจ้า เจ้าเด็กนั่นจึงยกกระบี่โหราจารย์ให้ผู้อื่นไปแล้ว! และยังกรีดโลหิตหัวใจตัวเองออกมาชามใหญ่อีกด้วย!”
ความจริงแค่ครึ่งชาม แต่เรื่องเช่นนี้น่ะ เล่าเกินจริงสักหน่อยก็ไม่ผิดหรอก!
จริงอย่างที่คาดเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นเฉียวเวยสีหน้าเย็นชาขึ้นมาทันควัน
จีอู๋ซวงถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “เจ้าหยุดยุยงนางให้ไปสั่งสอนคนแทนเจ้า เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดติดค้างผู้ใดทั้งนั้น ในใจเจ้ารู้ดี!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ถูกเปิดโปงแผนการร้ายเล็กๆ ในใจสะบัดหน้าหนีอย่างคับแค้น
เฉียวเวยรู้เรื่องราวของคนผู้นั้นไม่มาก นางเคยได้ยินจากปากเยี่ยนเฟยเจวี๋ยมานิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น จีอู๋ซวงกลัวว่านางจะทำเรื่องผิดพลาดเพราะความโมโห จึงเล่าบุญคุณความแค้นระหว่างคนผู้นั้นกับจีหมิงซิวให้ฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
ความจริงก็คือจีหมิงซิวรู้จักกับเขาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว เวลานั้นจีหมิงซิวยังไม่ใช่อัครมหาเสนาบดี เขายังไม่ทันเข้ารับราชการเป็นขุนนาง ทุกวันท่องอยู่ในยุทธภพ มีครั้งหนึ่งบังเอิญมีโอกาสรู้จักกับนักพรตเทพผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในยุทธภพ
นักพรตเทพแต่เดิมมิได้นามนี้ แต่เพราะเขาเชี่ยวชาญวิชาประหลาดพิสดารและวิชาทำนาย รอบรู้กว้างขวาง ผู้คนในยุทธภพจึงมอบคำเรียกขานนี้ให้แก่เขา
นามแท้จริงของเขาคืออะไร มีไม่กี่คนที่ล่วงรู้
เฉียวเวยเองก็ไม่ใส่ใจ นางเพียงอยากรู้ว่าหมิงซิวกับนักพรตเทพผู้นี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่
จีหมิงซิวได้รู้จักกับนักพรตเทพในหมู่บ้านที่เกิดโรคระบาดแห่งหนึ่ง ยามนั้นนักพรตเทพมีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุทธภพ เรื่องราวของเขาถูกเล่าต่อกันอย่างมหัศจรรย์พันลึก แต่ผู้ใดก็คงคิดไม่ถึงว่าปรมาจารย์คนนี้จะมาติดโรคระบาดในหมู่บ้านกับเขาด้วย
หากเรื่องนี้เล่าลือออกไป น่ากลัวว่าวิชาอาคมที่มีอยู่เต็มตัวของเขาคงถูกเย้ยหยันว่าไม่ทันถูกศัตรูเล่นงานก็จบเห่
จีหมิงซิวมาส่งมอบยาให้ชาวบ้านที่หมู้บ้านด้วยกันกับทางการ ยามนั้นนอกจากจีหมิงซิว ไม่มีผู้ใดจำนักพรตเทพได้
นักพรตเทพกลัวว่าจีหมิงซิวจะแพร่งพรายเรื่องที่เขาล้มป่วยออกไปจึงเกิดจิตคิดร้าย ดึกดื่นเที่ยงคืนลอบเข้ามาในกระโจมของจีหมิงซิวหมายจะแทงเขาให้ตาย ปรากฏว่าฆ่าคนไม่สำเร็จ แล้วยังถูกจีหมิงซิวจับตัวเอาไว้ได้ด้วย
เพื่อรักษาชีวิต เขาจึงรับปากว่าจะติดตามจีหมิงซิว นับจากนี้ทำงานเป็นวัวเป็นม้าให้จีหมิงซิว
จีหมิงซิวทดสอบวิชาอาคมพิสดารของเขา แล้วค้นพบว่าเขามีความสามารถอยู่จริงๆ จึงตกลงรับเขามาเป็นลูกน้อง
หลังจากเขาหายดี จีหมิงซิวก็นัดเขามาที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ให้เขาผูกคำสาบานเลือด คำสาบานเลือดต้องใช้พิษไสยเวท เขาได้ยินดังนั้นก็ไม่พอใจ คิดจะฉวยโอกาสหนีตอนฟ้าสาง แต่แผนการนี้ถูกจีหมิงซิวจับได้ก่อน
หากเป็นจีหมิงซิวในปัจจุบัน คงสังหารอีกฝ่ายตายในดาบเดียวไปแล้ว
แต่จีหมิงซิวในยามนั้นยังอายุน้อย ก็เพราะคนเยาว์วัยนี่เอง พอนักพรตเทพไม่อยากดื่ม เขาก็จะบังคับอีกฝ่ายดื่มให้ได้ จึงแกล้งทำเป็นไปสั่งอาหารเจเต็มโต๊ะให้นักพรตเทพ หลังจากนั้นจึงวางยาลงในอาหารเจชามหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าเขาดันวางยาผิด อาหารเจชามนั้นเป็นของผู้ใช้วิชาอาคมจากยุทธภพที่อยู่ห้องข้างๆ ต่างหาก
“ก็โชคดีที่วางยาผิด ไม่เช่นนั้นหากเปลี่ยนเป็นนักพรตเทพคนนั้น เกรงว่าอาการบาดเจ็บครั้งนี้ของเจ้าคงไม่มีหนทางรักษา”
คนหยิ่งยโสอย่างจีอู๋ซวงเอ่ยปากชื่นชมมากขนาดนี้ เพียงพอทำให้เห็นแล้วว่าความสามารถของคนผู้นั้นเหนือกว่านักพรตเทพมาก
เฉียวเวยฟังอย่างตั้งใจ
จีอู๋ซวงเอ่ยต่อว่า “แต่ความสามารถของเขาก็มิใช่สิ่งที่ได้มาด้วยตนเองทั้งหมด ตอนนั้นนายน้อยวางยาผิดคนจึงละอายใจต่อเขา ทว่ายามนั้นหาวิธีแก้พิษไสยเวทไม่ได้ จึงมอบตำราในหอตำราลับเล่มหนึ่งให้เขาแทน ยามนั้นพวกเราไม่รู้ว่านั่นคือตำราอะไร แต่ตอนนี้มาคิดดู น่าจะเป็นบันทึกของโหราจารย์”
“เขาก็อ่านภาษาเยี่ยหลัวได้เหมือนกันหรือ” เฉียวเวยถาม
“นายน้อยเป็นคนสอนให้เอง” จีอู๋ซวงตอบ
เฉียวเวยพยักหน้า
จีอู๋ซวงนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงบอกด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ความจริงแล้ววิชาของโหราจารย์ ใช่ว่านายน้อยจะฝึกไม่ได้ แต่ของบางอย่างอย่าฝึกเสียเป็นดีที่สุด โหราจารย์แต่ละรุ่นของชนเผ่าถ่าน่าไม่มีคนใดอายุยืนยาว ยิ่งเป็นโหราจารย์ที่มีวิชาแข็งแกร่งเท่าใดก็ยิ่งอายุสั้น เพราะเข้าไปเกี่ยวพันกับการลอบสอดส่องเจตนาของสวรรค์ ดังนั้นการที่นายน้อยไม่ไปแตะต้องของเหล่านั้นนับว่าถูกต้องแล้ว”
เฉียวเวยพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
จีอู๋ซวงรู้สึกตัวว่าตนเองออกนอกเรื่องแล้วจึงรีบดึงประเด็นกลับมา “สรุปก็คือ บุญคุณความแค้นระหว่างนายน้อยกับเขา มีแต่ตัวพวกเขาที่เข้าใจ นายน้อยไม่ใช่คนที่จะยอมให้ผู้อื่นมาขู่เข็ญบังคับได้ มีก็แต่ตัวเขายินยอมด้วยตัวเอง”
เฉียวเวยยิ้ม “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า พวกเขาสองคน คนหนึ่งก็อยากตี ส่วนอีกคนหนึ่งก็ยอมโดนตีสินะ! ข้าไม่โกรธหรอก! แล้วก็จะไม่ไปสร้างความาลำบากให้เขาด้วย!”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น เฉียวเวยก็เดินออกมาจากห้องของจีอู๋ซวง นางไม่กลับไปที่ห้องทันที แต่รอคอยอยู่ในโถงทางเดินอย่างเงียบๆ
แกรก!
ประตูห้องด้านในสุดเปิดออก ร่างที่สวมอาภรณ์สีแดงทั้งตัวเดินออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย
ยามนี้ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง หมอกยังไม่ทันจางหาย อากาศเย็นฉ่ำ
เขาอ้าปากหาวเบาๆ
ทำกริยาอันไร้มารยาทเช่นนี้แต่กลับดูเหมือนเทพเซียนที่ถูกเนรเทศลงมายังโลกมนุษย์ เฉียวเวยต้องยอมให้รูปโฉมกับบุคลิกของเขาจริงๆ
เขาเดินไปทางห้องสุขาช้าๆ
เฉียวเวยก้าวเท้าเดินตามไป
เขาเห็นเฉียวเวยแล้วแต่ไม่มีท่าทางแปลกใจอะไร เขาปลดสายคาดเอวไปพลาง ก็เอ่ยอย่างไม่อนาทรร้อนใจไปด้วย “สาวน้อย ไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังจะปลดทุกข์”
เฉียวเวยคลี่ยิ้ม “เจ้าไม่มาปลดทุกข์ ข้าก็ไม่มาหรอก”
หว่างคิ้วของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อย
ทันใดนั้นเฉียวเวยก็ยกเท้าขึ้นอย่างส่อเจตนาร้าย เล็งที่ก้นของเขา จากนั้นยันโครมทีเดียวถีบเขาตกลงไปในหลุมส้วม!
กล้ารังแกสามีข้าหรือ เจ้าเป็นเทพเซียนบนฟ้าหรืออย่างไร