ตอนที่ 402-2 น้องเฉียวฟื้นแล้ว
ความวุ่นวายสงบลงแล้ว ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง บนพื้นมีแต่ซากศพนอนเกลื่อนกลาดและความเละเทะหลังจากการต่อสู้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงหอบแฮ่กนั่งอยู่บนพื้น เหนื่อยจนไม่อยากเอ่ยคำพูด
ข้างเยี่ยนเฟยเจวี๋ยคือศพอ้วนท้วมร่างหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดถีบเขาทีหนึ่ง เขารู้จักเจ้าอ้วนคนนี้ มันคือหนึ่งในคนที่ลักพาตัวจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ในคืนนั้น หนก่อนก็อยากจะฆ่ามันอยู่แล้ว คืนนี้ในที่สุดก็สมปรารถนา แต่สิ่งที่ต้องแลกออกจะมากไปสักหน่อย เขาเหนื่อยจนไม่อยากจะขยับตัวแล้ว “ชางจิวไอ้คนสารเลว…อย่าตกมาอยู่ในมือท่านปู่คนนี้เชียวนะ…ช้าเร็วท่านปู่จะ…ถลกหนังเจ้า…”
“ชางจิว..คือผู้ใด” จีอู๋ซวงหอบหายใจไม่ทันแต่ก็ยังถามขึ้นมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกุมหน้าอก ตอบอย่างยากลำบาก “เจ้าคนที่…จับจิ่งอวิ๋นไปเมื่อหนก่อน…”
จีอู๋ซวงผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อย แล้วถามอย่างฉงน “หากพูดเช่นนี้…เขากับคนร้ายที่ยิงฮูหยินน้อยจนบาดเจ็บก็เป็นพวกเดียวกันสิ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้า “ข้าคิดว่าใช่ ตอนซื้อชาดหนก่อน…ก็บังเอิญพบเจ้าคนนี้…เจ้าหมอนี่ถูกอาจารย์ตาฮั่วเล่นงานจนบาดเจ็บ…หนนี้จึงไม่ได้มาด้วยตนเอง…แต่ส่งลูกน้องมา…มารดามันสิ! หนหน้าหากพบเขา…ข้าจะ…ข้าจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ!”
ชางจิวเป็นเขี้ยวเล็บของคนร้าย เมื่อมองเช่นนี้ก็อธิบายการลอบสังหารในคืนนี้ได้แล้ว
แต่นักรบมรณะกลุ่มนั้น เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังไม่ค่อยเข้าใจ “นายน้อย ไม่ได้บอกว่าชางจิวกับตำหนักราชครูไม่ใช่พวกเดียวกันหรือ เหตุไฉนเขาจึงเอานักรบมรณะของตำหนักราชครูมาได้เล่า”
ตอนนี้ฟื้นเรี่ยวแรงกลับมาได้เล็กน้อยแล้ว เขาจึงพูดประโยคได้ต่อเนื่อง
จีหมิงซิวกอดเฉียวเวยในอ้อมแขนไว้แน่น เฉียวเวยถูกเขาปกป้องไว้อย่างดี แม้บนตัวเขาจะมีสภาพเลอะเทอะไปหมด แต่นางแม้แต่เส้นผมก็ยังไม่ยุ่งสักเส้น เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเรียบๆ “เรื่องนี้ เกรงว่าต้องไปถามกับคนของตำหนักราชครูแล้ว”
“กลับไปข้าจะไปจับเจ้าหนูคนนั้นมาถาม!”
เจ้าหนูที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดถึงย่อมหมายถึงศิษย์เอกแห่งตำหนักราชครู ศิษย์เอกมาพร่ำวอนขอนายน้อยให้ละเว้นชีวิตของราชครู แต่หากเขาจับได้ว่าเจ้าหนูคนนั้นกล้าหักหลังลอบวางแผนทำร้ายนายน้อย เขาจะไม่ละเว้นอีกฝ่ายง่ายๆ อย่างแน่นอน!
จีอู๋ซวงพะวงกับอาการบาดเจ็บของจีหมิงซิวจึงเพ่งสายตามองมาทางจีหมิงซิว ตอนแรกเขาเสียโลหิตหัวใจไปครึ่งชาม สูญเสียปราณกำเนิดไปมากอยู่ก่อนแล้ว ระหว่างทางยังอุ้มเฉียวเวยไปๆ มาๆ ไม่ยอมปล่อยมือจากคน แล้วเมื่อครู่ยังต่อสู้อย่างยากลำบากกับคนอื่นอีกหนึ่งยก ต่อให้ไม่ได้รีดเค้นกำลังภายในออกมา ก็เกรงว่าสภาพคงจะไม่ได้ดีไปถึงไหน
แล้วก็เป็นอย่างที่คิด สีหน้าของจีหมิงซิวซีดเผือดจนเป็นสีขาว หน้าผากมีเหงื่อเม็ดโตไหลหยดลงมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า ริมฝีปากก็ไร้สีเลือดแล้ว
จีอู๋ซวงฝืนลุกขึ้นเดินมาหาจีหมิงซิว เมื่อเข้ามาใกล้ถึงพบว่าตรงอกเสื้อของเขามีโลหิตอาบย้อมเป็นวงกว้าง “นายน้อยท่าน…”
จีหมิงซิวกระซิบเสียงเบา “ข้าไม่เป็นอะไร”
อาจารย์ตาฮั่วสกัดจุดให้เขาทันทีเพื่อช่วยไม่ให้เขาเลือดไหลจนหมดตัว หากเป็นเช่นนั้นศิษย์หลานตัวน้อยของเขาคงเสียใจมาก
อีกด้านหนึ่งในที่สุดชายหนุ่มก็วาดเส้นสุดท้ายของยันต์เสร็จ เขาท่องมนตร์ เผายันต์ แล้วแช่ลงในยาชนิดพิเศษ จากนั้นจึงให้เฉียวเวยดื่มลงไป
“เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามด้วยสีหน้าคลางแคลง
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ “สิ่งที่ควรทำล้วนทำหมดแล้ว จะฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนาง”
…
คนทั้งคณะเดินทางฝ่ารัตติกาลกลับมายังหอเมามาย
องครักษ์หนุ่มตระเตรียมห้องไว้ให้คนทั้งหลายบนชั้นสอง เตรียมไปพลางก็บ่นไปด้วย “พวกเจ้าเหตุใดจึงกวนเจ้าหอไม่เลิก ไม่ใช่ว่ากินยาแก้ไปแล้วหรือ ตอนนี้จะตื่นไม่ตื่นก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของตัวนางเองแล้ว! หากไม่ตื่น เจ้าหอก็จนหนทาง!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฟาดฝ่ามือใส่กะโหลกของเขา “เจ้าเด็กนี่! หากไม่ใช่เพราะพวกเรา วันนี้เจ้าตายไปไม่รู้กี่หนแล้ว!”
องครักษ์หนุ่มไร้เหตุผลจะเถียง จึงแค่นเสียดังหึเบาๆ แต่ไม่กล้าเถียงด้วยอีก
อาจารย์ตาฮั่ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับจีอู๋ซวงต่างกลับไปที่ห้องของตนเอง
อินทรีทองเกาะอยู่บนหลังคา
เจ้าตัวจ้อยทั้งสามขดตัวอยู่บนเตียงของเฉียวเวย
จีหมิงซิวนอนอยู่ข้างกายของนาง เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน บาดแผลถูกกดทับจนเจ็บปวด ทว่าเขาก็ไม่ยอมปล่อยมือจากนาง ตรงกันข้ามกลับกอดแน่นขึ้นอีก
แสงจันทราเย็นเยียบส่องเข้ามาตกต้องดวงหน้างามพริ้มเพราของนาง
เขายกปลายนิ้วเรียวยาวขึ้นมาสัมผัสดวงหน้าของนางอย่างแผ่วเบา ราวกับว่าชั่วพริบตาต่อมานางจะลืมตาขึ้แล้วแย้มยิ้มจนตาหยีเรียกเขาว่านายน้อยหมิง
กาลเวลาเคลื่อนคล้อยไปทีละนิด
เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนแนบแน่น จุมพิตหน้าผากของนางแล้วหลับตาลงอย่างแผ่วเบา
…
ยามเหม่า[1] สามเค่อ ท้องนภาเริ่มมีสีขาวเหมือนพุงปลาปรากฏขึ้นเสี้ยวน้อยๆ หมอกสีขาวโพลนโอบล้อมคูเมือง แม้แต่แสงตะวันสายแรกก็ยังส่องผ่านมาไม่ได้
เฉียวเวยสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา แม้คนจะตื่นแล้ว แต่ความนึกคิดยังไม่แจ่มชัด สมองเต็มไปด้วยประโยคที่ว่าข้าเป็นใคร ข้าอยู่ที่ใด ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
นางนิ่งงงอยู่สักพักใหญ่กว่าจะเรียกสติกลับคืนมาได้
นางนึกออกแล้ว ระหว่างที่ไล่ตามตำราลับบนถนน นางถูกคนแปลกหน้าคนหนึ่งใช้ธนูจันทร์โลหิตยิงใส่ เรื่องราวหลังจากนั้นนางไม่มีความทรงจำสักนิด
นี่นาง…
เฉียวเวยหันมามองจีหมิงซิวที่หลับสนิทอยู่
ถูกจีหมิงซิวช่วยไว้หรือ
เฉียวเวยลูบเนื้อตัวของตัวเอง ลูบด้านบนไปจนถึงด้านล่างก็ไม่รู้สึกว่ามีตรงไหนเจ็บสักที่ นี่นางไม่เป็นอะไรเลย แบบไม่เป็นอะไรเลย ไม่เป็นอะไรสักนิดเลยอย่างนั้นหรือ
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็กำหมัดจนแน่ใจว่าพละกำลังของตนเองยังเต็มเปี่ยมพอต่อยวัวล้ม!
ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ!
หัวหน้าพรรคเฉียวผู้ไม่เพียงแต่เป็นอะไรไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ยังเกือบจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้วหัวเราะอย่างชั่วร้าย แล้วหันหน้าไปมองจีหมิงซิว ยื่นมือออกไปลูบใบหน้าหล่อเหลาของเขาอย่างอดใจไม่ไหว
คนงาม แม้แต่ยามนอนก็ยังน่าหลงใหลถึงเพียงนี้ เพียงแต่ว่า…หน้าซีดไปสักหน่อย
ปลายนิ้วของเฉียวเวยไล้ไปตามสันจมูกโด่งของเขาเรื่อยลงมาจนถึงปลายคาง นางหลับไปนานเท่าใด เหตุใดเขาถึงมีตอหนวดขึ้นมาแล้วเล่า
แต่ก็ดูมีกลิ่นอายของบุรุษมากประสบการณ์ผู้สุขุมลุ่มลึกดี
นางชอบ
เฉียวเวยยิ้มจนตาหยีโค้ง แอบขยับเข้าไปจุ๊บปลายคางเขาเสียงดัง!
เสียงจุ๊บหนนี้ดังเกินไปสักหน่อย เขาเหมือนจะถูกปลุกให้ตื่นแล้ว แพขนตาสั่นไหวเบาๆ
เฉียวเวยรีบหลับตา แกล้งทำตัวเหมือนเป็นศพ
จีหมิงซิวนั่งเฝ้ามาครึ่งค่อนคืน ตอนฟ้าใกล้สางร่างกายทนไม่ไหวถึงหลับไป คนตกอยู่ในสภาพกึ่งสลบ หากไม่ใช่เสียงจุ๊บดังๆ ของนาง เขาก็คงไม่ตื่นขึ้นมา
จีหมิงซิวลืมตาขึ้นมองใบหน้าที่ดูเหมือนหลับสนิทของนาง แล้วลูบจุดที่ถูกนางจุมพิต ในสมองจินตนาการภาพท่าทางซุกซนของนางยามทำหน้าหื่น แต่ขลาดเขินกล้าทำไม่กล้ารับ แล้วพลันยกมุมปากขึ้นอย่างห้ามตนเองไม่ได้ ถามขึ้นเบาๆ ว่า “ตื่นแล้วหรือ”
“ยังไม่ตื่น!” หัวหน้าพรรคเฉียวหลับตาตอบ พูดจบก็นึกเสียใจ นางคงล้มหัวกระแทกมาเป็นแน่ ทำเช่นนี้ไม่เหมือนแอบฝังเงินไว้แต่ดันแปะป้ายบอกว่าตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงหรืออย่างไร
รอยยิ้มในดวงตาของจีหมิงซิวชัดขึ้นกว่าเดิม แขนแข็งแรงกอดรัดนางไว้ “โกรธข้าหรือ หัวหน้าพรรคเฉียว”
แน่อยู่แล้วสิ ทะเลาะกันแล้วไม่ยอมให้แตะตัว เพิ่งแตะไปนิดเดียวท่านก็ตื่นแล้ว จะไม่ยอมให้แตะอีกหรือไม่!
จีหมิงซิวมองใบหน้าน้อยที่บูดบึ้งของนาง ฟังเสียงเหอะที่นางแค่นออกมาจากจมูก หัวใจพลันอ่อนยวบกลายเป็นแอ่งน้ำ กอดนางเข้ามาซุกในอ้อมแขน “ให้เจ้าแตะ ให้ทุกวันเลย”
ปิ๊ง!
เฉียวเวยเบิกตาโต ลูกตากลอกเร็วไวหันไปหาเขา
จีหมิงซิวกลั้นหัวเราะไม่ไหว เขาจับมือนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกของนางขึ้นมาวางบนร่างของตนเอง “แตะตรงนี้ ตรงนี้ แล้วก็ตรงนี้ด้วย”
มือของเฉียวเวยวางบนเอวกำยำของเขา มุมปากยกโค้งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
จีหมิงซิวมองนางอย่างรักใคร่ “มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า มือเรียวลูบเอวของเขาอย่างเปิดเผยสองที พอฉุกใจคิดได้ว่าจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนท่าทีกลับตาลปัตรหนึ่งร้อยแปดสิบองศา จึงอดไม่ได้ถามว่า “ไม่ทะเลาะกับข้าแล้วหรือ”
จีหมิงซิวตอบเบาๆ “ไม่ทะเลาะแล้ว หลังจากนี้คืนดีกันเถิด”
“นี่ค่อยใช้ได้หน่อย!” เฉียวเวยยิ้มอย่างยินดี พอนึกอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าก็บึ้งตึงลงอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้นจะยอมให้ขยำก้นหรือไม่”
[1]ยามเหม่า คำบอกเวลาของจีน หมายถึงช่วงเวลาระหว่าง 05.00 น. – 07.00 น.