ตอนที่ 408 มารดาและบุตรได้พบหน้า (2)
ฮองเฮาเยี่ยหลัวบอกว่า “เข้าใจแล้ว!”
“เข้าใจอะไร” เฉียวเวยถาม
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบว่า “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นบุตรแท้ๆ นี่”
เฉียวเวยเอามือกุมหน้าผาก ที่ข้าจะบอกไม่ใช่เรื่องนี้…
“ท่านน้า เหตุใดท่านได้พบหน้ายิ่นอ๋องก็ชอบเขามากเพียงนี้”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด “ไม่มีเพราะเหตุใดนี่ เขาหน้าตาดีอย่างไรเล่า ข้าเพียงไม่เคยเห็นคนที่หน้าตาดีเท่าเขามาก่อน!”
เฉียวเวยจึงบอกว่า “หมิงซิวหน้าตาไม่ดีหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัว “ข้าก็ชอบหมิงซิวเช่นกันนี่”
ที่ข้าจะบอก…ไม่ใช่เรื่องนี้จริงๆ…
เฉียวเวยเอามือกุมหน้าอก นางรู้สึกว่าหากพูดต่อไป นางคงถูกท่านน้าผู้นี้เล่นงานจนกลายเป็นโรคหัวใจเป็นแน่ เรื่องนี้ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงการคาดเดา ยังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอ ยังไม่อาจอธิบายให้ชัดแจ้งได้จริงๆ
ไม่อย่างนั้นหากยิ่นอ๋องเกิดไม่ใช่บุตรของท่านน้าขึ้นมา ท่านน้าคงยินดีเก้อ แล้วคงได้ผิดหวังเสียใจเป็นแน่
เฉียวเวยจับมืออีกฝ่ายไว้ “ท่านน้า นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเรากลับกันเถิด”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตามเฉียวเวยกลับไปอย่างเชื่อฟัง
ทั้งสองเดินหายไปท่ามกลางความมืด ด้านหลังกำแพงอุทยานอีกด้านหนึ่ง หรงเฟยมองแผ่นหลังของคนสองคนด้วยสายตาเป็นกังวล…
…
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยพาท่านน้ากลับบ้านตระกูลจี เดิมทีจีหมิงซิวได้รับบาดเจ็บ ไม่อยากให้เด็กๆ เห็นสภาพของเขา แต่ในเมื่อมาถึงหน้าบ้านแล้ว จะไม่เข้าไปก็ทำใจไม่ได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจึงไปที่บ้านสีประสานตามลำพัง ไว้พรุ่งนี้ค่อยกลับมารับจีหมิงซิวกลับไปยังหอเมามายอีกที
พอกลับมาถึงบ้านชิงเหลียน ทั้งสองไปหาเด็กๆ กันก่อน เด็กทั้งสามกำลังหลับสบาย จึงไม่รู้ว่าท่านพ่อท่านแม่หรือพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่กลับมา
วั่งซูถีบผ้าห่มออก นางไม่ได้ถีบแค่ของตนเอง ผ้าห่มของหลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นก็ถูกถีบตกไปอยู่ที่พื้นด้วย
เฉียวเวยเก็บผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เด็กทั้งสาม หยิกแก้มจิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ “ก็บอกแล้วว่าพวกเจ้าสองคนอย่ามานอนกับนาง เดี๋ยวจะถูกนางถีบผ้าห่มกระเด็นเข้า”
จิ่งอวิ๋นงัวเงียตื่น ลืมตาด้วยความสะลึมสะลือ “ท่านแม่”
เฉียวเวยช่วยเหน็บมุมผ้าห่มให้เขา “นอนเถิด”
จิ่งอวิ๋นหลับตาแล้วหลับไปด้วยความสบายใจ
เฉียวเวยจูบหน้าผ้าเด็กน้อยทั้งสาม ขณะที่กำลังจะขยับตัวลุกออกไปนั้น กลับพบว่าจีหมิงซิวนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับ นางเดินเข้าไปแล้วจูบหน้าผากเขาอีกคน เขาถึงได้จับมือนางเดินกลับห้องของพวกตนไป
หลังจากวุ่นวายมาครึ่งคืน พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้ากันทั้งสองคน จึงเพียงล้างหน้าล้างตากันง่ายๆ เสร็จก็ไปนอนลงบนเตียง
เฉียวเวยนอนหนุนแขนสามี หลบเลี่ยงส่วนที่เป็นแผลด้วยความระมัดระวัง “ท่านว่า…ยิ่นอ๋องจะใช้บุตรชายของท่านน้าจริงๆ หรือไม่”
จีหมิงซิวมองยอดผ้าม่านแล้วพึมพำบอกว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง ศักดิ์ข้าก็ลดลงน่ะสิ”
เฉียวเวย “…”
เรื่องที่เจ้าสนใจเป็นเรื่องนี้เองหรือ
“พี่สะใภ้น่าฟังเท่าท่านน้าเมื่อไรกัน…” ใต้เท้าอัครเสนาบดีหรี่ตาลงเอ่ย
เฉียวเวยมองฟ้าอย่างหมดคำจะพูด ช่างเถิดๆ เถียงสู้ไม่ได้ นอนดีกว่า!
…
เฉียวเวยไม่เรื่องมากเรื่องที่นอน นางนอนได้ทุกที่ แต่จะนอนหลับสนิทที่สุดก็ตอนอยู่ที่บ้านนี่เอง
เฉียวเวยหลับยาวไปถึงเช้า พวกเด็กๆ มีอาจารย์ตาฮั่วกับใต้เท้าเจ้าสำนักและองค์ชายสามไปส่งที่สำนักศึกษาแล้ว จีหมิงซิวก็ตื่นแล้วเช่นกัน กำลังนั่งพลิกอ่านอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะหนังสือ
คนป่วยยังตื่นเช้ากว่านางเสียอีก เรื่องนี้นางจะยอมได้อย่างไร
“เจ้ากำลังอ่านอะไรอยู่หรือ” เฉียวเวยใส่รองเท้าแล้วเดินเข้าไปหา
“ภาพวาดสุสานองค์หญิง” จีหมิงซิวเอาภาพวาดวางลงตรงหน้าอีกฝ่าย
เฉียวเวยหยิบขึ้นมาดู “ท่านไปเอามาจากไหนหรือ”
“วาดเองน่ะ” จีหมิงซิวบอก
“ท่านจะวาดสิ่งนี้ไปไย” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “เจ้าทำข้าตอบไม่ถูก”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “ท่านไม่รู้ว่าจะวาดไปทำไม แต่ก็ยังวาดออกมาอย่างนั้นหรือ”
“นายน้อย!”
ข้างนอกมีเสียงเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน
มือที่ถือภาพวาดอยู่ของเฉียวเวยพลันแข็งค้าง หันไปมองเขาด้วยท่าทางงงงวย “สวัสดียามเช้า ลุงเยี่ยน”
“ให้ตายสิ ไม่เช้าแล้ว!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกมือปาดเหงื่อ สาวเท้ายาวๆ เข้ามาในห้องแล้วพูดกับจีหมิงซิวว่า “ค่ายใหญ่ทางตะวันออกเกิดเรื่องแล้ว!”
เฉียวเวยกะพริบตาด้วยความไม่เข้าใจ
จีหมิงซิวเหมือนจะมองออกว่านางกำลังงุนงง เลยอธิบายให้ฟังว่า “เป็นค่ายที่แม่ทัพตัวหลัวดูแลอยู่ ก่อนเขามุ่งหน้าขึ้นเหนือ เขาเคยฝากฝังให้ข้าช่วยดูแล”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยท่าทางอึ้งๆ “แบบนี้นี่เอง” แล้วจึงหันไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ย “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกว่า “ตอนไปฝึกบนเขา มีทหารใหม่หลายคนหายตัวไป หัวหน้าหน่วยส่งคนกลุ่มหนึ่งไปตามหา แต่คนที่ไปตามหาก็ดันหายไปด้วย! บรรดาคนที่หายไปยังมีพระญาติพระวงศ์อยู่หลายคนด้วย รองแม่ทัพเมิ่งตกใจจนขาอ่อน ส่งพิราบสื่อสารมาหาข้าแต่เช้าให้ข้ารีบรายงานเจ้า”
จีหมิงซิวจัดการเก็บภาพวาด “ข้ารู้แล้ว”
เฉียวเวยถามว่า “ท่านจะไปที่ค่ายใหญ่ตะวันออกหรือ”
จีหมิงซิวทำท่าครุ่นคิด “เกิดเหตุไม่ชอบมาพากล ข้าต้องไปสักหน่อย”
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “ท่านยังบาดเจ็บอยู่เลยนะ ให้ข้าไปแล้วกัน! ข้าเก่งเรื่องตามหาคนที่สุดแล้ว!”
จีหมิงซิวระบายยิ้ม “เจ้าทำอะไรไม่เก่งบ้าง”
เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “เพราะงั้นให้ข้าไปก็แล้วกัน! ท่านรอฟังข่าวจากข้าอยู่ที่บ้านก็พอ!”
ฝ่ามือใหญ่ของจีหมิงซิววางลงบนไหล่บางของภรรยา “บาดแผลข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก เจ้าเสียมากกว่า เพิ่งหายป่วยหนักก็ต้องมาวุ่นวายเรื่องนู้นนี้แล้ว คนที่ควรพักคือเจ้ามากกว่า”
“แต่ข้าสบายดีแล้วนี้ กระทั่งแผลภายนอกก็ไม่มีสักนิด!”
“เชื่อข้าสิ อยู่รอข้าที่บ้านดีแล้ว”
“ข้า…” เฉียวเวยกำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่หางตาเหลือบไปเห็นฮองเฮาเยี่ยหลัวยื่นศีรษะอยู่ตรงหน้าประตู กำลังทำตาปริบๆ มองมาที่นาง พอเฉียวเวยหันมาเห็นตนแล้ว จึงรีบกวักมือเรียกทันที
เฉียวเวยไปที่หน้าประตู “ท่านน้า มีอะไรหรือ มีธุระจะหาข้าหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวจูงมือเฉียวเวยไปที่ห้องของเด็กทั้งสาม ชะโงกหน้ามองไปตรงระเบียง พอมั่นใจว่าไม่มีใครจับตามองอยู่ก็งับประตูปิดเบาๆ กระซิบกระซาบบอกว่า “วันนี้เจ้าไม่มีธุระอะไรกระมัง พวกเราไปเข้าวังกันเถิด!”
เฉียวเวยไม่รู้ว่าควรโมโหหรือควรหัวเราะดี “ท่านน้า ท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องนี้เองหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเบิกตาโตพร้อมพยักหน้า!
เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความจนใจ “ท่านน้า ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาปกติ ในวังไม่สู้จะปลอดภัยนัก หากท่านไม่ต้องไปได้ก็ไม่ต้องไปเลยจะดีที่สุด”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวขยับอ้าปาก “แต่ว่า…”
เฉียวเวยตบไหล่นาง “ไม่มีแต่แล้ว ท่านเชื่อข้านะ ข้าไม่มีทางคิดร้ายต่อท่าน”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวยังอยากพูดอะไรต่อ แต่พอเห็นสายตาหนักแน่นของเฉียวเวยแล้วก็พูดไม่ออก ถอนหายใจบอกว่า “เช่นนั้นก็ได้ เมื่อไรถึงจะเข้าวังได้ เจ้าบอกข้าแล้วกัน”
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “วางใจเถิด ท่านน้า”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกลับห้องไปด้วยท่าทางห่อเหี่ยว
เฉียวเวยถอนหายใจยาว ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้พวกท่านแม่ลูกพบหน้ากันนะ แต่เวลานี้ความจริงยังไม่กระจ่างจริงๆ กลัวพวกท่านสองคนจะเข้าใจผิดเสีย…
ตอนเฉียวเวยกลับไปที่ห้อง จีหมิงซิวหายตัวไปแล้วอย่างไม่เกินความคาดหมาย
หึหึหึ เดี๋ยวนี้หายตัวไวเหลือเกินนะ คอยดูเถิด!
…
จีหมิงซิวไปที่ค่ายใหญ่ตะวันออก เด็กๆ ไปเรียนที่สำนักศึกษา กระทั่งเจ้าซื่อบื้อกับองค์ชายสามก็ไม่อยู่วุ่นวาย บ้านชิงเหลียนเลยว่างเปล่าลงในทันใด
เฉียวเวยนั่งตากแดดอยู่ตรงระเบียงด้วยความเบื่อหน่ายและเกียจคร้าน นั่งอยู่ไม่เท่าไร ฝูกงกงก็เข้ามา
ฝูกงกงมาเชิญเฉียวเวยให้ไปช่วยตรวจอาการหรงเฟย เฉียวเวยอยู่คนเดียวก็ว่างอยู่ จึงตามฝูกงกงเข้าวังไป ประเด็นสำคัญก็คือรับสั่งฝ่าบาทนั้นยากจะขัด
ระหว่างทางเข้าวัง เฉียวเวยสอบถามเรื่องของหรงเฟยจากฝูกงกง “ฝูกงกง พระสนมหรงเฟยใช่คนเมืองหลวงหรือไม่”
ฝูกงกงยิ้มตอบว่า “ใช่ขอรับ บิดามารดานางเป็นคนเมืองหลวงทั้งคู่ เหตุใดอยู่ๆ ฮูหยินถึงถามเรื่องนี้หรือ”
เฉียวเวยยิ้มแหยๆ “ไม่ใช่เพราะจู่ๆ พระสนมก็กลับมาเป็นที่โปรดปรานหรอกหรือ คนโปรดของฝ่าบาท ข้าต้องทำความรู้จักเอาไว้บ้าง จะได้รู้ว่าจะเอาใจนางอย่างไรเล่า!”
ฝูกงกงยิ้มพริ้ม “ดูฮูหยินพูดเข้า ฝ่าบาทเอ็นดูฮูหยินอัครเสนาบดีเพียงใดตัวท่านไม่รู้หรือ ฮูหยินจำเป็นต้องเอาอกเอาใจผู้ใดด้วยหรือ”
เฉียวเวยถอนหายใจด้วยสีหน้าจนใจ “เฮ่อ ข้ากับยิ่นอ๋อง ฝูกงกงใช่ว่าจะไม่รู้ ข้าเคยมีเรื่องกับบุตรชายนาง หากเกิดวันหนึ่งนางมาหาเรื่องข้า ข้าจะไปขอความเมตตาจากนางเอาตอนนั้นคงไมได้กระมัง!”
ฝูกงกงบอกว่า “ฮูหยินคิดมากไปแล้ว พระสนมหรงเฟยเป็นคนฉลาด ไม่มีทางเป็นอริกับจวนอัครเสนาบดีด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้หรอกขอรับ”
คนฉลาด… ดูท่ากระทั่งฝูกงกงก็ดูออกว่าฝีไม้ลายมือของหรงเฟยนั้นไม่ธรรมดา แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงบ่าวไพร่ คำพูดไม่มีน้ำหนัก พูดออกไปคงไม่มีผู้ใดเชื่อสักเท่าไร
รถม้าเคลื่อนตัวไปถึงหน้าประตูใหญ่วังหลวง ทั้งสองลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปในวัง
เดินพ้นประตูวังได้ไม่เท่าไร ก็เห็นว่าตรงทางเดินเล็กๆ ข้างหน้ามีราชองครักษ์สีหน้าเคร่งขรึมเดินผ่านไปด้วยท่าทางดุดัน ไม่รู้ว่ารู้สึกไปเองหรือไร เฉียวเวยรู้สึกว่าท่าทางของคนกลุ่มนี้ดูไม่เหมือนทหารราชองครักษ์ที่เคยเห็นสักเท่าไร
ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับนาง เฉียวเวยเลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เดินต่อไปที่ตำหนักกานลั่วพร้อมกับฝูกงกง
เฉียวเวยเพิ่งเดินถึงหน้าประตูก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักปานกระดิ่งของหรงเฟย