ตอนที่ 409 มารดาและบุตรได้พบหน้า (3)
เมื่อวานยังอ่อนระโหยโรยแรงจะลุกจากเตียงไม่ขึ้น ทั้งยังร้องไห้สะอึกสะอื้นให้บุตรชายอีกยกหนึ่ง มาวันนี้กลับดูคล้ายสบายดีแล้วอย่างนั้น
ฝูกงกงเอ่ยรายงานด้วยสีหน้าเรียบเฉย “พระสนม จีฮูหยินมาตรวจชีพจรให้ท่านแล้ว”
“รีบเข้ามาเถิด” น้ำเสียงหรงเฟยยังคงเจือแววหัวเราะ
ฝูกงกงเดินนำเฉียวเวยเข้าไปข้างใน
เฉียวเวยไม่ได้พบฮ่องเต้ มีเพียงหรงเฟยคนเดียวที่เดินออกมาจากด้านหลังประตูกั้น นางแต่งเนื้อแต่งตัวดูหรูหราขึ้นกว่าเมื่อวานมากนัก การแต่งกายอย่างสตรีชาววังสีเหลือนวล เอวบางแทบจับต้องไม่ได้ บนศีรษะมีปิ่นหงส์แปดหางทิ้งตัวห้อยต่องแต่งอยู่ ฮองเฮาใช้เก้าหาง สนมชั้นกุ้ย ซู เสียน เต๋อใช้แปดหาง หรงเฟยเป็นเพียงสนมขั้นสอง การใช้ปิ่นปักผมเช่นนี้นับว่าเกินกว่าฐานะของตน
หรงเฟยจับปิ่นหงส์บนศีรษะพร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าแช่มชื่นว่า “ฝ่าบาทเพิ่งพระราชทานปิ่นทองให้ข้าเล่มหนึ่ง จีฮูหยินเห็นว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยคิดในใจว่าละครห้ำหั่นกันของวังหลังช่างไม่เกินที่คนโบราณกล่าวไว้จริงๆ ภรรยาหน้าตาซีดเซียวในวันวาน มาวันนี้กลับเป็นมารดาพระโอรสผู้สูงศักดิ์เสียแล้ว ด้วยท่วงท่ากิริยาและรัศมีที่เจิดจรัสนี้ หากไม่ได้เห็นด้วยตาตน ผู้ใดเลยจะเชื่อว่านางคือสนมชั้นเลวที่ถูกผู้คนรังแกมาเป็นสิบปี
เฉียวเวยอมยิ้มเอ่ยว่า “พระสนมรูปโฉมงดงาม ปิ่นทองนี้เมื่อประดับอยู่บนศีรษะพระสนมแล้ว ช่วยขับกันให้งดงามยิ่งขึ้นไปอีกเพคะ”
หรงเฟยเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะบางๆ “เจ้าช่างเข้าใจพูดนัก”
เฉียวเวยเอ่ยชื่นชมต่อไป “สีหน้าพระสนมดูดีขึ้นมากทีเดียว”
หรงเฟยยิ้มกว้างขึ้นอีกหลายส่วน “เรื่องนี้ต้องขอบคุณยาที่จีฮูหยินจัดไว้ให้ เมื่อคืนความร้อนในกายข้าคลายไปจนสิ้นทีเดียว ตอนเช้าตื่นมาก็รู้สึกมีกำลังวังชาทันที”
เฉียวเวยระบายยิ้มบาง “บุตรชายของพระสนมติดอยู่ในคุกหลวง พระสนมกลับยังอารมณ์ดีได้เพียงนี้ ข้าน้อยนับถือยิ่งนัก”
รอยยิ้มบนหน้าหรงเฟยพลันแข็งค้าง
เฉียวเวยทำประหนึ่งไม่เห็นอาการชะงักงันของอีกฝ่าย เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติว่า “พระสนมยื่นมือมาสิเพคะ”
หรงเฟยยื่นข้อมือออกไป
เฉียวเวยจับชีพจรให้ ชีพจรของนางกลับมาเป็นปกติแล้วจริงๆ เดิมทีนางไม่ได้บาดเจ็บอะไรอยู่แล้ว เพียงหกล้มจนมีแผลถลอกเล็กน้อยเท่านั้น ภายนอกอาจดูสะบักสบอม แต่ภายในกลับสมบูรณ์ดีทุกอย่าง พอไข้ลดลงจึงดูสบายดีไม่เจ็บป่วยอะไร
เฉียวเวยดึงมือกลับ ยิ้มเล็กน้อย “พระสนมไม่เป็นอะไรมากแล้วเพคะ”
หรงเฟยดูจะพอใจกับผลลัพธ์นี้ยิ่งนัก “ไม่เสียแรงที่จีฮูหยินเป็นหมอหญิงเทวดา ฝีมือการแพทย์เช่นนี้ ทั้งสำนักหมอหลวงก็หาที่เก่งกาจกว่าเจ้าไม่ได้ ข้าควรตกรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”
รางวัลของเจ้าข้าคงมิบังอาจคิดอยากได้หรอก
เฉียวเวยยิ้มบางๆ พลางเอ่ยว่า “พระสนมกล่าวชมผิดแล้ว ยาที่พระสนมกินเป็นยาที่สำนักหมอหลวงทำขึ้น หากพระสนมอยากจะตกรางวัลจริงๆ ก็ควรตกรางวัลหมอหลวงที่ทำยาสลายไข้ถึงจะถูกเพคะ”
หรงเฟยยังคงยืนยัน “หมอหลวงต้องตกรางวัล จีฮูหยินก็ต้องตกรางวัลเช่นกัน”
ตายจริง ยืนยันเป็นมั่นเหมาะเพียงนี้เชียว เฉียวเวยฉีกยิ้ม “เช่นนั้นหรือ พระสนมเตรียมสิ่งใดไว้ตกรางวัลหม่อมฉันหรือ”
หรงเฟยเอ่ยอย่างมีนัยยะลึกซึ้ง “จีฮูหยินอยากได้สิ่งใดเล่า หากข้าให้ได้จะไม่บิดพลิ้วแน่นอน”
เฉียวเวยทำหน้าเกรงอกเกรงใจ “ตายจริง หม่อมฉันไม่อยากให้พระสนมต้องลำบากเลย หากพระสนมอยากตกรางวัลให้ข้าจริง เช่นนั้นก็…เป็นของนอกกายเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วกันเพคะ อย่าได้ให้อะไรมากมายเลย ทองคำอะไรนั่น ให้มาสักสามหมื่นห้าหมื่นตำลึงก็พอ ไข่มุกอีกสักแปดสิบเม็ดร้อยเม็ด ผ้าไหมหลิงหลัวนั้นมากมายเกินไป เปลี่ยนเป็นเงินแทนก็แล้วกัน สักเจ็ดแปดสิบหมื่นก็น่าจะพอเพคะ! ที่หม่อมฉันพอนึกออกก็มีเท่านี้ หากพระสนมเห็นว่ายังน้อยไป จะเพิ่มเติมพวกภาพอักษรโบราณอีกสักหน่อยก็ยังได้!”
นางกำนัลขันทีในห้องได้ฟังอย่างนั้นถึงกับมุมปากกระตุก จีฮูหยินเจ้าไร้ยางอายเพียงนี้จะดีหรือ เจ้าไม่กลัวว่าพระสนมหรงเฟยจะหาทางลงไม่ได้แล้วจะหาเรื่องเล่นงานเจ้าแทนหรือ
เฉียวเวยไม่สนใจสักนิดว่าหรงเฟยจะหาเรื่องเล่นงานนางหรือไม่ เอาจริงๆ เรื่องที่หรงเฟยก่อยังน้อยอีกหรือ ความแค้นจากธนูดอกนั้นตนยังไม่ได้เอาคืนเลย! การจะสูบเลือดจากนางสักนิดสักหน่อยกนับว่าเป็นดอกเบี้ยหรอก!
หรงเฟยยกชาขึ้นจิบ
เฉียวเวยมองอีกฝ่ายอย่างเห็นขัน “พระสนม…คงพอให้ไหวกระมัง”
ดูเจ้าพองจนตัวลอยเข้า ข้าจะช่วยตบหน้าเจ้าให้บวมเอง ดีหรือไม่
หรงเฟยพยายามตั้งสติก่อนจะเอ่ยด้วยท่วงท่าสง่างามว่า “ของเหล่านั้นที่เจ้าต้องการ ไว้ข้าจะทูลต่อฝ่าบาทให้ฝ่าบาทพระราชทานให้เจ้าก็แล้วกัน”
เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความผิดหวัง “หม่อมฉันยังคิดว่าพระสนมอยากตกรางวัลให้ข้าเสียอีก ที่แท้ก็ฝ่าบาทเองหรือ เช่นนั้นก็ช่างเถิด ฝ่าบาทพระราชทานข้าวของให้ข้าไม่น้อยแล้ว ข้าคงไม่กล้ารับของพระองค์แล้ว อีกอย่างคนที่ข้าตรวจโรคให้ก็ไม่ใช่ฝ่าบาทเสียด้วย!”
“เจ้า…” ฝูหลิงโมโหกับคำพูดแดกดันของเฉียวเวยเสียแล้ว จึงโผเข้าไปเงื้อมือขึ้นจะสั่งสอนเฉียวเวยให้สักฉาด
เฉียวเวยอมยิ้ม ยกถ้วยชาขึ้น ใช้ฝาถ้วยเขี่ยใบชาที่ลอยอยู่ด้านบนเล่น “หากกล้าแตะต้องข้าแม้ปลายเส้นผม ข้าจะหักแขนเจ้าข้างหนึ่ง เจ้าคิดให้ดีก่อนนะ”
ฝูหลิงชะงักค้างไปทันที
ฝูหลิงเป็นนางกำนัลรับใช้ข้างกายหรงเฟย เมื่อยามหรงเฟยถูกเมินเฉย นางก็ละเลยหรงเฟยเต็มที่ แต่พอถูกยิ่นอ๋องข่มขู่ให้รอบหนึ่งถึงได้ยอมเก็บเขี้ยวเล็บ เวลานี้พอหรงเฟยได้ขึ้นมาอยู่บนยอดไม้ นางก็นึกย้อนถึงช่วงเวลาที่ตนละเลยผู้เป็นนาย ในใจจึงบังเกิดความเย็นวาบและกำลังหาโอกาสแสดงความจริงใจให้หรงเฟยได้เห็น เวลานี้เมื่อโอกาสอยู่ตรงหน้า ย่อมไม่อยากให้พลาดโอกาสไป
แต่แค่เพียงเฉียวเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่กี่ประโยค ใจนางก็สั่นสะท้านขึ้นมาในบัดดล
“พระ…พระสนม” นางหันไปมองหรงเฟย
“จีฮูหยินเป็นแขกคนสำคัญของข้า ห้ามเสียมารยาท” หรงเฟยวางบันไดให้สาวใช้ก้าวลง
“เพคะ พระสนม” ฝูหลิงถอยกลับไปอยู่ข้างกายหรงเฟยอีกครั้ง
เฉียวเวยลุกขึ้น หิ้วกล่องยาพร้อมเอ่ยกับหรงเฟยว่า “นี่ก็สายแล้ว หม่อมฉันไม่รบกวนการพักผ่อนของพระสนมจะดีกว่า หม่อมฉันขอตัว”
“ช้าก่อน” หรงเฟยเอ่ยลากเสียงยาว เอ่ยเสียงดังด้วยน้ำเสียงข่มขู่ที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายปฏิเสธ
เฉียวเวยมองนางด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “พระสนมยังมีสิ่งใดจะสั่งอีกหรือ”
“คงไม่ถึงกับสั่งหรอก ข้าไม่ได้บอกว่าจะตกรางวัลให้เจ้าหรอกหรือ ฝูหลิง” หรงเฟยหันไปส่งสายตาให้นางกำนัลข้างกาย
ฝูหลิงเข้าใจความหมาย เปิดผ้าม่านเดินเข้าห้องด้านในแล้วหยิบกล่องผ้าไหมสี่เหลี่ยมออกมา กล่องนั้นทำขึ้นจากไม้ต้นพุทราชั้นดี เดิมทีไม้พุทราไม่ถือว่าเป็นไม้ล้ำค่าอะไร ต่อให้ชั้นดีแค่ไหนก็ไม่ได้สูงค่าราคาแพง แต่ไม้พุทรามีสรรพคุณช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย ในวังหลังที่มีสตรีมากและเต็มไปด้วยไอหยางนั้น นางสนมจำนวนไม่น้อยมีกล่องไม้พุทราใช้กันหลายกล่อง โดยมากมักเอาไว้ใส่เครื่องประดับที่ตนใช้เป็นประจำ
ฝูหลิงเอากล่องนั้นส่งให้เฉียวเวย
เฉียวเวยยิ้มถามว่า “นี่พระสนมจะทำอะไรหรือ”
หรงเฟยเอ่ยว่า “ของเหล่านี้เป็นของที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ข้า เจ้าเลือกสักสองสามชิ้นกลับไปเถิด”
ในยุคโบราณไม่ว่าอะไรล้วนกล่าวถึงที่มาที่ไป ยิ่งของชิ้นนั้นเก่าแก่เท่าไร ก็จะยิ่งมีค่าและหายากขึ้นเท่านั้น แต่นางเป็นคนยุคปัจจุบันที่ชื่นชอบของใหม่นี่!
เครื่องประดับที่เจ้าเคยใช้แล้ว มีอะไรน่าอยากได้กัน
เพียงแต่จะนำไปขายเอาเงินก็พอได้อยู่
เฉียวเวยเลือกของบางชิ้นที่มีราคาที่สุดออกมา “ขอบคุณพระสนม”
หรงเฟยแย้มยิ้ม “เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนสิ นี่ก็ใกล้ยามเที่ยงแล้ว อยู่กินอาหารกับข้าสักมือจะดีหรือไม่”
ทั้งให้ของทั้งให้อยู่กินข้าว หรงเฟยผู้นี้กำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
สายตาเฉียวเวยพลันเปลี่ยน ตอบด้วยความเกรงใจยิ่งว่า “อาหารข้าคงไม่อยู่ทานแล้ว ข้าขอบอกตามตรง ผู้อาวุโสที่บ้านออกไปเยี่ยมญาติข้างนอก เรื่องใหญ่ๆ ในบ้านรอข้าน้อยกลับไปจัดการอยู่ ขอพระสนมโปรดเข้าใจด้วย”
หรงเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจดี “อายุไม่เท่าไรก็ต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้ที่บ้านแล้ว ช่างน่ายินดียิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็คงไม่รั้งตัวเจ้าไว้แล้ว ฝูหลิง ไปส่งจีฮูหยินที”
ฝูหลิงไปส่งเฉียวเวยออกจากตำหนักกานลั่ว
พอได้มายืนอยู่ตรงทางเดินที่โล่งกว้าง เฉียวเวยก็ถอนหายใจยาว นับว่าได้ปลดแอกจากสนมที่ถูกทิ้งนั่นเสียที ถ้ายังอยู่ต่อไป เซลล์สมองนางคงถูกใช้จนหมด!
นางอยู่ในตำหนักกานลั่วนานเกินไปจนจะถึงเวลาเที่ยงวันแล้วจริงๆ เฉียวเวยท้องร้องจ๊อกๆ รีบเร่งฝีเท้าเดินออกจากวังหลวง
เพราะเดินเร็วเกินไปไม่ทันได้ดูทาง ตอนเลี้ยวโค้งจึงชนเข้ากับราชองครักษ์ที่เลี้ยวมาจากอีกทางเข้าอย่างจัง
เฉียวเวยรู้ว่าตนผิดจึงรีบกล่าวขอโทษอย่างมีมารยาท “ขอโทษด้วย เดินชนเจ้าเสียแล้ว เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”
องครักษ์ไม่ตอบอะไร เดินเฉียดนางไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง
เฉียวเวยขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ นางหันไปมองตามองครักษ์ที่ค่อยๆ เดินห่างออกไป ดวงตานางสั่นไหว รู้สึกว่าองครักษ์ผู้นี้ท่าทางชอบกลนัก
นางก้าวขาเดินต่อไป เดินไปได้หลายก้าวแล้วแต่ความรู้สึกสงสัยในใจก็ยังไม่หายไป นางจึงเดินถอยกลับมาแล้วตามองครักษ์ผู้นั้นไป
ระหว่างที่ไล่ตามไปนั้นจู่ๆ นางก็คิดถึงองครักษ์หลายคนที่นางเห็นตอนเข้าวังมาเมื่อเช้า ลักษณะท่าทางของเขาช่างเหมือนกับคนเหล่านั้นยิ่งนัก เป็นคนที่มาจากค่ายทหารงั้นหรือ
ระหว่างที่สงสัยอยู่นั้นก็เห็นองครักษ์ผู้นั้นหันฝีเท้าเดินไปยังคุกใต้ดิน
องครักษ์ที่เฝ้าคุกใต้ดินอยู่ไม่ใช่คนเมื่อวานแล้ว เขาขวางองครักษ์ผู้นั้นไว้ องครักษ์ผู้นั้นควักราชโองการจากอกเสื้อออกมายกให้ดู พอองครักษ์ที่เฝ้าคุกเห็นก็ปล่อยเขาเข้าไปอย่างนอบน้อมทันที
องครักษ์ผู้นั้นเข้าในคุกใต้ดิน ไม่เท่าไรก็แบกใครคนหนึ่งออกมา
เฉียวเวยเพ่งมอง นั่นไม่ใช่ยิ่นอ๋องหรอกหรือ
ฝ่าบาทให้พาตัวยิ่นอ๋องไปไหนกัน
เหตุใดฝูกงกงถึงไม่นำราชโองการมาด้วยตนเอง แต่กลับส่งองครักษ์ที่หน้าตาไม่คุ้นเช่นนี้มา
ด้วยความสงสัย เฉียวเวยจึงแอบตามหลังอีกฝ่ายไปเงียบๆ
เดิมทีคิดว่าอีกฝ่ายจะแบกตัวยิ่นอ๋องไปที่ตำหนักกานลั่ว แต่ผู้ใดจะคิดว่ายิ่งเดินยิ่งออกนอกเส้นทาง จนเข้าไปยังวังเย็นที่ไร้ซึ่งผู้คน
ที่นี่เป็นวังเย็นตำหนักเก่า ตำหนักวังเย็นใหม่สร้างอยู่ด้านหลัง ที่นี่จึงถูกปล่อยให้ทิ้งร้าง ในวังเย็นมีคนล้มตายไปไม่น้อย ที่นี่จึงมีมากล้นด้วยวิญญาณ แม้ยามกลางวันก็ยังไม่มีผู้ใดมาเหยีบที่นี่
เช่นนี้แล้ว เหตุใดฮ่องเต้ถึงให้พายิ่นอ๋องมายังสถานที่เช่นนี้นะ