ตอนที่ 414 สังหารราชันอสูร! (2)
เฉียวเวยขี่ม้าออกไปไกลแล้วก็ยังได้ยินเสียงคร่ำครวญราวเสียสติของหรงเฟยอยู่ ต้องบอกว่ามันช่างสาแก่ใจนัก!
ราชันอสูรเป็นไพ่ตายในมือของหรงเฟย เดิมทีหรงเฟยคงไม่คิดจะลงไพ่นี้กระมัง ถึงอย่างไรจะฆ่าไก่จำเป็นต้องใช้มีดล้มวัวด้วยหรือ นกกระจิบตัวเล็กอย่างตนในสายตาหรงเฟยยังไม่คู่ควรให้ราชันอสูรออกโรง แต่ที่คิดไม่ถึงก็คืออาจารย์ตาฮั่วจะมา อาจารย์ตาฮั่วเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ราชันอสูรต้องออกโรง
เดิมทีคิดว่าด้วยความสามารถของราชันอสูรจะต่อกรกับผู้ใดก็เหลือเฟือทั้งสิ้น คงไม่คิดว่าจะมาแหลกสลายด้วยมือท่านแม่กระมัง
เช่นนี้เรียกว่าสวรรค์ทำผิดพอให้อภัย ตนทำผิดมิอาจละเว้น!
ทว่า เสียงร้องไห้นั้นฟังแล้วใจแทบขาด หรงเฟยก็ออกจะเสียใจเกินไปหน่อยกระมัง
ก็แค่นักรบมรณะฝีมือดีตายไปคนหนึ่งมิใช่หรือ ไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกราวกับนางสูญเสียบุรุษไปกระนั้น!
ด้านข้างซากปรักหักพัง หรงเฟยกอดศพราชันอสูรอยู่ หัวไหล่สั่นไปหมด สีหน้าดูเขียวคล้ำ ตรงขมับมีเส้นเลือดปูดออกมา สายตาดุดันประหนึ่งดาบที่ออกจากฝัก
เหล่าราชองครักษ์ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลต่างหันมองหน้ากัน ไม่รู้เลยว่าเวลานี้สถานการณ์เป็นเช่นไร พระสนมของพวกเขาเหตุใดถึงมากอดศพบุรุษแปลกหน้าเช่นนี้ ซ้ำยังร้องห่มร้องไห้ถึงเพียงนี้อีก
บุรุษผู้นั้นคือใครกัน
มีความสัมพันธ์เช่นไรกับหรงเฟย
องครักษ์ที่แบกเสลี่ยงทั้งแปดคนนั้นอีกคือผู้ใด บนหลังแต่ละคนมีดาบยาวสะพายกันอยู่ทั้งสิ้น…
เหตุใดยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องราวในวันนี้ช่างน่าประหลาดนัก
องครักษ์สิบกว่าคนได้แต่มองกันไปกันมา ต่างฝ่ายต่างเห็นแววสงสัยในสายตาของกันและกัน
อีกด้านหนึ่งฝูหลิงตามมาถึง เดิมทีหรงเฟยสั่งให้นางอยู่ที่ตำหนักกานลั่ว แต่หลังจากหรงเฟยออกไปแล้ว นางถึงได้นึกได้ว่าอาภรณ์ของหรงเฟยโปร่งบาง เกรงว่านางจะล้มป่วยไปอีกจึงรีบหยิบเสื้อคลุมตามมา ไฉนเลยจะรู้ว่าจะได้เห็นภาพที่ไม่คาดฝันเช่นนี้
หรงเฟยฟั่นเฟือนไปแล้วหรือ เหตุใดถึงได้แนบชิดกับบุรุษต่อหน้าธารกำนัลมากมายเพียงนี้
ตามพื้นมีแต่ศพกองกันเกลื่อนกลาด กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทำให้คนรู้สึกอยากอาเจียนยากจะทานทน
ฝูหลิงข่มกลั้นความอยากอาเจียนที่พุ่งขึ้นมาเอาไว้ ถือเสื้อมาถึงด้านหลังหรงเฟย เดิมทีคิดอยากเอ่ยปากเตือนหรงเฟยสักสองสามประโยค แต่เมื่อได้เห็นหน้าของบุรุษผู้นั้นชัดๆ นางก็ต้องอุทานด้วยความตกใจตามด้วยล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น!
หรงเฟยหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉย นางไม่ได้มองด้านหลังในทันที แค่เพียงเลื่อนสายตาไปหยุดมองข้างกาย แต่ฝูหลิงรู้สึกได้ว่าหางตาของหรงเฟยกำลังมองมาที่นาง
นางตกใจจนรีบคุกเข่าอยู่กับพื้น!
หรงเฟยวางศพราชันอสูรลง เช็ดน้ำตาบนหน้าช้าๆ กวาดตามองราชองครักษ์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าเรียบเฉยสบายๆ นั้น ประหนึ่งว่าสตรีที่ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือดเมื่อครู่ไม่ใช่นางกระนั้น
เหล่าราชองครักษ์มองนางอย่างอึ้งงัน
นางเอ่ยว่า “พวกเจ้ามานี่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับพวกเจ้า”
องครักษ์สิบกว่าคนกลั้นใจเดินเข้าไป พวกเขาพยายามเต็มที่ให้สายตาไม่หลุกหลิก แต่สุดท้ายก็ฝืนความใคร่รู้ไม่ไหว เหลือบมองบุรุษผู้นั้นอยู่ดี
พอได้มองก็ถึงกับซวนเซจนเกือบล้มลง!
หรงเฟยทำประหนึ่งมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เอ่ยเสียงเรียบว่า “ลำบากพวกเจ้าแล้ว กลับไปกันเถิด”
ทุกคนอึ้งกันไปโดยมิได้นัดหมาย ที่เรียกพวกเขาเข้ามาก็เพื่อจะบอกสิ่งนี้น่ะหรือ ไม่สั่งให้พวกเขาสงบปากสงบคำไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไปหรือ ถึงแม้พวกเขาไม่ได้คิดจะบอกกล่าวออกไปตั้งแต่แรกก็เถิด แต่หรงเฟยก็ไม่ใช่พวกเขา อย่างไรก็ควรเป็นกังวลสักนิดจริงหรือไม่
สงสัยก็ส่วนสงสัย ทุกคนไม่มีใครซื่อบื้อถึงขั้นเป็นฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
ทุกคนทำความเคารพหรงเฟยแล้วหมุนตัวเดินกลับไปทางเดิม
จากนั้นฝูหลิงก็เห็นองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่สองคนถือมีดยาวสองเล่มค่อยๆ เดินเข้าไปประชิดพวกเขา
พวกเขาเอาแต่สาวเท้าเดิน จึงไม่ทันรู้สึกตัว
กลับเป็นองครักษ์ที่เพราะเมื่อครู่ได้เห็นหน้าราชันอสูรแล้วตกใจจนสะดุดล้มที่บังคับตัวเองไม่ได้ต้องเหลือบมองซ้ายมองขวา จึงเหลือบไปเห็นเงามีดบนพื้น องครักษ์ผู้นั้นพลันหน้าถอดสี ชักกระบี่ออกมาทันที “ระวัง…”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงก็ถูกฆ่าปิดปากเสียแล้ว
นักรบมีดยาวจะสังหารนักรบมรณะฝีมือดีของตำหนักราชครูยังไม่ยากเย็น นับประสาอะไรกับราชองครักษ์ธรรมดาเหล่านี้ พวกเขาสิบกว่าคนไม่ทันได้ส่งเสียงร้องเลยด้วยซ้ำ ก็สิ้นใจด้วยมียาวของนักรบมรณะเหล่านั้นแล้ว
ฝูหลิงตัวสั่นงันงกราวกับตั๊กแตน!
มีนักรบมรณะมีดยาวอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาอุ้มราชันอสูรแล้วเอาเขาไปวางที่เกี้ยวหรงเฟย
หรงเฟยขยับแขนเสื้อกว้างที่เปื้อนเลือดก่อนจะเดินผ่านหน้าฝูงหลิงไปด้วยท่าทางสบายๆ
ฝูหลิงหลับตา ศีรษะโขกติดอยู่กับพื้น
หรงเฟยเดินห่างไปหลายก้าวแล้ว ถึงได้มีเสียงสบายๆ ดังมาว่า “ยังไม่รีบตามมาอีก”
ฝูหลิงตะลึงค้าง!
หรงเฟยกลับไม่พูดอะไรอีก ก้าวเท้าขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว
ฝูหลิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาอย่างเสียขวัญ รีบกึ่งเดินดึ่งคลานตามไปทันที
…
เฉียวเวยกับเฮ่อหลันชิงไปกันยังหอหลิงจือที่ใกล้ที่สุด ที่นั่นเฉียวเวยได้พบกับบิดาของตน ไม่ได้พบกันช่วงหนึ่ง บิดาของนางดูจะเปล่งรัศมีมากขึ้นกว่าเดิมอีกแล้ว!
ภาพครั้งแรกที่ได้พบกับบิดาของนางที่เรือนผุๆ พังๆ แห่งหนึ่งในเมืองหลวงยังคงติดตราตรึงใจ บิดาของนางในเวลานั้นดูซูบผอมเสียยิ่งกว่าอะไร แต่เวลานี้เขาดูหนุ่มขึ้นหลายปี ดูท่าช่วงที่ได้อยู่กับมารดาของนางคงจะชุ่มฉ่ำผิดไปจากธรรมดากระมัง!
เฉียวจิงกำลังนั่งบดยาอยู่ที่โถงใหญ่ พอเหลือบขึ้นมาเห็นคนที่ตนเฝ้าคะนึงหามายืนอยู่ตรงหน้าประตู สายตาเขาก็เป็นประกาย ทิ้งสมุนไพรในมือแล้วเดินเข้าไปหา
เฉียวเวยไม่ได้พบหน้าบิดาตนมานานแล้ว จึงมีความคิดถึงอยู่บ้าง นางก้าวเข้าไปแล้วก้างแขนออก “ท่าน…”
“ให้ตายสิ เจ้าไปที่ใดมา” เฉียวเจิงเดินผ่านเฉียวเวยเข้าไปตรงหน้าเฮ่อหลันชิง เขาจับมือนางแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงไปนานเพียงนี้ กับข้าวเย็นหมดแล้ว!”
เฉียวเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ!
“ท่านพ่อ”
“ข้าทำปลาสามรสที่เจ้าชอบ เดี๋ยวข้าไปจัดการอุ่นสักหน่อย”
“ท่านพ่อ…”
“ใช่สิ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะไปหาเสี่ยวเวยหรอกหรือ นางอยู่ไหนเล่า”
“ท่านพ่อ!” เฉียวเวยเดือดจัด
เฉียวเจิงใจสั่นสะท้าน หันหน้าไปมองบุตรสาวขึ้นลงรอบหนึ่งแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “เอ๋ เจ้ามาแล้วหรือ มาตั้งแต่เมื่อใดกัน”
มา ตั้ง นาน แล้ว โว้ย!
สาย ตา ท่าน มอง เห็น แต่ ท่าน แม่ ข้า หรือ อย่าง ไร!
เฉียวเวยสูดหายใจเข้าออกหลายครั้ง ไม่โกรธ ไม่โกรธ นี่คือบิดาของนางเอง
เป็นนานกว่านางจะข่มไฟโทสะกลับลงไปได้ เฉียวเวยมองหน้าบิดาตนแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าฟังว่า “เมื่อครู่ข้า…”
“ชิงหลวนเอ๋ย เจ้าออกไปนานเพียงนี้ คอแห้งแล้วกระมัง” เฉียวเจิงยิ้มพลางรินน้ำให้เฮ่อหลันชิงถ้วยหนึ่ง
เจ้าสำนักเฉียวที่ถูกเมินเฉยอีกครั้งพลันหน้าบึ้ง
ข้ามันตัวแถมจริงๆ เสียด้วย รู้แจ้งแก่ใจแล้ว!
…
แน่นอนว่า การที่บิดามารดามีสัมพันธ์อันดีต่อกัน เฉียวเวยย่อมดีใจ นับประสาอะไรกับการที่บิดาของนางมองเห็นนางก็ต่อเมื่อมารดานางไม่อยู่เท่านั้น!
เจ้าสำนักเฉียวแสดงออกว่าตนพอใจมากแล้ว
เฉียวเจิงกับบุตรสาวพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ประเด็นสำคัญล้วนอยู่ที่เรื่องของมารดานาง หลังจากพูดคุยกันเสร็จ ก็ไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อรักษาบาดแผลให้อาจารย์ตาฮั่วกับยิ่นอ๋อง
ส่วนเฉียวเวยไปเล่าสิ่งที่พบเจอมาหลังจากแยกกันให้เฮ่อหลันชิงฟัง เริ่มตั้งแต่พบตัวฉางเฟิงสื่อของเยี่ยหลัวคนแรกอย่างท่านเขยฉินรวมถึงเรื่องของซู่ซินจง เฮ่อหลันชิงนั่งฟังเงียบๆ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ ในสายตานางมีเพียงบุตรสาวคนเดียวเท่านั้น
“พวกผู้อาวุโสของซู่ซินจงเหล่านั้นถือเอาว่าตนพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง แต่เอาเข้าจริงความสามารถก็ไม่เท่าไร! ข้าแค่ตบๆๆ ไปสามสีที ก็เล่นงานพวกเขาจนหมดท่าแล้ว!”
นางเลือกที่จะลืมเรื่องหลบหนีก่อนเริ่มกับที่ผู้อาวุโสยอมอ่อนให้ไป ความสามารถในการอวดอ้างนี้เรียกได้ว่าสมกับเป็นจั๋วหม่าน้อยจริงๆ
เฮ่อหลันชิงนึกถึงบุรุษที่พากลับมาจากในวังด้วยขึ้นมา จึงถามถึงฐานะของเขา
เฉียวเวยตอบไปตามจริงว่า “ยิ่นอ๋อง”
เฮ่อหลันชิงหรี่ตาลงอย่างดุดัน “เขาก็คือบุรุษคนที่แทงเจ้าน่ะหรือ ข้าจะไปฆ่าเขา!”
เฉียวเวยรีบกอดแขนเฮ่อหลันชิงไว้ “ท่านแม่ๆๆๆ! อย่าเพิ่งวู่วาม ข้าหายกันกับเขาแล้ว! ข้าเอาคืนได้แล้ว เวลานี้ข้ากับเขาไม่ติดค้างอะไรกันแล้ว อีกอย่างมีความเป็นได้สูงที่เขาจะเป็นบุตรชายในอุทรของท่านน้า หากท่านปลิดชีพเขาเสีย ข้าจะไปบอกแก่ท่านน้าไม่ได้แล้ว”
“ท่านน้าเป็นใครอีกเล่า” เฮ่อหลันชิงถามเสียงขรึม
“เป็นน้องสาวขององค์หญิงเจาหมิง” เฉียวเวยเล่าเรื่ององค์หญิงเจาหมิงให้นางฟังด้วยเลย “…ครั้งแรกที่ข้าได้พบท่านน้า พวกเราต่างคิดกันว่าองค์หญิงกลับมาแล้ว ตอนหลังไปดูที่สุสานองค์หญิงเห็นว่าศพหายใจ จึงยิ่งมั่นใจว่าเป็นองค์หญิง โชคดีที่หมิงซิวไปพบจดหมายฉบับหนึ่งเข้าที่ในโลง ถึงได้รู้ว่ามารดาขององค์หญิงให้กำเนิดลูกแฝด คนหนึ่งคือนาง อีกคนหนึ่งก็คือท่านน้า ท่านน้าจำเรื่องในอดีตไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจมั่นใจได้ว่ายิ่นอ๋องใช้บุตรของนางหรือไม่ แต่หากเกิดใช่ขึ้นมาเล่า จริงหรือไม่ พวกเราอย่าเพิ่งฆ่ายิ่นอ๋องเลยจะดีกว่า”
หลังจากนั้นเฉียวเวยก็เล่าเรื่องตำหนักราชครูให้เฮ่อหลันชิงฟังต่อ ตอนได้ยินนางเล่าว่าเจ้าเด็กอ้วนวั่งซูจัดการทรมารราชครูเยี่ยหลัวจนไม่เหลือชิ้นดีนั้น เฮ่อหลันชิงก็ยกมุมปากขึ้นอย่างนับว่าพอใจ “เหมือนเด็กตระกูลเฮ่อหลันยิ่งนัก”
นางเพียงแค่ยิ้มบางๆ ดอกไม้ตูมในสวนก็เบ่งบานประชันโฉมกันแล้ว
หลังจากนั้นอีกก็เป็นเรื่องไล่ตามตำราลับแต่กลับถูกธนูจันทร์โลหิตยิ่งเข้า
พอได้ยินว่าบุตรสาวถูกยิงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ไอที่แผ่ออกมาจากเฮ่อหลันชิงก็พลันเย็นยะเยือกขึ้นในพริบตา
ดอกไม้ในสวนตกใจจนขวัญผวา พากันหุบกลีบดอกไม้กลับไปดังเดิม!
เฮ่อหลันชิงตบมือบุตรสาวเบาๆ เผยรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างนางมารออกมา “ไว้ข้าเอาตัวนางมาได้ เจ้าอยากยิงใส่นางกี่ดอกก็เอาให้หนำใจได้เลย!”
ความรู้สึกการมีแม่นี่ช่างประเสริฐนัก!
…
ห้องใต้ดินที่เย็นยะเยือก ฝูหลิงค่อยๆ เดินไปตรงมุมกำแพง เอาไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่วางลงบนโคมไฟ
แสงสว่างจากไข่มุกราตรีค่อยๆ ให้ความสว่างกับห้องใต้ดิน
ราชันอสูรนอนนิ่งอยู่ในโลงน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่แผ่ไอเย็นออกมา หรงเฟยจับมือข้างหนึ่งของเขาขึ้นมาแนบแก้ม สองตาแดงระเรื่อขณะเอ่ยว่า “สตรีนางนั้นสังหารเจ้า เจ้าวางใจเถิด ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าให้จงได้!”