ตอนที่ 418-1 หรงเฟยบาดเจ็บหนัก (3)
“นายน้อย ดูเหมือนโรคเก่าข้าจะกำเริบเสียแล้ว ท่านช่วยดูให้ที”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหาเหตุเรียกตัวจีหมิงซิวไปหลังต้นไม้ที่อยู่ห่างไม่ไกล เขาลอบมองแม่เฒ่าเมิ่งทีหนึ่ง พอมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มองมาทางนี้ถึงได้เอ่ยด้วยความหัวเสียว่า “องค์หญิงทิ้งธนูจันทร์โลหิตไว้ให้เจ้าหรือ”
“ย่อมไม่มี” จีหมิงซิวตอบ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยไม่เข้าใจ “เช่นนั้นเหตุใดนางถึงเอ่ยเช่นนี้ นางกำลังแกล้งพวกเราอยู่หรือไม่ หรืออยากหลอกเอาธนูจันทร์โลหิตไปจากพวกเราน่ะ”
จีหมิงซิวปรายตามองเขาทีหนึ่ง “เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว นางไม่รู้เสียหน่อยว่าพวกเราขโมยธนูจันทร์โลหิตมาจากตำหนักราชครู ที่นางคิดว่าในมือพวกเรามีธนูอยู่ เป็นไปได้เพียงว่าเดิมทีในมือพวกเราควรมีธนูอยู่หนึ่งคัน”
สมองของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่พอใช้เสียแล้ว “เหตุใดข้ายิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างใช้ความคิด “หากข้าเดาไม่ผิด ในมือท่านแม่ข้าเคยมีธนูอยู่คันหนึ่งจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงเก็บไว้ไม่อยู่ และนางก็ไม่อยากให้ข้าต้องตามหา จึงไม่บอกข้าเสียเลย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพลันกระจ่างแจ้งแก่ใจ “ให้ตายสิๆๆ เจ้าพูดเช่นนี้ข้าฟังเข้าใจแล้ว! ตำหนักราชครูมีธนูจันทร์โลหิตอยู่คันหนึ่ง ในมือองค์หญิงก็มีธนูจันทร์โลหิตอยู่คันหนึ่ง แต่เมื่อสิบกว่ายี่สิบปีในอดีตมีคนขโมยธนูจันทร์โลหิตขององค์หญิงไป! ธนูจันทร์โลหิตที่ยิงใส่เสี่ยวเวยนั่นก็เป็นขององค์หญิงน่ะสิ!”
เช่นนี้ตลกร้ายเกินไปแล้วกระมัง!
สะใภ้ถูกธนูของแม่สามียิงจนได้รับบาดเจ็บ แม่สามีที่อยู่ในปรโลกจะจิตใจสงบได้อย่างไร
แม่งเอ้ย! อย่าให้รู้เชียวนะว่าผู้ใดเป็นคนทำ พ่อจะถลกหนังให้หมดตัวเลยคอยดู!
ท่านยายเมิ่งเห็นทั้งสองหายเงียบกันไปนานเลยถือไม้เท้าเดินเข้ามา “พวกเจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง เจ้าป่วยเป็นอะไร อย่าได้แผ่ไอโรคมาให้นายน้อยเชียวนะ! มาข้าดูให้!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยทำท่าดึงเสื้อลงพลางเดินออกมาจากหลังต้นไม้ เอ่ยอย่างไม่อินังขังขอบว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว! ไม่รบกวนท่านแม่เฒ่าหรอก!”
ท่านยายเมิ่งกรอกตาบนใส่
จีหมิงซิวบอกว่า “ท่านยายรอสักเดี๋ยว ข้าจะให้คนไปเอาธนูจันทร์โลหิตมา”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลิกคิ้ว กระซิบลอดไรฟันออกมาว่า “จะไปเอาที่ใด”
จีหมิงซิวเอ่ยหน้าตาเฉย “ที่บ้านไม่ได้มีอยู่คันหนึ่งหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกเสียงต่ำ “คันนั่นมิใช่ขององค์หญิงสักหน่อย!”
จีหมิงซิวยังคงไม่สนใจ “หน้าตาเหมือนกันนั่นแหละ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “เรื่องนี้…”
“เจ้าทำอะไรน่ะยุกยิกยุกยิกอยู่นั่น ให้เจ้าไปเอาธนูมาเจ้าไม่พอใจหรือ คนเช่นเจ้านี่นะ มีแค่นายน้อยเท่านั้นแหละที่ใจดีผ่อนปรนให้เจ้า หากเป็นข้าเจ้าคงถูกลากออกไปตีตายแล้ว!” ท่านยายเมิ่งถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพร้อมเอ่ยน้ำเสียงดุดัน
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสูดหายใจเขาลึกๆ
เจ้าอายุมากแล้ว ข้าจะไม่ถือสาหาความกับเจ้า!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว
รองแม่ทัพสวีรออยู่หน้าประตู พอเห็นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยวพุ่งออกมาราวกับบินได้ ก็ตะโกนไล่หลังเขาว่า “นี่ จอมยุทธเยี่ยน ท่านจะไปไหนน่ะ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่มีเวลาสนใจเขา ใช้วิชาตัวเบากระโดดลอยออกจากทิวเขาไปทันที เขาเลือกม้าศึกชั้นดีจากในค่ายทหารมาตัวหนึ่ง แล้วหวดแส้ควบม้ามุ่งหน้ากลับบ้านตระกูลจีทันที
ช่วงที่รอธนูจันทร์โลหิต จีหมิงซิวกับท่านยายเมิ่งก็พูดเรื่องนายทหารกันขึ้นมา ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือเขาได้รับการไหว้วานให้มาดูแลค่ายทหาร
“เฮ่อ” ท่านยายเมิ่งถอนหายใจ “ในเมื่อนายน้อยเอ่ยปากแล้ว ข้าก็จะปล่อยพวกเขาให้ก็แล้วกัน แต่เรื่องของที่นี่ พวกเขาห้ามเอาไปพูดแม้เพียงครึ่งคำ…”
จีหมิงซิวพูดอย่างเข้าใจดี “ข้าย่อมมีวิธีไม่ให้พวกเขาพูดออกไป”
“ข้าเชื่อนายน้อย”
ท่านยายเมิ่งให้คนปล่อยตัวพลทหารใหม่กลุ่มนั้นออกมา
จีหมิงซิวเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้รองแม่ทัพสวีนำไปให้จีอู๋ซวงที่บ้านสีประสาน เนื้อความในจดหมายเขียนอย่างชัดเจนว่าให้ติดต่อเฟิ่งชิงเกอ
ด้วยความสามารถของเฟิ่งชิงเกอ เพียงพอที่จะให้คนเหล่านี้ลืมเรื่องในสองสามวันนี้ไป
ดึกสงัด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอาธนูจันทร์โลหิตกลับมาถึง
แล้วก็เป็นไปตามที่จีหมิงซิวคาดการณ์ ท่านยายเมิ่งไม่รู้ว่าธนูคันนี้เป็นธนูจันทร์โลหิตของตำหนักราชครู แต่เพื่อความมั่นใจ นางยังให้บุตรชายมาลองดู บุตรชายง้างธนูไม่ออก นางถึงได้มั่นใจว่าธนูคันนี้เป็นของจริง
นางให้บุตรชายเฝ้าปากถ้ำเอาไว้ อย่าให้ผู้อื่นบุกเข้าไปได้ ส่วนตนกับพวกจีหมิงซิวจะเข้าไปในด้านถ้ำด้วยกัน
ถ้ำแห่งนี้ที่ทางเข้าทั้งเตี้ยทั้งแคบ จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจำต้องโค้งตัวเป็นแมวถึงจะลอดเข้าไปได้ เดินเข้าไปพักหนึ่งถึงได้เจอกับประตูหิน บนประตูมีรูปโค้งเป็นคันธนู
จีหมิงซิวเอาธนูจันทร์โลหิตวางลงไป ก็ได้ยินเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นทีหนึ่งก่อนประตูหินจะค่อยๆ เปิดออก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยท่าทางเหมือนคิดอะไรได้ หันไปเอ่ยกับท่านยายเมิ่งว่า “หลายปีนี้ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่คิดจะเข้าไป แต่เข้าไปไม่ได้มากกว่ากระมัง”
“แค่ก!” ท่านยายเมิ่งถึงกับไอออกมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพิ่งมองนางทีหนึ่งก่อนจะก้าวเข้าประตูหินไป
ด้านหลังประตูเข้าไปลึกเกินไป แสงจึงลอดผ่านเข้าไปไม่ถึง
จีหมิงซิวหยิบเอาไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ออกมา
สายตาท่านยายเมิ่งพลันหดตัว “ไข่มุกจันทร์กระจ่าง? นายน้อยไปที่ชนเผ่าลึกลับมาแล้ว?”
“เจ้ารู้เรื่องชนเผ่าลึกลับด้วยหรือ เช่นนั้นเจ้าก็คงรู้ว่านายน้อยเป็นโหราจารย์ด้วยกระมัง”
ท่านยายเมิ่งพยักหน้า “เคยได้ยินองค์หญิงพูดถึง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เข้าใจ “องค์หญิงรู้ได้อย่างไร”
ท่านยายเมิ่ง “องค์หญิงเคยไปยังพื้นที่ต้องห้ามของบ้านตระกูลจี นางเห็นของบางอย่างที่เป็นของตำหนักโหราจารย์ ของพวกนั้นคนตระกูลจีอาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร แต่องค์หญิงรู้”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเล่าทั้งๆ จีซั่งชิงอ่านภาษาเยี่ยหลัวเข้าใจ แต่กลับไม่รู้ถึงฐานะของบรรพบุรุษตระกูลจี จีซั่งชิงไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวอักษรหน้าตาประหลาดเหล่านั้นก็คืออักษรเยี่ยหลัวนี่เอง แต่องค์หญิงเป็นคนเยี่ยหลัว มองปราดเดียวก็ย่อมเข้าใจ
“โอ้ย” อยู่ๆ ท่านยายเมิ่งก็จับเอวพร้อมร้องออกมา “คนนี่นะ พออายุมากขึ้นขาแข้งก็ใช้การไม่ค่อยจะดี เดินจนปวดไปหมดแล้วเนี่ย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยเสียงเย็น “ขาเจ็บเจ้าจับเอวไปไย”
ท่านยายเมิ่ง “เอวก็ปวด”
“เจ้าแบกท่านยายที” จีหมิงซิวเอ่ยสั่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระตุกมุมปากแล้วแบกตัวท่านยายเมิ่งขึ้นหลัง ก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดด้วยความไม่พอใจ “เจ้าก็บอกอยู่ว่าอายุมากแล้ว รออยู่ข้างนอกไปก็สิ้นเรื่อง จะเข้ามาหาเรื่องในนี้ทำไม”
พอเข้าไปด้านหลังประตูหิน พื้นที่ในถ้ำกว้างขวางมาก แต่เดินเข้าไปด้านในได้ระยะหนึ่ง ยิ่งเดินทางเดินก็ยิ่งแคบลง เดินเข้าไปอีกก็กว้างพอแค่สองคนเดินเท่านั้น พอยิ่งเข้าไปอีกแค่จะเดินคู่กันยังไม่พอ
เดิมทีจีหมิงซิวเดินอยู่ด้านหน้าสุด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรกับเขา เลยเบียดแทรกเขาให้ไปอยู่ด้านหลังแทน