ตอนที่ 418-2 หรงเฟยบาดเจ็บหนัก (3)
เดินต่อไปอีกไม่รู้นานเท่าไรอยู่ๆ ข้างหน้าก็มีเสียงแก๊กๆ ดังขึ้น สายตาเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพลันสั่นไหว ยื่นมือข้างหนึ่งออกมายิงอาวุธลับออกไปแถวหนึ่ง
อาวุธลับชนลูกธนูแหลมที่พุ่งเข้ามาจนตกไป พอเห็นลูกธนูที่อยู่บนพื้น ท่านยายเมิ่งก็ร้องอย่างเพิ่งนึกได้ว่า “ข้างในมีค่ายกล”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงกับเหงื่อซึม เมื่อครู่หากไม่ใช่เพราะตนปฏิกิริยาว่องไว เวลานี้คงถูกยิงจนพรุนเป็นเม่นแล้ว “เหตุใดเจ้าถึงไม่รีบบอกเล่า!”
ท่านยายเมิ่งบอกอย่างใสซื่อ “ก็เพิ่งนึกได้นี่”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยโมโหจนแทบจะอยากโยนนางทิ้ง!
ทั้งสามเดินหน้ากันต่อไปอีกระยะหนึ่ง ในที่สุดก็ออกจากทางเดินแคบๆ ได้เสียที พวกเขาเข้าไปยังโถงถ้ำที่โอ่โถงอีกอันหนึ่ง ถ้ำแห่งนี้ดูเผินๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่พอได้มายืนอยู่ข้างในมันรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง
จีหมิงซิวถือไข่มุกจันทร์กระจ่างวนไปรอบๆ ถ้ำ เพื่อตามหาทางไปต่อ แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะเจอว่าตรงกำแพงถ้ำที่ตะปุ่มตะป่ำไปเรียบนั้น จู่ๆ ตรงหน้าก็มีแนวหิวโสโครกโผล่ขึ้นมา ตรงแนวหินนั้นยังมีหินหน้าตาเหมือนอาวุธนักรบอยู่อันหนึ่งด้วย
จีหมิงซิวยกไข่มุกจันทร์กระจ่างสูงขึ้น อาศัยความสว่างของมันดูรูปลักษณ์ของของที่อยู่ด้านในให้ชัด
ตรงนั้นใช่หินสลักข้างในหินโสโครกเมื่อไรกัน เห็นชัดว่าเป็นหินโสโครกแถวหนึ่ง หินสลักแถวหนึ่ง…
“อย่าขยับ!” จีหมิงซิวตะคอกบอก
แต่น่าเสียดายที่สายไปก้าวหนึ่ง เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหยียบถูกอะไรบางอย่างเข้าเสียแล้ว ที่พื้นมีเสียงเปรี๊ยะดังสนั่นขึ้น ก่อนจะตามด้วยการขยับของหินสลักทั้งหมด หินสลักกระชับกระบี่ยาวในมือแล้วมุ่งหน้าเข้ามาโจมตีทั้งสาม
หินสลักรูปทหารกลุ่มนี้แต่ละตัวหนักเกือบหนึ่งร้อยจินเห็นจะได้ หากโดนเข้าไปฝ่ามือหนึ่งคงถูกฝังอยู่ใต้ดินทันที หากถูกพวกมันโจมตีใส่เข้า ผลจะเป็นอย่างไรคงไม่ยากจะคาดเดา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่กล้าฝืนสู้ จึงถูกรุกไล่จนล้มลุกคลุกคลานไปหมด
ไม่รู้เพราะเขากระโดดแรงเกินไปหรืออย่างไร แต่หินสลักที่เดิมกำลังเข้าไปโจมตีจีหมิงซิวก็ถูกดึงดูดมาที่เขาด้วย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยอยากจะร่ำไห้ เรื่องดีๆ ไม่เคยมีมาหาเขาหรอก เรื่องร้ายๆ นี่ไม่เคยพลาดเลย
จีหมิงซิวตามหาอยู่ในถ้ำพักหนึ่ง ก็เห็นปากถ้ำที่อยู่ข้างหน้า “เจอทางออกแล้ว รีบไปตรงนั้น!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็อยากไปตรงนั้นเช่นกัน แต่หินสลักกลุ่มหนึ่งตามพัวพันเขาไม่มีลดละเลยนี่!
อีกด้านหนึ่ง จีหมิงซิวเดินไปถึงทางออกแล้ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับยังถูกหินสลักไล่ล่าจนยากจะปลีกตัวออกไป เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยกัดฟัน ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามหัวหินสลักไป เขากระโดดสูงได้ไม่มากนัก เพราะเดี๋ยวจะชนถูกเพดานถ้ำเสีย ดังนั้นด้วยระยะห่างเท่านั้น หินสลักแค่ยื่นมือก็คว้าเขาลงมาได้แล้ว!
หินสลักตัวหนึ่งรุกไล่เขาจนไปชิดมุมกำแพง เงื้อหมัดที่เล่นงานถึงชีวิตขึ้นแล้วชกไปทางศีรษะของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างไม่มีปรานีทันที
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกแขนขึ้นกัน กลายเป็นว่าแขนทั้งแขนชาดิก…
หินสลักโดยรอบพากันเข้ามารุมล้อม ที่เงื้อหมัดก็เงื้อหมัด ที่ยกกระบี่ก็ยกกระบี่ พร้อมใจกันโจมตีเข้าหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหน้าพลันเปลี่ยนสี แย่แล้วๆ คราวนี้หนีไม่พ้นแน่…
ในช่วงเส้นยาแดงผ่าแปดนั้นเอง ท่านยายเมิ่งที่อยู่ด้านหลังยกไม้เท้าขึ้นมาวาดเป็นวงจนศีรษะของหินสลักหลุดจากบ่า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองภาพนั้นอย่างตาโตอ้าปากค้าง…
ท่านยายเมิ่งตะคอกบอกว่า “มัวดูอะไรอยู่ ยังไม่รีบหนีอีก!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงได้สติกลับเข้าร่าง มองหินสลักที่กำลังเดินมาทางตนแล้วรีบแบกตัวท่านยายเมิ่งวิ่งเร็วจี๋เข้าปากถ้ำอีกอันไปทันที
หินสลักเหล่านั้นดูเหมือนจะเคลื่อนตัวได้ในพื้นที่ที่จำกัด จึงไม่ได้ตามมา
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอามือจับหน้าอกที่เต้นตึกตัก “ท่านยาย ท่านคมในฝักอยู่นะ!”
ท่านยายเมิ่งทำเสียงหึๆ ด้วยความดูแคลน
พอคิดอะไรได้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้ปวดเอวปวดขาสินะ เจ้าคงแค่ไม่อยากเดินเองกระมัง”
ท่านยายเมิ่งตีศีรษะเขาให้ทีหนึ่ง “หุบปาก! เดินของเจ้าไป!”
หลังจากนั้นทั้งสามกลับไม่เจอความอันตรายใดๆ อีก เดินทางไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ตรงปลายทางเดินมีถ้ำอีกแห่งหนึ่ง
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงุนงงหนัก “ นี่ ที่นี่มีถ้ำกี่แห่งกันแน่”
จีหมิงซิวใช้มือตบไปตามผนังถ้ำ พอตบเจอส่วนที่ข้างในกลวง เขาก็ไล่หาทั้งข้างบนข้างล่าง เขาเจอจิ้งจกตรงมุมขวาบน จิ้งจกตัวนั้นทำไว้ราวกับมีชีวิต ต่อให้ดูโดยละเอียดก็ยังดูไม่ออก แต่จีหมิงซิวยื่นมือไปจับก็รู้ว่าเป็นตัวปลอม
จีหมิงซิวบิดจิ้งจกนั้นเบาๆ กำแพงหินก็เปิดออกพร้อมเสียงที่ดังสนั่น
อากาศที่คุ้นเคยพัดเข้ามาใส่หน้า
จีหมิงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้ามองขึ้นไปยังโพรงเหนือศีรษะ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเดินเข้ามา มองตามสายตาเขาไป “เอ๋ เหตุใดบนเพดานถึงมีโพรงถ้ำด้วย ซ้ำยังไม่ใช่แค่โพรงเดียวเสียด้วย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยร้องอ่าขึ้นมาทีหนึ่ง “โลงศพ? สวรรค์ นี่คือสุสานโบราณหรือนี่!”
จีหมิงซิวสายตาล้ำลึก “สุสานของท่านแม่ข้า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงกับตาค้าง “อะไรนะ สุสานขององค์หญิง นี่ นี่ นี่…ที่พวกเราเดินวกไปวนมาคือมาอยู่ใต้สุสานองค์หญิงหรือนี่!”
ท่านยายเมิ่งรีบกระโดดลงจากหลังเยี่ยนเฟยเจวี๋ย ใช้ไม้เถ้าเดินค้ำไปตรงหน้าโลงศพ ในขณะที่กำลังจะร้องไห้คร่ำครวญนั้น กลับพบว่าในโลงศพไม่มีศพใดๆ อยู่เลย นางพลันหน้าซีด “ร่างขององค์หญิงเล่า หายไปไหนเสีย”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกว่า “พูดไปก็เรื่องยาว” เขาชี้ไปยังจีหมิงซิวที่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ห่างไปไม่ไกล “อย่ารบกวนนายน้อย”
สองครั้งก่อนหน้า จีหมิงซิวคลำทางเข้ามาจากอีกด้านหนึ่ง ภาพที่ได้เห็นจากฝั่งตรงข้ามกับจากจุดนี้ ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะลายบนโลงศพ ดูเหมือนมือเรียวข้างหนึ่งของสตรี
สายตาจีหมิงซิวมองตามรอย “มือ” ที่ค่อยๆ ทิ้งตัวลงไปด้านใต้โลงศพ ไปหยุดตรงตะปูเหล็กที่ไม่เป็นที่สังเกตอันหนึ่ง
เขาเอามือลงไปกดหนักๆ จนตะปูบุ๋มลงไป
แคร๊ก…
ก้นโลงศพเปิดออก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยื่นหน้าไปมอง “ไม่ใช่กระมัง ที่นี่ก็มีทางเดินอีกหรือ”
ทางเดินในโลงศพย่อมไม่ใช่ทางเดินปกติธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ไม่รู้ว่ามุ่งหน้าไปที่ใด จะเป็นขุมสมบัติ…หรือขุมนรก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกระโดดลงไป
“ไอหนู เจ้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้!” ท่านยายเมิ่งตะคอกเสียงเข้ม เยี่ยนเฟยเจวี่ยปีนขึ้นมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แล้วแบกท่านยายเมิ่งลงไปด้วยกัน
จีหมิงซิวก็ปีนบันไดลงไปด้วย
ครั้งนี้ในที่สุดสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ไม่ใช่ปากถ้ำอีก
เป็นประตูโค้งหน้าตาโบราณ คราบสีน้ำมันสีแดงเหนือประตูดูผ่านช่วงเวลามาประมาณหนึ่งแล้ว บนประตูมีตุ่มทองหนึ่งร้อยแปดลูกเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ตุ่มทองตรงสองแถวกลางเป็นรูปหัวสิงโตท่าทางดุดัน ในปากหัวสิงโตมีวงประตูดูเย็นจัดคาบอยู่
ส่วนด้านบนประตูโค้งมีป้ายแผ่นหนึ่งแขวนอยู่ บนป้ายมีการใช้อักษรเยี่ยหลัวโบราณสลักเป็นตัวอักษรที่ดูน่าเกรงขามสามตัว
วังเยี่ยหมิง
แน่นอนว่ามันยังมีอีกชื่อที่ใช้กันมาแต่โบราณ… วังหลวงเยี่ยหลัว