เล่ม 1 ตอนที่ 419 ความจริงของสุสานองค์หญิง (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 419 ความจริงของสุสานองค์หญิง (1)

ทุกคนพากันอึ้งงัน แม้แต่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ไม่รู้ภาษาเยี่ยหลัวก็ยังเดาออกว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใด คิดไม่ถึงเลยจริงๆ วังหลวงที่คนเยี่ยหลัวเฟ้นหามาตลอดหลายปีอยู่ในเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าเหลียงนี่เอง ซ้ำยังสร้างอยู่ใต้สุสานองค์หญิงเสียด้วย

คราวนี้พวกเขาก็ไม่เข้าใจแล้ว

วังหลวงของคนเยี่ยหลัวเหตุใดจึงมาอยู่ที่ต้าเหลียงได้?

แต่ลองใคร่ครวญดูแล้วก็เหมือนจะไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ตอนคนเยี่ยหลัวรวบรวมใต้หล้าและสถาปนาราชวงศ์เทียนฉี่นั้น ต้าเหลียงก็ดี หนานฉู่ก็ดี หรือกระทั่งชนเฝ่าซยงหนีว์ก็เคยเป็นส่วนหนึ่งของมันมาก่อน เป็นเพราะราชวงศ์ถูกล้มล้าง ถูกกองกำลังทหารใหญ่รุกไล่สังหาร ชนเผ่าเยี่ยหลัวถึงได้หนีหายไป

ท่านยายเมิ่งพูดอย่างสะท้อนใจเป็นที่ยิ่งว่า “เมืองหลวงของราชวงศ์เทียนฉี่อยู่ที่หนานฉู่ แต่เมื่อครั้งโหราจารย์ทำนายว่าราชวงศ์ใกล้จะล่มสลายนั้น ฮ่องเต้เทียนฉี่อาศัยจังหวะที่เหตุยังไม่เกิด จึงสร้างวังใต้ดินของเยี่ยหลัวไว้ที่โจวหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฉีโจว”

“ฉีโจว?” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองแผ่นกระดานบนพื้นแล้วหันไปเอ่ยกับท่านยายเมิ่งว่า “เจ้าหมายถึง…เมืองหลวงของต้าเหลียงพวกเรา สมัยราชวงศ์เทียนฉี่มีชื่อเรียกว่าฉีโจว?”

ท่านยายเมิ่งพยักหน้า “ถูกต้อง เมืองหลวงของราชวงศ์เทียนฉี่อยู่ที่เหมียนโจวของหนานฉู่ สมัยนั้นฉีโจวเป็นเพียงโจวเล็กๆ ที่ไม่น่าสนใจ ที่ฮ่องเต้เทียนฉี่มาสร้างวังใต้ดินไว้ที่นี่ คงเพราะคิดว่าจะไม่มีใครมาพบเข้ากระมัง”

แต่เขาจะต้องทิ้งเงื่อนงำเอาไว้ให้คนข้างหลังแน่นอน ดังนั้นคนเยี่ยหลัวถึงพอเดาออกว่าวังหลวงจะต้องอยู่ในอาณาเขตต้าเหลียง เช่นนี้ถึงได้ส่งสายลับนับไม่ถ้วนเข้ามายังต้าเหลียง พอเข้ามาในต้าเหลียงแล้วก็บังเอิญไปพบสายเลือดของโหราจารย์เข้า ดังนั้นถึงได้เกิดเรื่ององค์หญิงเจาหมิงแต่งงานกับจีซั่งชิงเพราะหมายจะช่วงชิงกระบี่ของโหราจารย์ขึ้น

เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ องค์หญิงเจาหมิงไม่เพียงไม่ช่วยพวกเขาช่วงชิงกระบี่โหราจารย์ แต่ระหว่างนั้นยังไปพบวังหลวงของเยี่ยหลัวเข้าอีกด้วย

หากจีหมิงซิวเดาไม่ผิด เดิมทีเงื่อนงำที่ฮ่องเต้เทียนฉี่ทิ้งไว้ให้คนข้างหลังนั้นมีความสมบูรณ์ แต่มีส่วนหนึ่งถูกโหราจารย์เอาไป ส่วนที่หายไปนั้นบังเอิญเป็นพื้นที่ลึกลับของตระกูลจีเข้าพอดี คนตระกูลจีไม่เห็นเงื่อนงำส่วนอื่นๆ จึงดูไม่ออกว่าคืออะไร แต่องค์หญิงเจาหมิงเคยเห็น พอนางเอาเงื่อนงำทั้งสองส่วนมาประกอบเข้าด้วยกัน ย่อมเดาทุกอย่างออกได้ทันที

คนเยี่ยหลัวจิตใจคิดแต่จะฟื้นคืนแว่นแคว้น หากให้พวกเขารู้ว่าวังหลวงที่พวกเขาเฝ้าเพียรตามหาอยู่ในเมืองหลวงของต้าเหลียง พวกเขาจะต้องยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อทำลายต้าเหลียงอย่างแน่นอน

องค์หญิงเจาหมิงไม่อยากให้คนเยี่ยหลัวตามหาวังหลวงเจอ ดังนั้นจึงสร้างสุสานองค์หญิงไว้เหนือวังหลวงแห่งนี้

คนเยี่ยหลัวเคยเข้าไปในสุสานองค์หญิง ฉกชิงของที่องค์หญิงทิ้งเอาไว้ แต่ใครเลยจะคิดว่าพื้นที่ตนเดินย่ำไปย่ำมาอยู่นั้นมีวังหลวงซ่อนอยู่

แม้แต่จีหมิงซิวก็ไม่เคยคิดไปถึงเรื่องนั้น คนเยี่ยหลัวยิ่งไม่มีทางคิดได้

ส่วนเหตุใดถึงทิ้งทางเข้าเอาไว้ทางหนึ่งนั้น คงเพราะยังเหลือความหวังอันริบหรี่ว่าวันหนึ่งข้างหน้า จีหมิงซิวจะตามหาที่นี่จนพบ

จีหมิงซิวเพ่งมองประตูเก่าแก่บานใหญ่ที่ปิดสนิท คล้ายมองเห็นองค์หญิงยืนนิ่งอยู่ข้างหน้า พร้อมส่งยิ้มมาให้เขา

“ดูเหมือนจะเข้าไปไม่ได้นะ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลองผลักประตู

จีหมิงซิวมองธนูจันทร์โลหิตในมือแล้วบอกว่า “ถ้ามีกุญแจไม่ครบ ย่อมเข้าไปไม่ได้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยท่าทางผิดหวัง “เฮ่อ ยังอยากเห็นว่าข้างในมีอะไรอยู่เลย”

“นายน้อย…” ท่านยายเมิ่งกังวลว่าจีหมิงซิวจะสะเทือนใจจากภาพที่เห็น

จีหมิงซิวเอ่ยประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไปกันเถิด”

พูดจบเขาก็ปีนขึ้นบันไดแล้วออกจากสุสานไป

ท่านยายเมิ่งมองแผ่นหลังของจีหมิงซิวแล้วรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย ไม่ว่าองค์หญิงจะจากไปกี่ปีแล้ว แต่ในใจนายน้อย… อย่างไรคงยากที่จะไม่เศร้าหมองกระมัง

คณะของพวกเขาปิดกลไกสุสานแล้วเดินกลับไปทางเดิม รูปสลักหินเหล่านั้นหยุดนิ่งไปแล้ว ครั้งนี้พวกเขาเดินกันอย่างระมัดระวังยิ่ง ไม่ไปทำให้พวกมันตื่นตัวอีก และไม่แตะต้องกลไกที่อยู่ด้านข้าง จึงออกจากถ้ำมาได้อย่างปลอดภัย

บุตรชายของท่านยายเมิ่งเห็นพวกเขากลับมาเสียที สีหน้าพลันดูผ่อนคลาย

หลังจากกลับไปถึงบ้านหลังเล็กแล้ว ท่านยายเมิ่งถามเรื่องมรดกขึ้นมา เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสิ่งของค่อนข้างมาก จีหมิงซิวเลยเอ่ยถึงอย่างคร่าวๆ ให้ฟังรอบหนึ่ง

พอฟังจบ ท่านยายเมิ่งก็เป็นเดือดเป็นร้อนขึ้นมาทันที นางรู้แต่แรกแล้วว่าคนเยี่ยหลัวใจคดคิดไม่ซื่อ แต่ก็ไม่คิดว่าจะคิดไม่ซื่อเพียงนี้ กระทั่งคนตายไปแล้วก็ยังไม่ยอมปล่อย

โชคดีที่ตำหนักโหราจารย์พ่ายแพ้ไปแล้ว จึงจะเอามรดกเหล่านั้นกลับมาคืนในเร็ววันนี้ มิเช่นนั้นต่อให้นางต้องแบกสังขารออกไป ก็ต้องจัดการพวกคนของตำหนักโหราจารย์ให้สิ้นซาก

ฟ้ามืดแล้ว จีหมิงซิวเลยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องฮองเฮาเยี่ยหลัวและหมิงเยี่ยกับท่านยายเมิ่ง เขาลุกขึ้นบอกลาท่านยายเมิ่ง “… ข้าไปก่อน เรื่องในวันนี้หวังว่าท่านยายจะไม่แพร่งพรายออกไป”

ท่านยายเมิ่งยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าเฝ้าอยู่ที่นี่มานานเพียงนี้ ก็เพื่อรักษาความลับของที่นี่เอาไว้ ไม่ว่าด้านล่างนั่นมีอะไรอยู่ ทุกอย่างจะอยู่กับข้าแต่เพียงผู้เดียว”

จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเบา “ขอบคุณท่านยายมาก ท่านยายลำบากเฝ้าที่นี่มาเป็นยี่สิบปี นับว่าลำบากท่านยายมากแล้วจริงๆ ท่านยายคิดอยากกลับเยี่ยหลัวไปเยี่ยมคนทางบ้านบ้างรึไม่”

ท่านยายเมิ่งบอกอย่างเศร้าสลด “บ้านเก่าล่มสลาย ข้าไม่เหลือที่ให้กลับ ที่นี่ก็คือบ้านของข้า”

“ท่านยายยินดีไปอยู่ในเมืองหรือไม่” จีหมิงซิวถาม

ท่านยายเมิ่งระบายยิ้ม “ไม่ดีกว่า ข้าอยู่ตามป่าตามเขาจนเคยชินแล้ว ข้าชอบความเงียบสงบของภูเขาแบบนี้ วันหน้าหากนายน้อยมีสิ่งใดจะสั่งการ เชิญมาหาข้าได้ตลอดเสมอ หากข้าไม่อยู่แล้วก็ยังมีพวกลูกๆ ข้า พวกเราจะเป็นวัวเป็นม้าให้นายน้อยเอง!”

จีหมิงซิวประสานมือทำความเคารพผู้อาวุโส “ขอบคุณท่านยาย”

ท่านยายเมิ่งมองเขาด้วยความสบายใจ มองส่งเขาออกจากทิวเขาจนกระทั่งพวกเขาหายไปจากสายตาแล้ว ถึงได้ถือไม้เท้าเดินกลับห้องไป

จีหมิงซิวขึ้นนั่งรถม้า

ก่อนหน้านี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมัวแต่สนใจเรื่องสมบัติจนไม่ทันสังเกต กอปรกับท้องฟ้าก็มืดสลัวจึงไม่เห็นถึงความผิดปกติของจีหมิงซิว มาตอนนี้จีหมิงซิวนั่งอยู่ใต้แสงไข่มุก เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเพ่งมองถึงได้เห็นว่าใบหน้านายน้อยซีดขาวทั้งหน้า

เขาตบศีรษะตัวเองอย่างแรง “ให้ตายสิ ข้าลืมไปเลยว่าเจ้าบาดเจ็บอยู่! เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยใบหน้าซีดเซียว “ไม่เป็นอะไร กลับจวนเถิด”

“เอ้อ ได้!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะบัดแส้ในมือ รถม้าวิ่งฝุ่นตลบออกไป

ตอนนี้ประตูเมืองปิดไปแล้ว เยี่ยนเฟยเจวี๋ยควักป้ายคำสั่งอัครเสนาบดีออกมา องครักษ์เลยรีบเปิดประตูเมืองให้ด้วยความยำเกรง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกแรงสะบัดแส้ รถม้าแทบจะวิ่งปลิวขึ้นมา หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามก็ส่งตัวจีหมิงซิวกลับถึงบ้านตระกูลจีเสียที

เฉียวเวยกับเด็กๆ กลับมาจากหอหลิงจือกันแล้ว เด็กน้อยทั้งสามเล่นกันมาทั้งเย็น เหนื่อยจนแทบจะหลับคาถังอาบน้ำ

เฉียวเวยห่มผ้าให้เด็กทั้งสามเสร็จก็เดินออกจากห้อง พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจีหมิงซิว “ท่านกลับมาแล้วหรือ ดึกป่านนี้แล้ว ข้ายังคิดว่าท่านจะไม่กลับมาแล้วเสียอีก”

“จะได้อย่างไร” จีหมิงซิวอ้าแขนโอบกอดเอวบางของภรรยาไว้ สูดดมกลิ่นหอมจากซอกคอนางฟอดหนึ่ง

เฉียวเวยเมกลิ่นบนตัวเขา “ท่านเลือดไหลหรือ”

จีหมิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ “ปากแผลอาจจะฉีกน่ะ”

เฉียวเวยหน้าบึ้งลงทันที “ข้าก็บอกแล้วว่าท่านอย่าออกไป! ท่านก็ไม่ยอมฟัง! ครานี้เป็นไงล่ะ ได้แผลอีกแล้วสิ!”

ใต้เท้าอัครเสนาบดีสงบปากสงบคำ ไม่ตอบโต้

เฉียวเวยดึงเขาเข้าห้อง เปิดกระเป๋ายา หยิบสุราล้างแผล ยาสมานแผลและสำลีสะอาดๆ ออกมา พอปลดเสื้อนอกออกก็เห็นรอยเลือดจากปากแผลที่ซึมออกมาจนถึงเสื้อชั้นกลาง

เฉียวเวยถลึงตาดุให้อีกฝ่าย ตัดผ้าส่วนนั้นออก ทำความสะอาดแผล ใส่ยาแล้วพันกลับเข้าไปอีกครั้ง “ข้าขอเตือนไว้ก่อนนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปท่านห้ามไปไหนทั้งสิ้น นอนนิ่งๆ อยู่แต่บนเตียงเสียดีๆ”

ใต้เท้าอัครเสนาบดีเอ่ยอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่ “ขอรับ เจ้าสำนักเฉียว”

ท่าทางว่านอนสอนง่าย จะหาเรื่องทะเลาะด้วยสักหน่อยก็ไม่ได้ เฉียวเวยถอนหายใจจนหน้าม้าปลิว

จีหมิงซิวมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู “วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นายน้อยอย่างข้าไม่อยู่ เจ้าสำนักเฉียวเหงาใจหรือไม่”

หา เหงาใจ?

วันนี้นางวุ่นแทบจะไม่ได้หยุดเลยทั้งวันต่างหาก

จีหมิงซิวเห็นสีหน้านางสายตาก็ครึ้มลงเล็กน้อย “ทำไมหรือ เกิดอะไรขึ้น”

เฉียวเวยเก็บกล่องยาพลางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวังให้สามีของตนฟัง เรื่องราวไม่มีอะไรซับซ้อน แค่ว่าหรงเฟยใช้เรื่องตรวจโรคเป็นข้ออ้างในการล่อนางเข้าวังหลัง จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากยิ่นอ๋องมาบอกว่านางกับตำหนักโหราจารย์สมคบคิดกัน สุดท้ายมีการใช้นักรบมรณะจำนวนมาก จนนางเกือบเอาตัวไม่รอด

“อาจารย์ตายังบาดเจ็บด้วย โชคดีที่ท่านแม่ข้ามาถึงทันกาล!”

พอเอ่ยถึงท่านแม่ สีหน้าเจ้าสำนักเฉียวก็ดูสดใสขึ้นทันตา สมกับเป็นแฟนคลับตัวน้อย!

ดังนั้นที่กล่าวฟ้องจึงเป็นเพียงเรื่องรอง อวดอ้างมารดาของตนต่างหากที่เป็นเรื่องหลัก

จีหมิงซิวขบขันกับท่าทางเด็กน้อยของนาง ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหางที่มองไม่เห็นข้างหลังนางนั้นตั้งโด่ขึ้นฟ้าไปแล้ว

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างขบขันว่า “เมื่อไหรเจ้าจะชื่นชมข้าเช่นนี้บ้าง”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ไว้ถึงวันที่ท่านสังหารราชันอสูรได้บ้างก็แล้วกัน”

จีหมิงซิวไม่ได้เห็นสถานการณ์ในตอนนั้นกับตาตัวเอง แต่หากสามารถทำร้ายอาจารย์ตาฮั่วจนบาดเจ็บหนักได้ ก็บอกได้ว่าวรยุทธ์ของราชันอสูรนั้นล้ำลึกเพียงใด

เขาถอนหายใจเบาๆ จับมือนางไว้ “ข้าควรเชื่อเจ้า พาเจ้าไปที่ค่ายตะวันออกด้วย”

ที่ค่ายตะวันออกมีทหารหายไปจำนวนมากเพียงนั้น สิ่งแรกที่เขาคิดคือมีนักรบมรณะลอบสร้างความวุ่นวาย แต่ไหนเลยจะคิดว่าที่ค่ายตะวันออกไม่มีนักรบมรณะ แต่กลับเป็นในวังที่มีนักรบมรณะจำนวนมากแทรกซึมอยู่

“หรงเฟยคิดการณ์ใหญ่ไม่น้อย” เขาเอ่ยด้วยสายตาดุดัน

เฉียวเวยโบกมือ “อย่าพูดถึงนางเลย นางเพิ่งถูกท่านแม่ข้าทำร้ายให้สาหัสไป คงสร้างความวุ่นวายไม่ได้อีกพักหนึ่ง วันนี้ที่ท่านไปค่ายตะวันออกพบอะไรบ้างหรือไม่ ตามหาทหารที่หายตัวไปพบไหม”

“เจอตัวแล้ว” จีหมิงซิวบอก

เฉียวเวยกะพริบตาทีหนึ่ง “เร็วเพียงนี้เชียว ฝีมือผู้ใดกัน”

“จะว่าไปก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันเท่านั้น” จีหมิงซิวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้ภรรยาฟังอย่างไม่เกี่ยงเรื่องเล็กเรื่องใหญ่

เฉียวเวยฟังจบก็อึ้งงันไป อีตานี่มีดวงอะไรกันแน่ จะจับคนร้ายก็ตามไปเจอถึงรัง เดินเข้าถ้ำก็ยังเดินเข้าวังหลวงเยี่ยหลัวไปได้อีก เล่นเอานางไม่รู้จะพูดอย่างไรดีเลย

แน่นอนว่าเรื่องที่น่าตกใจที่สุดคือเรื่องสุสานองค์หญิง “วังหลวง…อยู่ใต้สุสานองค์หญิงเลยหรือ”

“แม่นางฟู่ เจ้ามานี่มีธุระอะไรหรือ”

ด้านนอกมีเสียงปี้เอ๋อร์ดังขึ้น

เฉียวเวยกับจีหมิงซิวพร้อมใจกันหันไปมองประตูห้องที่ปิดสนิทอยู่

“อ้อ ข้ามาตาคุณชายรอง”

เป็นเสียงอ่อนหวานของฟู่เสวี่ยเยียน

ปี้เอ๋อร์บอกว่า “เวลานี้ คุณชายรองเข้านอนไปแล้ว ข้าไปปลุกเขาให้ก็แล้วกัน”

ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้มีธุระสำคัญอะไร พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่แล้วกัน”