War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2924
ตอนที่ 2,924 : ต้วนหลิงเทียนกลับชาติมาเกิด!?

“ระหว่างเจ้ากับข้าไม่มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรทั้งนั้น…ที่ข้ามาท้าเจ้า เพราะแค่อยากให้ลูกสาวเจ้ารู้เอาไว้ ว่าศิษย์ของนาง มู่หรงปิง มีคนหนุนหลังอยู่…และคนผู้นั้นก็ไม่ใช่คนที่นางหรือนิกายอมตะสือหังจะล่วงเกินได้!”

“วันนี้ข้ามาเพื่อให้เจ้าจำใส่หัวเอาไว้…หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับมู่หรงปิง ข้าไม่เพียงแต่จะฆ่าเจ้าเท่านั้น ข้ายังจะทำลายนิกายอมตะสือหังให้สิ้นซาก!”

เสียงกล่าวของต้วนหลิงเทียนนั้น แม้ฟังดูสงบราบเรียบ หากแต่พอดังออกมาก็ทำให้คนของนิกายอมตะสือหังทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะขนลุกเกรียวเสียวสันหลัง ยังบังเกิดความเคร่งเครียดถึงขีดสุด!

ขณะเดียวกันทุกคนยังรู้สึกต้วนหลิงเทียนผู้นี้ช่างมีอำนาจครอบงำนัก!

หากต้วนหลิงเทียนเอ่ยเรื่อราวทำนองนี้ออกมาก่อนหน้า ทุกคนไม่พ้นหัวเราะเยาะด้วยความขบขัน ทั้งยังจะเย้ยหยันดูแคลนเขา…

แต่ตอนนี้พอได้เห็นพลังอำนาจอันเหนือชั้นของต้วนหลิงเทียน พอมาได้ยินคำขู่ดังกล่าว ทุกคนย่อมรู้ดีแก่ใจว่าอีกฝ่ายมีพลังอำนาจมากพอจะข่มขู และทำได้ดั่งพูด!

และเมื่อเสียงต้วนหลิงเทียนดังจบคำ ทุกสายตาของคนนิกายอมตะสือหัง ก็เบนไปตกยังร่างหวางตันเฟิ่ง ผู้พิทักษ์ลำดับสองของนิกายอมตะสือหังทันที

กระทั่งหวางชิวขวงเองยังหันไปมองจ้องลูกสาวของตัวด้วยสายตาซับซ้อน

“ลูกเฟิ่ง…”

ถึงแม้ว่าอาวุโสและเหล่าศิษย์ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงหันไปกล่าวคำกับหวางตันเฟิ่งแบบนี้ ทำคล้ายหวางตันเฟิ่งจะคิดร้ายอะไรกับมู่หรงปิงอย่างไรอย่างนั้น…

ทว่าในฐานะบิดาบังเกิดเกล้าของหวางตันเฟิ่ง หวางชิวขวงย่อมรู้เรื่องราวระหว่างต้วนหลิงเทียนกับมู่หรงปิงเรียบร้อยแล้ว

ดังนั้นมันจึงกล่าวส่งเสียงผ่านพลังไปถึงหวางตันเฟิ่งอย่างร้อนใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจจะปล่อยปิงเอ๋อให้กับบุรุษผู้นี้ ทั้งเกลียดปิงเอ๋อที่ทำให้ความฝันของเจ้าพังทลาย…”

“แต่เจ้าเองคงเห็นกับตาแล้วใช่หรือไม่ ว่าบุรุษของปิงเอ๋อผู้นี้เป็นอย่างไร? พลังฝีมือของมันอย่างน้อยๆก็ต้องอยู่ในขอบเขตราชาอมตะ ทั้งยังไม่น่าจะใช่ราชาอมตะทั่วไปแน่!”

“หากมันคิดฆ่าเจ้าหรือทำลายนิกายอมตะสือหัง เกรงว่าคงกระทำได้ง่ายดาย!”

เสียงผ่านพลังประโยคท้าย น้ำเสียงของหวางชิวขวงยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ท่านพ่อ ข้ารู้…”

สีหน้าหวางตันเฟิ่งยามนี้บิดเบี้ยวอัปลักษณ์ถึงขีดสุด นางไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆว่าบุรุษตัวดีที่ทำให้ศิษย์ของนางต้องแปดเปื้อนมีมลทิน จะกลายเป็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะอันทรงพลังไปได้!

และนางก็รู้ตัวดี ว่าตั้งแต่วันนี้ไปนางไม่อาจแตะต้องศิษย์ของตัวเองได้อีกแล้ว

หากนางยังคิดจะสำเร็จโทษศิษย์ของนาง ไม่เพียงแต่คนทั้งนิกายอมตะสือหังจะหยุดนาง กระทั่งบินาของนางก็ต้องคิดขัดขวางแน่นอน!

“ปิงเอ๋อ…เจ้า…พบบุรุษที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

หวางตันเฟิ่งกล่าวพึมพำออกมาด้วยน้ำเสียงเล็ดลอดไรฟัน ความรู้สึกสิ้นท่าทำอะไรไม่ได้ ทำให้นางอึดอัดใจแทบเป็นบ้า!

“หลังจากผ่านไปพันปี ข้าจะมารับเจ้า”

ต้วนหลิงเทียนเหลือบมองไปยังทิศทางที่มู่หรงปิงอาศัยอยู่อย่างเงียบงัน จากนั้นก็เสียงเขาก็ควบรวมคล้ายกระแสพลังหนึ่ง พุ่งตัดฟ้าไปส่งตรงถึงหูมู่หรงปิงชัดถ้อยชัดคำ

ในขณะที่มู่หรงปิงได้ยินเสียงดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน ร่างต้วนหลิงเทียนก็เริ่มพร่าเลือน ยังพาฮ่วนเอ๋อและเถี่ยไท่เหอหายตัวไปจากนิกายอมตะสือหังทันที

กระทั่งในสายตาของหวางชิวขวงขุนนางอมตะ 10ทิศ ต้วนหลิงเทียนกับพวกก็คล้ายจะอันตรธานหายไปในอากาศว่างเปล่า!

นับประสาอะไรกับคนอื่น!

“รวดเร็วอะไรเช่นนี้!”

“ต่อให้เป็นราชาอมตะ 1 ต้นกำเนิด ก็ยังห่างชั้นกับความเร็วนี่!”

หวางชิวขวงที่เห็นความเร็วของต้วนหลิงเทียน ใจก็สะท้านสะเทือนไปอีกรอบ ขณะเดียวกันก็บังเกิดความตั้งใจอันแน่แน่ ว่าจะจับตาดูลูกสาวตัวเองอย่างไม่ให้คลาดสายตา ไม่ให้นางมีโอกาสทำร้ายมู่หรงปิงอีกเด็ดขาด!

“มัน…มันถึงกับร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ!?”

“ศิษย์พี่หญิงสาม…ดูเหมือนจะได้พบพานบุรุษอันยอดเยี่ยมแล้วจริงๆ!”

“แต่…ไฉนมันไม่พาศิษย์พี่หญิงสามไปด้วยเลยเล่า?”

ในบรรดาศิษย์สาวกของนิกายอมตะสือหัง ก็มีลุ่ยหลัวที่เหินร่างปะปนอยู่ด้วย หลังจากพวกต้วนหลิงเทียนร่างจากไปสักพัก นางที่ตกตะลึงอึ้งไปอยู่นาน พอกลับมารู้สึกตัวก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาด้วยความไม่เข้าใจ

“หลังจากผ่านไปพันปี?”

“หลังจากผ่านไปพันปีแล้วข้าจะยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ…”

ด้านมู่หรงปิงที่ได้ยินเสียงผ่านพลังของต้วนหลิงเทียน นางก็เข้าใจว่าเป็นต้วนหลิงเทียนถูกบีบให้ต้องล่าถอยออกจากนิกายอมตะสือหังแน่แล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขื่นขมออกมา

ส่วนเรื่องที่ทำไมต้วนหลิงเทียนถึงส่งเสียงมาถึงที่อยู่นางได้ นางเข้าใจว่าต้องมีคนลอบบอกต้วนหลิงเทียนแน่ ว่านางอาศัยอยู่แถวไหน เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนจึงได้แต่ส่งเสียงครอบคลุมมาถึงอาณาบริเวณส่วนนี้

ตอนนี้ถึงนางคิดจะส่งเสียงย้อนกลับไปยังแหล่งกำเนิดเสียงของต้วนหลิงเทียน แต่นางก็ไม่อาจทำให้ต้วนหลิงเทียนได้ยินเพียงคนเดียว ทุกคนไม่พ้นต้องได้ยินกันหมด

นางก็เลยไม่คิดส่งเสียงผ่านพลังตอบกลับต้วนหลิงเทียนแต่อย่างไร

และตอนนี้มู่หรงปิงก็แทบจะยืนยันได้แล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนไร้ภูมิหลังอย่างตระกูลใหญ่ในภาคกลางจริงๆ

หาไม่แล้วไฉนคนถึงถูกบีบให้ต้องล่าถอยกลับไปได้ง่ายๆ?

นางยังรู้สึกอีกว่า หลังต้วนหลิงเทียนจากไป อาจารย์ของนางที่ไม่เหลืออาการคิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายอีกต่อไป ไม่พ้นต้องรุดเร่งมาฆ่านางให้ตายทันทีแน่นอน

ส่วนอีกด้าน

“ศิษย์น้อง เจ้าจะไปปล่อยปิงเอ๋อเอง หรือให้ข้าจัดการแทนเจ้า”

แม้หนานกงซิ่วอยากเร่งรุดไปปล่อยมู่หรงปิงในบัดดล แต่นางก็ยังคงไว้หน้าศิษย์น้องตัวเอง และกล่าวถามไปตามมารยาทก่อน

เพราะสุดท้ายแล้วหวางตันเฟิ่งก็ยังเป็นอาจารย์ของมู่หรงปิง ทั้งยังเป็นผู้พิทักษ์ลำดับ 2 ที่มีบิดาเป็นผู้พิทักษ์สูงสุดของนิกายอมตะสือหังอย่างหวางชิวขวงไหนเลยจะกระทำใดข้ามหน้าข้ามตาอีกฝ่ายได้

“ประมุข ท่านจัดการตามเห็นสมควรเถอะ…”

เมื่อหวางตันเฟิ่งยืนนิ่งอยู่นานไม่ยอมตอบคำหนานกงซิ่ว สุดท้ายก็เป็นบิดาของนางอย่างหวางชิวขวงตัดสินใจพูดตอบออกมาแทน จากนั้นยังยกมือขึ้นเปล่งพลังไร้สภาพขุมหนึ่งหอบหิ้วร่างหวางตันเฟิ่งจากไปทันที

“ขอบคุณผู้พิทักษ์สูงสุด”

เมื่อได้รับคำตอบจากหวาชิวขวง ลูกตาของหนานกงซิ่วก็เปล่งแสงสว่างจ้า จากนั้นก็เร่งรุดไปยังสถานที่ๆหวางตันเฟิ่งใช้กักบริเวณมู่หรงปิงทันที

“อาจารย์ป้ารอข้าด้วย! พาข้าไปรับศิษย์พี่หญิงสามด้วยคน!!”

เสียงของลุ่ยหลัวดังขึ้นทันเวลา

จากนั้นหนานกงซิ่วจึงชะงักร่างกลางหาว ค่อยหันไปใช้พลังไร้สภาพอ่อนโยนหอบหิ้วลุ่ยหลัวไปให้กับนางด้วย

หลังหนานกงซิ่วเหินร่างจากไป หลินหรู ผู้พิทักษ์ลำดับ 1 ก็จากไปเช่นกัน

ครู่ต่อมา ก็คงเหลือแต่ชนชั้นอาวุโสและเหล่าศิษย์ของนิกายอมตะสือหังเท่านั้น

“นี่ๆมีผู้ใดบอกข้าได้บ้างอ่า ว่านี่มันเรื่องอันใดกันแน่!?”

“นั่นสิ ฟังที่ท่านประมุขพูด…ไฉนเหมือนผู้พิทักษ์หวังกักขังศิษย์พี่มู่หรงปิงเอาไว้เลยเล่า?”

“อั้ย! ที่แท้เรื่องราวมันเป็นมายังไงกันแน่นะ…แถมต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ ดูเหมือนจะเป็นบุรุษของศิษย์พี่มู่หรงปิงอีก?”

“ศิษย์พี่มู่หรงปิงไม่ใช่ว่าตั้งใจจะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขคนต่อไปหรือ…ไปรักชอบกับบุรุษแบบนี้ แล้วจะขึ้นดำรงตำแหน่งยังไงอ่า?”

“ศิษย์พี่เหมือนจะถูกผู้พิทักษ์หวางกักตัวไว้…แถมเมื่อครู่ต้วนหลิงเทียนยังกล่าวข่มขู่ไว้ด้วยว่าหากศิษย์พี่มู่หรงปิงเป็นอะไรไป จะมาฆ่าคนแถมทำลายนิกายเราอีก…ทำราวกับกลัวผู้พิทักษ์หวางจะทำร้ายศิษย์พี่มู่หรงปิงอย่างไรอย่างนั้น”

“เอ๊ะ! หรือว่า…”

แม้อาวุโสหลายคนในที่นี้จะรู้ตื้นลึกหนาบางดี แต่ก็ไม่กล้าพูดออกมาส่งเดช

อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่พูดอะไร แต่สุดท้ายความคิดบรรเจิดของเหล่าศิษย์สตรีนิกายอมตะสือหังก็สามารถคาดเดาความเป็นจริงได้ทั้งหมด

“ข้าจดจำได้ว่าผู้พิทักษ์หวางเคยสังหารศิษย์คนหนึ่งที่ไปรักชอบกับบุรุษด้านนอก…ทั้งหมดเพราะผู้พิทักษ์หวางตั้งความหวังไว้กับศิษย์คนนั้น หมายให้ขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขนิกายอมตะสือหังของพวกเรา!”

“ใช่ เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน…เฮ่อ ศิษย์พี่ผู้นั้นช่างอาภัพแท้! น่ากลัวว่าศิษย์พี่มู่หรงปิงก็จะเกิดเรื่องทำนองเดียวกันกับนางไม่ผิดแน่!”

“อื้อ! ข้าว่าไม่พ้นต้องเกิดเรื่องเหมือนกันแน่ๆ…แต่บุรุษของศิษย์พี่ที่ตายไปในอดีต มิอาจเทียบบุรุษของศิษย์พี่มู่หรงปิง ที่แข็งแกร่งมากพอจะปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือ ถึงขั้นทำให้ผู้พิทักษ์หวางไร้หนทางทำอะไรได้เช่นนี้”

“โอย ข้าอิจฉาศิษย์พี่มู่หรงปิงแทบตายแล้ว…ชาตินี้ข้าจักเจอบุรุษหล่อเหลามากความสามารถเช่นนี้บ้างไหมนะ? บุรุษของศิษย์พี่มู่หรงปิงทั้งๆที่ยังอายุไม่ถึงร้อยปีแท้ๆแต่กลับเป็นราชาอมตะอันทรงพลังไปแล้ว เช่นนั้นในอนาคตจะประสบความสำเร็จถึงขนาดไหนกัน?”

“ราชาอมตะอายุไม่ถึงร้อยปี! หากข้าไม่ได้มาเห็นกับตาจ้างให้ข้าก็ไม่มีทางเชื่อแน่นอน ว่าตัวตนเช่นนี้จะมีอยู่จริง!”

เหล่าศิษย์นิกายอมตะสือหังจ้อกันไม่หยุด หลายคนก็ตกใจไม่น้อย บ้างก็อิจฉาจนเม้มปากที่มู่หรงปิงพบพานบุรุษอันร้ายกาจถึงขนาดนี้ได้ ยังตกใจกันยกใหญ่ที่ได้เห็นตัวตนขอบเขตราชาอมตะอายุไม่ถึงร้อยปี

“อายุไม่ถึงร้อยปีบรรลุขอบเขตราชาอมตะ…ในสวรรค์แดนใต้ นอกจากปรมาจารย์โอสถต้วนแล้ว เกรงว่าคงไม่มีอีกเป็นคนที่สองกระมัง?”

“ไม่ควรมี”

“ข้าว่าไม่น่าจะมีเลยแหละ”

“ปรมาจารยย์โอสถต้วนอายุไม่ถึงร้อยแต่กลับบรรลุขอบเขตราชาอมตะได้…ตอนนี้ให้ใครมาพูดให้ตายว่าเขาไร้พื้นเพยิ่งใหญ่อันใดในภาคกลาง ข้าก็ไม่มีวันเชื่อ!”

“เรื่องไม่มีภูมิหลังในภาคกลางอาจเป็นความจริงก็ได้นะ…แต่อาจเป็นได้ว่าพื้นเพของปรมาจารย์โอสถต้วนไม่ได้อยู่ในสวรรค์แดนใต้รึเปล่า? เพราะปรมาจารย์โอสถต้วนตอนกล่าวสารภาพกับประมุข ก็บอกแค่ว่าไม่มีภูมิหลังในภาคกลาง แต่มิได้บอกว่าไม่มีภูมิหลังอันใดที่อื่นนี่นา?”

……

เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังที่สนทนากันอยู่ ก็เริ่มได้ข้อสรุปประการหนึ่ง ว่าต้วนหลิงเทียนสมควรมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่และทรงพลังอย่างมาก และยังอาจจะเหนือกว่าขุมพลังใดๆในสวรรค์แดนใต้ด้วยซ้ำ

“ยังมีอีกเรื่อง…ปรมาจารย์โอสถต้วน เหมือนจะเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาใช่ไหม?”

“จริงด้วย! พอมีเรื่องนี้มาเกี่ยว…ข้าว่า 9 ใน 10 ปรมาจารย์โอสถต้วนต้องเป็นตัวตนอันทรงพลังที่กลับชาติมาเกิดเป็นแน่! เพราะด้วยมีความทรงจำในอดีต เรื่องที่จะเติบโตได้ถึงขนาดนี้ในเวลาแค่ 100 ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!!”

“ข้าได้ยินมาว่า ยิ่งทรงพลังมากเท่าไหร่ การกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ยิ่งยากกระทำไม่ใช่หรือ…คนในระนาบโลกียะหากคิดกลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากขึ้นสวรรค์มาจนกลายเป็นเซียนอมตะไปแล้ว คิดจะกลับชาติไปเกิดใหม่จำต้องแบกรับความเสี่ยงใหญ่หลวง โอกาสสำเร็จแทบไม่มี เรียกว่า 9 ตาย 1 รอดก็ไม่เกินเลย”

“หากปรมาจารย์โอสถต้วนเป็นผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่จริงๆ…ต่อให้ชาติก่อนจะไร้ภูมิหลัง แต่ก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนพเนจรที่ทรงพลังอย่างยิ่ง!”

ด้วยความสำเร็จอันเกินจริงของต้วนหลิงเทียนกับข้อมูลสำคัญที่นึกขึ้นได้ เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังเหล่านี้ก็เริ่มคาดเดาไปในแนวทางอภินิหารแนวทางหนึ่ง…

ต้วนหลิงเทียนอาจเป็นตัวตนที่กลับชาติมาเกิดใหม่!

หาไม่แล้ว เป็นไปได้เหรอที่อายุไม่ถึงร้อยปีแล้วจะบรรลุความสำเร็จระดับนี้?

ในขณะที่เหล่าศิษย์และอาวุโสของนิกายอมตะสือหังพากันสนทนากันอย่างออกรส จนไม่ต่างอะไรจากตลาดสดยามเช้า หนานกงซิ่ว ประมุขนิกายอมตะสือหัง ก็พาลุ่ยหลัวมาถึงสถานที่กักขังมู่หรงปิงในที่สุด

ซัววว!!

วู้มมม!

ด้วยการลงมือของหนานกงซิ่ว ค่ายกลที่ปิดกั้นรอบบ้านลานทรุดโทรมที่มู่หรปิงอาศัยอยู่ ก็ถูกนางคลายออกได้ไม่ยาก

“ศิษย์พี่หญิงสาม!”

ทันทีที่ค่ายกลปิดกั้นสลายตัว ลุ่ยหลัวก็วิ่งเข้าไปในบ้าน ก่อนจะโดดกอดมู่หรงปิงราวลูกหมี

“ลุ่ยหลัว…อาจารย์ป้าประมุข?”

มองไปยังดรุณีน้อยชุดเขียวที่กอดนางราวลูกหมี กับหนานกงซิ่วที่ค่อยๆเดินเข้ามา แวตาของมู่หรงปิงก็ฉายให้เห็นความสับสนไม่น้อย

เรียกว่ามู่หรงปิงงุนงงทั้งไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลย

เดิมทีนางคิดว่าหลังจากต้วนหลิงเทียนล่าถอยกลับไป 9 ใน 10 ไม่พ้นอาจารย์ของนางต้องเร่งรุดมาสำเร็จโทษนางแน่

แต่ไม่คิดเลยว่านางที่รอรับการตัดสินชะตาจากอาจารย์ คนแรกที่พบเจอจะเป็นลุ่ยหลัว กับอาจารย์ป้าประมุขที่ไม่ต่างอะไรกับมารดาแทๆของนางอีกคน!