ตอนที่ 2,925 : ออกจากพื้นที่ชายแดน

“ปิงเอ๋อ เจ้าออกจากที่นี่ได้แล้ว…”

เมื่อเห็นสีหน้าแววตาสับสนงุนงงของมู่หรงปิง หนานกงซิ่วก็คลี่ยิ้มบางๆ กล่าวเรื่องน่ายินดีออกมาด้วยความพึงพอใจ

ขณะเดียวกันในใจก็ลอบทอดถอนอย่างโล่งอก

ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะโกหกนางในงานสมัชชาเต๋าโอสถวันนั้น แต่การมาถึงของต้วนหลิงเทียนในวันนี้ กอปรกับพลังฝีมือที่เผยออกให้เห็น ก็สร้างความพึงพอใจให้นางอย่างถึงที่สุด!

อย่างน้อยๆตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางก็ไม่ต้องกลัวศิษย์น้องจะลงมือทำอะไรหลานสาวแท้ๆของนางแล้ว

แถมหลานสาวของนางยังได้พบพานบุรุษอันประเสริฐอีก!

“ออกจากที่นี่หรือ?”

มู่หรงปิงพอได้ฟัง ก็คลี่ยิ้มขมขื่นใจ “เป็นท่านอาจารย์คิดจัดการข้าแล้วหรือ ท่านอาจารย์ป้ากับลุ่ยหลัวที่มารับข้าไปเช่นนี้ ใช่คิดพบหน้าข้าเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่?”

ถึงแม้มู่หรงปิงตะคาดไว้แต่แรก ว่าต้องลงเอยแบบนี้ แต่พอเวลามาถึงเข้าจริงๆ นางก็ยากจะสงบสติได้เหมือนเคย

“เด็กโง่ เจ้าคิดเหลวไหลอันใดอยู่ เจ้าวางใจได้เลยนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อาจารย์เจ้าไม่มีทางลงโทษเจ้าอีกแน่!”

หนานกงซิ่วส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่หญิงสาม บุรุษที่ท่านพบเจอร้ายกาจเกินไป…กระทั่งผู้พิทักษ์สูงสุดยังไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำยามอยู่ต่อหน้ามัน!”

ตอนนี้เองลุ่ยหลัวก็ปลอยมือที่กอดมู่หรงปิงเอาไว้ ค่อยมาหยุดยืนที่พื้นพลางกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ใบหน้าสาวน้อยยังไม่โตฉายชัดถึงความตื่นเต้นล้นปรี่

ขณะกล่าวยังทำท่าฮึกเหิมคึกคักออกกมา คล้ายที่ลงมือสยบหวางชิวขวงไม่ใช่ต้วนหลิงเทียน แต่เป็นตัวนางเอง!

“เอ่อ?”

สีหน้าแววตามู่หรงปิงกลายเป็นเหรอหราว่างเปล่า ไม่เข้าใจเรื่องราวว่าเกิดอะไรขึ้น

นางไม่รู้ว่าที่แท้บุรุษผู้นั้นทำอะไรไปบ้าง จนเมื่อลุ่ยหลัวเริ่มเล่าเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อที่เกิดขึ้นวันนี้ให้นางฟังทั้งหมด

สองมือเล็กๆของนางกำหมัดชูขึ้นขณะเล่าว่าหวางตันเฟิ่งผู้เป็นอาจารย์ถูกต้วนหลิงเทียนจัดการอย่างไร

เล่าตอนที่หนานกงซิ่วกับผู้พิทักษ์หลินหรูแม้จะลงมือพร้อมกัน แต่ยังไม่อาจฝ่าปราการป้องกันต้วนหลิงเทียนได้อย่างไร สุดท้ายยังถึงกับต้องหยิบควักอุปกรณ์อมตะระดับราชาออกมาใช้

และที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้หนานกงซิ่วกับหลินหรูจะใช้อุปกรณ์อมตะระดับราชาแล้ว แต่ก็ไม่อาจฝ่าปราการป้องกันอันน่ากลัวของต้วนหลิงเทียนได้เลย

สุดท้ายหลังจากที่ทั้งสองทำอะไรไม่ได้ หวางชิวขวงผู้พิทักษ์สูงสุดที่มาถึงทีหลัง ไม่ทันได้ลงมือลงไม้ทำอะไร แค่กล่าววาจาไม่เข้าหูต้วนหลิงเทียนก็ถูกซัดจนเปลี้ยเสียแล้ว

“เขา…ยอดฝีมือขอบเขตราชาอมตะ!?”

เมื่อมู่หรงปิงได้รับทราบว่า แม้แต่บิดาของอาจารย์นาง ผู้พิทักษ์สูงสุดหวางชิวขวง ยัถูกบุรุษผู้นั้นซัดจนสิ้นท่า และไม่กล้าตอบโต้อะไรอีก ก็บังเกิดความตื่นตระหนกตกใจครั้งใหญ่แล้วจริงๆ

ถึงแม้ตอนที่บุรุษผู้นั้นมาท้าทายบิดาของอาจารย์นาง ตัวนางจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดลงมือด้วยตัวเองจริงๆ

แต่นางก็ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะได้!

เพราะท้ายที่สุดแล้วบิดาของอาจารย์นาง ก็คือผู้พิทักษ์สูงสุดที่ทรงพลังที่สุดของนิกายอมตะสือหัง ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศ!

กระทั่งตอนที่บุรุษผู้นั้นส่งเสียงมาบอกนางว่า จะมารับนางหลังจากนี้อีกพันปี นางยังคิดไปอยู่เลยว่าอีกฝ่ายถูกบีบให้ล่าถอยกลับไป

นางคิดไม่ถึงจริงๆ

ว่าบุรุษผู้นั้นไม่เพียงแค่พลิกฝ่ามือก็สะกดกักอาจารย์ของนางได้ ยังสามารถต้านทานการผนึกกำลังของประมุขกับผู้พิทักษ์หลินหรูได้ง่ายดาย

สุดท้ายกระทั่งผู้พิทักษ์สูงสุดมาถึง ยังลงมือคราเดียวก็ขู่ขวัญจนผู้พิทักษ์สูงสุดไม่กล้าสู้!

ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์ที่นางเคารพสุดท้ายก็ถูกบีบจนไม่อาจแตะต้องนางได้อีกต่อไป

“นี่…นี่…”

มู่หรงปิงรู้สึกตกตะลึงทั้งหวาดกลัว ถึงขั้นอึ้งไปอยู่นานกว่าจะหาย

“ศิษย์พี่หญิงสาม แต่แปลกยิ่ง…มันมาที่นี่เพื่อท่านแท้ๆ แต่ไฉนไม่เพียงไม่พาท่านไปด้วย ยังจากไปโดยไม่แม้แต่จะมาพบท่านเลยเล่า…”

ลุ่ยหลัวอดไม่ได้ที่จะสงสัยในเรื่องนี้

“ปิงเอ๋อ ก่อนที่มันจะจากไป มันได้พูดอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่?”

ในฐานะประมุขของนิกายอมตะสือหังที่เป็นตัวตนขอบเขตขุนนางอมตะ 9 ตำหนัก หนานกงซิ่วย่ยอมรู้ดีว่าต้วนหลิงเทียนทรงพลังมากพอจะล่วงรู้ถึงตำแหน่งงมู่หรงปิง และสามารถส่งเสียงผ่านพลังพูดคุยมาได้ไม่ยาก

“ใช่”

มู่หรงปิงพยักหน้า จากนั้นก็เผลอหันไปมองทิศทางที่เสียงต้วนหลิงเทียนดังมาโดยไม่รู้ตัว กล่าวพึมพำออกมาด้วยความสับสน “เขาบอกว่า…หลังจากนี้อีกพันปีจะมารับข้า”

“หา! หลังจากนี้พันปีเลยหรือ?”

ลุ่ยหลัวอดไม่ได้ที่จะตกใจ “ไฉนเนิ่นนานถึงขนาดนั้นเล่า!?”

เวลาพันปีสำหรับลุ่ยหลัวที่ยังเป็นเด็กสาวตัวน้อยเกิดมาไม่ถึงร้อยปี ย่อมเป็นอะไรที่ยาวนานสุดที่นางจะจินตนาการได้ออก

“พันปีหรือ…ดูเหมือนมันจะมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปกระทำ และไม่สะดวกที่จะพาเจ้าไปด้วย”

หนานกงซิ่วคาดเดา

“ใช่”

มู่หรงปิงพยักหน้า

“ไม่สะดวกพาศิษย์พี่หญิงสามไปด้วย…แล้วไฉนสะดวกพาสตรีคนนั้นไปด้วยล่ะ?”

ลุ่ยหลัวที่รู้สึกไม่เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาอย่างขุ่นเคือง

มู่หรงปิงก็ได้แต่เงียบ

“ปิงเอ๋อ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสตรีชุดขาวข้างกายเกี่ยวข้องอันใดกับปรมาจารย์โอสถต้วน…แต่ตอนที่ข้าเห็นปรมาจารย์โอสถต้วนมองนาง แววตาไม่ต่างอันใดจากพี่ชายมองน้องสาวแม้แต่น้อย ปรมาจารย์โอสถต้วนสมควรเห็นนางเป็นดั่งน้องสาวคนหนึ่ง มิได้มีความชอบพอระหว่างชายหญิงเป็นแน่”

หนานกงซิ่วกล่าว

ถึงแม้นางเองก็ไม่รู้จักความรักระหว่างชายหญิงเพราะโสดมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยกินหมู ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหมูวิ่ง ดังนั้นนางจึงเห็นได้ไม่ยากว่าต้วนหลิงเทียนไม่ได้คิดอะไรกับสตรีชุดขาวข้างกาย

ได้ยินคำของหนานกงซิ่ว ลึกลงไปในแววตามู่หรงปิงก็ทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง

และเมื่อเห็นประกายที่ลุกวาบจ้าขึ้นมาในส่วนลึกแววตามู่หรงปิง หนานกงซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอก

เพราะมีอีกคำที่นางยังไม่ได้กล่าวออกมา

นั่นก็คือ

แม้ต้วนหลิงเทียนทำเหมือนจะเห็นสตรีชุดขาวไม่ต่างอะไรจากน้องสาว ไร้ความคิดชู้สาวใดๆ แต่สายตาที่สตรีชุขาวใช้มองต้วนหลิงเทียนนั้น…เป็นสายตาที่สาวน้อยนางหนึ่งใช้มองชายคนรักแน่นอน!

“ในเมื่อปรมาจารย์โอสถต้วนบอกว่าจะมารับเจ้าหลังผ่านไปพันปี เขายอมมีเหตุผลสำคัญบางประการ…กล่าวไปเวลาพันปีสำหรับพวกเราที่เป็นอมตะแล้ว ก็ไม่ได้ยาวนานอันใด”

หนานกงซิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวสืบต่อ “เช่นนั้นหลังจากนี้ ปิงเอ๋อเจ้าก็อยู่รอปรมาจารย์โอสถต้วนมารับที่นิกายเถอะ”

หลังกล่าวจบแล้วว หนานกงซิ่วก็คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ออก จึงกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงสีหน้าจริงจัง “จริงสิปิงเอ๋อ ช่วงนี้เจ้าอย่าพึ่งไปพบอาจารย์ของเจ้าดีกว่า…ข้ากลัวว่าให้นางเห็นเจ้าตอนนี้ คงไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”

“รอให้ผ่านไปหลายๆวันแล้ว เจ้าค่อยไปพบนางเถอะ”

หนานกงซิ่วกล่าวจบก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

“ขอบคุณอาจารย์ป้าประมุข”

มู่หรงปิงเองก็รู้ดีแก่ใจ ว่าอย่างอาจารย์นางที่มีนิสัยเจ้าอารมณ์เป็นที่สุด ลองโดนผู้อื่นบีบบังคับมาแบบนี้ ไม่พ้นต้องอารมณ์เสียขั้นสุด

หากนางไปพบหน้าอีกฝ่ายตอนนี้ ถึงอีกฝ่ายจะไม่กล้าลงมือทำอะไรกับนางเพราะบุรุษผู้นั้นกล่าวข่มขู่เอาไว้ แต่ก็ไม่พ้นต้องกล่าววาจาบั่นทอนจิตใจ และโทษนางทั้งหมดแน่

“พี่หลิงเทียน ไฉนท่านไม่พาพี่สาวมู่หรงปิงไปกับท่านด้วยกันเลยเล่า?”

หลังต้วนหลิงเทียนพาทุกคนออกมาจากกนิกายอมตะสือหังแล้ว ฮ่วนเอ๋อที่เงียบมาตลอดตอนที่อยู่ในนิกายอมตะสือหัง ก็อดถามเรื่องนี้กับต้วนหลิงเทียนไม่ได้

“พานางออกจากนิกายอมตะสือหังไม่ใช่เรื่องยาก…แต่หากนางเดินทางไปกับข้า ก็คงยากที่ข้าจะรับประกันความปลอดภัยให้นางได้”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบออกมาตามตรง “ดังนั้นข้าคิดว่าให้นางอยู่ที่นิกายอมตะสือหังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด…เมื่อถึงเวลาที่ข้ามีพลังมากพอเมื่อไหร่ ข้าค่อยกลับมารับนาง”

พอกล่าวจบ ต้วนหลิงเทียนก็หันกลับไปมองทิศทางที่ตั้งนิกายอมตะสือหังอย่างเหม่อลอย พลางกล่าวพึมพำในใจ ‘พันปีหลังจากนี้ หากข้ารอดชีวิตกลับมาจากดินแดนแห่งทวยเทพได้…ข้าจะมารับเจ้า’

ต้วนหลิงเทียนเชื่อว่าหลังจากนี้อีกพันปี หากเขารอดชีวิตกลับมาจากดินแดนแห่งทวยเทพได้ ในระนาบเทวโลกทั้งมวลก็คงไม่มีใครทำอันตรายให้เขาได้อีกต่อไป

“ผู้พิทักษ์เถี่ย”

จากนั้นไม่นานต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองกล่าวกับเถี่ยไท่เหอ สองตายังฉายแววจริงจังไม่น้อย “ตอนนี้ข้าเสร็จธุระที่นิกายอมตะสือหังแล้ว…ข้าคงไม่ได้กลับไปนิกายอมตะไท่อีกับท่านแล้ว”

“ข้าคิดจะเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังภาคกลางตอนนี้เลย”

พอกล่าวจบคำ ไม่ทันที่เถี่ยไท่เหอจะได้พูดอะไร ต้วนหลิงเทียนก็สะบัดมือคราหนึ่ง ปรากฏยันต์อมตะเก็บความทรงจำผุดออกมาจากความว่างเปล่า 2 ชิ้น

“ยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้ง 2 ข้าได้บันทึกวรยุทธ์อมตะ ราชันไม่เคลื่อนไหว ของนิกายอมตะสราญรมย์ กับเวทย์พลัง ปราณม่วงบูรพา ของนิกายยอมตะสวรรค์ลี้ลับเอาไว้ ท่านโปรดนำมันกลับไปมอบให้ประมุขไป๋ด้วย”

ครู่ต่อมายันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้งสอง ก็ถูกต้วนหลิงเทียนใช้พลังไร้สภาพหอบหิ้วส่งไปถึงงเบื้องหน้าเถี่ยไท่เหอ

“ปรมาจารย์โอสถต้วน”

ได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน เถี่ยไท่เหอก็รับยันต์อมตะมาถือไว้ด้วยสายตาซับซ้อน อดไม่ได้ที่จะกล่าวถามออกไปด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ท่านนำยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้งสองไปมอบให้ท่านประมุขด้วยตัวเองไม่ดีกว่าหรือ…นอกจากนั้นมิใช่ท่านบอกว่ายังติดค้าประมุขเจี่ยนของนิกายอมตะเชียนจีอยู่เรื่องหนึ่งมิใช่หรือไร และท่านยังคิดใช้หนี้บุญคุณให้นางก่อนจากไปนี่นา?”

เพื่อที่จะรั้งต้วนหลิงเทียนให้อยู่นิกายอมตะไท่อีต่ออีกสักพัก อย่างน้อยๆก็จะได้เลี้ยงส่งร่ำลาให้เป็นอย่างดี เถี่ยไท่เหอถึงกับยกอ้างเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนติดค้างเจี่ยนชิวหลัว ประมุขนิกายอมตะเชียนจีออกมา

เพราะมันเองก็ได้ทราบมาเช่นกัน ว่าหลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกลับมาพร้อมกลุ่มคนนิกายอมตะเชียนจีครั้งก่อน ต้วนหลิงเทียนได้รับปากนางไว้ว่าจะตอบแทนบุญคุณของนาง

“หนี้น้ำใจที่ข้าติดค้างประมุขเจี่ยนไว้ข้าย่อมยังไม่ลืม”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ “อาวุโสเถี่ย เช่นนั้นหลังจากท่านกับไปถึงนิกายและมอบยันต์อมตะเก็บความทรงจำทั้ง 2 ให้ประมุขไป๋แล้ว…รอให้ประมุขไป๋หรือใครตีความพวกมันจนแตกฉาน ก็ค่อยคัดลอกแบ่งปันให้ประมุขเจี่ยนสักอย่างเถอะ”

“แบบนั้นก็ถือว่าข้าได้ตอบแทนเรื่องที่ติดค้างประมุขเจี่ยนไว้”

“และข้าเชื่อว่าประมุขเจี่ยนไม่คิดปฏิเสธเรื่องนี้แน่…”

“หากนางปฏิเสธขึ้นมาจริงๆ…ก็ถือว่าข้ายังคงติดค้างนางอยู่เถอะ ไว้ในอนาคตหากข้ากลับมา ข้าค่อยไปหาทางชดใช้นางเอง”

“นอกจากนั้นข้าขอฝากอาวุโสเถี่ยร่ำลาปรมจารย์โอสถทั้ง 3 กับประมุขไป๋แทนข้าด้วย…บอกทุกคนว่าวันหน้าหากมีโอกาสข้าจะกลับมาเยี่ยมทุกคนเอง”

พอต้วนหลิงเทียนกล่าวจบคำ เขาก็ไม่รอให้เถี่ยไท่เหอตอบสนองสิ่งใด เพียงพาฮ่วนเอ๋อวูบร่างหายวับไปต่อหน้าต่อตาเถี่ยไท่เหอ คล้ายสาบสูญไปในความว่างเปล่าก็ไม่ปาน

พอเห็นต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่จากไปราวกับอันตรธานหายไปในความว่างเปล่า เถี่ยไท่เหอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยๆออกมา

“ไฉนปรมาจารย์โอสถต้วน รีบร้อนเดินทางนักเล่า…”

เถี่ยยไท่เหอก็รู้มานานแล้ว ว่าต้วนหลิงเทียนคิดจะเดินทางออกจากพื้นที่ชายแดนไปยังภาคกลาง…

แต่ไม่คิดเลยว่าต้วนหลิงเทียนจะจากไปปุบปับหลังเสร็จธุระที่นิกายอมตะสือหัง โดยที่ยังไม่ได้เลี้ยงส่งอันใดให้เป็นเรื่องเป็นราว

ส่วนอีกด้าน ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อที่อันตรธานหายไปก่อนหน้า ก็มาปรากฏตัวเหนือป่าแห่งหนึ่ง

“ฮ่วนเอ๋อ…หลังจากนี้ต้องรบกวนเจ้าพาข้าเดินทางแล้ว…จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้าไปอย่างเสียเปล่า”

“หากข้าเดินทางไปเอง เกรงว่ากว่าจะไปถึงพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างข้าคงเหลืออยู่แค่ขอบเขตราชาอมตะขั้น 2 หรือ 3 เท่านั้น”

ต่อหน้าฮ่วนเอ๋อต้วนหลิงเทียนก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร เพียงกล่าวออกมาตรงๆ

ถึงแม้การเดินทางมานิกายอมตะสือหังครั้งนี้เขาจะประหยัดพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายก้ต้องใชออกไปบางส่วน

ตอนนี้ระดับพลังที่หลงเหลืออยู่ในร่างเขา ก็อยู่ในขอบเขตราชาอมตะ 5 องค์ประกอบเท่านั้น

“พี่หลิงเทียนไม่ต้องห่วงท่านพักเถอะ…ท่านเก็บพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดของท่านไว้ใช้ในยามคับขันย่อมดีกว่า”

ฮ่วนเอ๋อก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง เพราะนางเองก็รู้คุณค่าพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างพี่หลิงเทียนของนางดี