ตอนที่ 426-1 แม่ลูกได้รู้จัก
Ink Stone_Romance
ถนนฉางหลิวคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ความวุ่นวายที่หรงเฟยสร้างขึ้นไม่สะเทือนมาถึงที่นี่
ฟู่เสวี่ยเยียนเหลือบมองใต้เท้าเจ้าสำนักที่พิงไหล่นางนอนหลับฝันหวานอยู่ นางค่อยๆ ดันศีรษะอีกฝ่ายขึ้น ให้เขานอนลงบนฟูกนุ่มดีๆ จากนั้นก็เอาหมอนมารองใต้ศีรษะให้
พอเสร็จนางก็ลงจากรถม้าอย่างเงียบเชียบ เอ่ยกับซิ่วฉินว่า “เจ้าคอยเฝ้าอยู่ที่นี่นะ”
“เจ้าค่ะ” ซิ่วฉินตอบรับเสียงเบา
ฟู่เสวี่ยเยียนเข้าไปในร้านหนังสือ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลอบตามไปเงียบๆ
ไม่เท่าไรฟู่เสวี่ยเยียนก็กลับออกมา ในมือถือภาพเขียนไว้ภาพหนึ่ง นางเอาภาพเขียนขึ้นรถม้าแล้วรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
พอรถม้าเลี้ยวหายไปตรงหัวถนน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็เร้นกายออกมาก่อนเดินเข้าไปหาผู้ดูแลร้าน “แม่นางคนเมื่อครู่มาทำอะไรที่นี่หรือ”
ผู้ดูแลร้านชะงักไปเล็กน้อยก่อนบอกว่า “นางแค่มาซื้อภาพเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรเท่านั้น”
“ไม่ได้ทำอย่างอื่น?” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้ว
ผู้ดูแลร้านส่ายหน้า ไม่ได้ทำอย่างอื่นจริงๆ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพึมพำกับตนเอง สะกดรอยตามมาตั้งนาน อีกฝ่ายไม่เห็นทำอะไรเลย หรือว่าเขาคิดมากไปเองจริงๆ หรือ
บนรถม้า ใต้เท้าเจ้าสำนักยังคงหลับสนิท ซิ่วฉินกระซิบถามฟู่เสวี่ยเยียนว่า “คุณหนู เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนเปิดภาพเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตรในมือ ใช้มือลูบเบาๆ ริมฝีปากแดงขยับเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่ได้มา”
…
หรงเฟยเข้ามาติดแหเสียแล้ว ตอนนางถูกจับกลับเข้าไปในวัง พิษกำลังโจมตีหัวใจนางจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่เหล่าหมอหลวงพยายามยื้อชีวิตนางกันไว้เต็มที่ เลยช่วยกันพานางกลับมาจากยมโลกได้
ที่ฮ่องเต้ให้ช่วยชีวิตนางไว้หาใช่เพราะต้องการบรรเทาโทษให้นางไม่ หลักฐานในการกระทำผิดของนางทุกอย่าง ทุกเรื่องราวที่นางเคยทำเอาไว้ถูกขุดคุ้ยออกมาจนหมดไม่มีตกหล่นสักรายละเอียด ทุกเรื่องที่ได้ยินทำให้ฮ่องเต้รู้สึกอยากประหารนางมากขึ้นไปอีก
หนึ่งในนั้นมีเรื่องที่ไม่อาจผ่อนปรนได้เสียยิ่งกว่าที่นางสวมเขาให้เสียอีก นั่นก็คือการตายของฮองเฮาในตอนนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางจริงๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ฮ่องเต้ไม่ได้ปรักปรำนาง!
เมื่อครานั้นที่หรงเฟยเป็นที่โปรดราน ฮองเฮาไม่ได้โกรธแค้นอีกฝ่ายด้วยความหึงหวง แค่เพียงไม่นับว่าญาติดีกับหรงเฟยสักเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรในโลกหล้านี้จะมีสตรีนางใดยินดีแบ่งปันสามีของตนกับผู้อื่นบ้าง ที่ต่างไปก็คือบางคนจำต้องเก็บซ่อนไว้ในใจ ในขณะที่บางคนกล้าแสดงออกมาให้เห็นเท่านั้น
ฮองเฮาไม่ยินดียินร้ายกับหรงเฟย แต่หรงเฟยกลับแสดงออกว่าเคารพและให้เกียรติฮองเฮาเป็นที่ยิ่ง ทุกวันจะไปเยี่ยมคารวะฮองเฮาที่ตำหนักเฟิ่งซี ถึงแม้แต่ละครั้งจะเพียงนั่งเฉยๆ อยู่หนึ่งชั่วยาม แต่มองเผินๆ แล้วไม่อาจหาข้อติติงได้เลยจริงๆ
นางไปเยี่ยมคารวะที่ตำหนักเฟิ่งซีไม่รู้ครั้งที่เท่าไร ในที่สุดฮองเฮาก็ยอมพบนางเสียที นางเห็นสีหน้าฮองเฮาดูไม่สู้ดี จึงไต่ถามเรื่องสุขภาพร่างกาย ในตอนนั้นสุขภาพของฮองเฮาไม่สู้ดีนักจริงๆ ต่อหน้านางไม่ได้พูดอะไร แต่หลังจากนั้นนางคำนวณเวลาอย่างไร แล้วให้ขันทีสองคนไปยืนคุยกันถึงเรื่องยาจินตันยืดอายุระหว่างทางที่ฮองเฮาไปเยี่ยมรัชทายาทที่ตำหนักตะวันออก
ยาจินตันนี้ยิ่งให้ผลดีเท่าไร ก็ยิ่งมีพิษร้ายมากเท่านั้น หรงเฟยไม่จำเป็นต้องลงมือเอง ฮองเฮาก็สิ้นอายุขัยได้แล้ว
ขันทีสองคนนั้นย่อมถูกหรงเฟยสังหารปิดปาก เพียงแต่สิ่งที่หรงเฟยคาดไม่ถึงก็คือ ขันทีคนหนึ่งในนั้นเอาเรื่องนี้ไปบอกกับฮูหยินชาวบ้านที่ตนนั่งกินอาหารด้วย
ฮูหยินนางนั้นไม่กล้าเอาตัวลงมาเปื้อนกับน้ำโคลนที่ในวัง ถึงแม้จะรู้ว่าสามีตนตายอย่างมีเงื่อนงำ แต่กลับไม่กล้าออกไปกล่าวโทษหรือล้างแค้นให้สามีของตน ครั้งนี้จีหมิงซิวทำทุกวิถีทางเพื่อสืบค้นเรื่องราวการจากไปอย่างมีเงื่อนงำของฮองเฮาจากคนในวัง พอได้ชื่อขันทีสองคนนั้นมา ก็สืบตามเบาะแสจนไปเจอกับฮูหยินเพื่อนกินข้าวผู้นั้น เรื่องนี้จึงปรากฏขึ้นมาให้เห็น
ตามปกติฮ่องเต้นับเป็นบุรุษที่มีสติปัญญา ทั้งยังใจเย็นอย่างหาได้ยาก ต่อให้ถูกผู้ตรวจการด่าว่าเสียๆ หายๆ พระองค์ก็ไม่เคยเดือดเนื้อร้อนใจ แต่การที่เขาใจเย็นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไร้อารมณ์ ที่เขาไม่เล่นเล่ห์ ก็ใช่ว่าเขาจะไร้เล่ห์
การกระทำของหรงเฟยได้ทำให้ฟางเส้นสุดท้ายของบุรุษผู้นี้ขาดสะบั้น เขาถึงขั้นข้ามขั้นตอนการทรมานไป ให้คนนำศพราชันอสูรยกเข้ามา เอาเผาทิ้งต่อหน้าต่อตานางทันที
จะตีงูต้องตีที่จุดอ่อน บุรุษผู้นี้ที่ยอมใช้ยาพิษจนตนเองหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยังยอมสู้ทนกับความเจ็บปวดไปตลอดชีวิตเพื่อให้ได้อยู่กับนาง ถึงขั้นถูกเผาจนไม่เหลือชิ้นดีต่อหน้าต่อตานาง
เสียงกรีดร้องคร่ำครวญของหรงเฟยจึงดังลั่นไปทั่ววังหลวง
ราชันอสูรถูกเผาอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ หรงเฟยก็กรีดร้องอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ จนเส้นเลือดในคอแตก เลยเปล่งเสียงใดๆ ออกมาไม่ได้อีก…
…
เมื่อหรงเฟยพ่ายแพ้ คนที่ดีใจที่สุดคงไม่มีใครเกินเฉียวเวยแล้ว พอคิดว่าสตรีนางนั้นเป็นคนยิงธนูใส่นางจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด พอได้มาเห็นจุดจบของอีกฝ่ายในวันนี้ เฉียวเวยจึงรู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก
ใครใช้ให้นางก่อเวรสร้างกรรมเล่า เวลานี้ถึงคราวตนเองบ้างแล้วสิ ถึงว่ากฎแห่งกรรมในโลกนี้ล้วนกลับมาตามสนอง ที่ยังไม่สนองใช่เพราะตามมาไม่ถึง แค่เพียงยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
เรื่องนี้ย่อมส่งผลต่อยิ่นอ๋องอย่างมาก ฮ่องเต้ถึงขั้นสงสัยว่าเขาเป็นบุตรในสายเลือดของตนหรือไม่ ไม่ใช่ว่าอยู่กันมาตั้งนานแล้วกลายเป็นบุตรชายของราชันอสูรไปเสีย เช่นนั้นเขาคงเสียหายอย่างหนักเป็นแน่!
โชคดีที่ฮ่องเต้โดยนิสัยแล้วไม่ใช่คนขี้ระแวง หลังจาก “องค์หญิงเจาหมิง” เกลี้ยกล่อมจนปากเปียกปากแฉะอยู่นาน ฮ่องเต้ก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เพียงแต่การที่เขาช่วยหรงเฟยปิดบังเรื่องราวทุกอย่าง ซ้ำยังคิดจะช่วยหรงเฟยพาราชันอสูรหนี ก็ทำให้ฮ่องเต้ทำใจเย็นไม่ได้จริงๆ สุดท้ายจึงยึดตำแหน่งเขาคืน และลงโทษให้เขายืนสำนึกผิดหน้ากำแพง
เรื่องของหรงเฟยถึงแม้จะคลี่คลายไปพอประมาณแล้ว แต่เรื่องของท่านน้ายังไม่ได้เข้ามาอยู่ในประเด็นที่ต้องจัดการ เรื่องนี้สำคัญพอๆ กับการเก็บกวาดหรงเฟยเลยทีเดียว เฉียวเวยจึงตัดสินใจไปที่จวนยิ่นอ๋องสักครั้ง
จีหมิงซิวตกลงให้นางไปอย่างใจ (ขัด) กว้าง (ใจ)
ขันทีหลิวพอได้เห็นเฉียวเวยก็ตกใจใหญ่ แต่กลับไม่ถามอะไรมากอย่างรู้งาน เขาพาเฉียวเวยไปที่ห้องหนังสือ “ฮูหยิน ท่านอ๋องอยู่ด้านใน ขอขนานแจ้งให้ท่านอ๋องทราบก่อน”
เฉียวเวยพยักหน้า
ขันทีหลิวรีบบอกผ่านประตูที่ปิดสนิทว่า “ท่านอ๋อง จีฮูหยินมาขอรับ”
“เจ้าให้นางกลับไป ข้าไม่อยากพบใครทั้งสิ้น”
ยิ่นอ๋องตอบเสียงขรึม
“เอ่อ…” ขันทีหลิวหันมองเฉียวเวยด้วยความลำบากใจ
เฉียวเวยผลักประตูเข้าไปอย่างไม่สนใจทันที
ยิ่นอ๋องดูเหมือนจะคาดเดาได้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงเงยหน้าขึ้นอย่างไม่รู้สึกแปลกใจ มองหน้าเฉียวเวยด้วยสายตาเรียบเฉย “เจ้ามาทำอะไร หากจะมาเยาะเย้ยข้า เจ้าก็ได้เห็นแล้ว กลับไปได้แล้ว”