ตอนที่ 426-2 แม่ลูกได้รู้จัก
เฉียวเวยข้ามธรณีประตูเข้าไป “เจ้ามีอะไรให้ข้าเยาะเย้ยกัน อ่อ เจ้าหมายถึงเรื่องถูกยึดตำแหน่งขุนนางน่ะหรือ ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ในวงการราชการ ขึ้นๆ ลงๆ ตำแหน่งเป็นเรื่องปกติ อีกอย่างกับแค่ตำแหน่งเล็กๆ อย่างซื่อหลาง ไม่เพียงพอให้ข้าหัวเราะเยาะหรอก ไว้วันใดที่ตำแหน่งชินอ๋องของเจ้าถูกถอดถอน วันนั้นค่อยเชิญข้ามาเยาะเย้ยเจ้าก็แล้วกัน”
“เจ้า…” ยิ่นอ๋องสะอึกพูดไม่ออก
เฉียวเวยเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ยิ่นอ๋องนั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะหนังสือ มีโต๊ะขวางกั้นอยู่ระหว่างพวกเขาสองคน เฉียวเวยดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่ง
ยิ่นอ๋องตวัดสายตาใส่นาง “เจ้าช่างตามสบายจริงนะ!”
เฉียวเวยผายมือออก “ไม่อย่างนั้นจะให้ทำอย่างไร ข้าไม่ทำตัวตามสบายก็ต้องคุยกับเจ้า ทำตัวตามสบายก็ต้องคุยกับเจ้าเช่นกัน จะให้กลับไปทั้งๆ ที่ยังพูดธุระไม่จบคงไม่ได้”
ยิ่นอ๋องถูกนางต้อนจนมึนงงไปหมด ได้แต่กดหว่างคิ้วที่ปวดตึบๆ พลางถามว่า “เจ้าคิดจะมาทำอะไรที่จวนอ๋องของข้ากันแน่”
เฉียวเวยระบายยิ้มเรียบๆ “เจ้ารู้ว่าข้าคิดจะทำอะไร”
ยิ่นอ๋องปากแข็ง “ข้าไม่รู้”
เฉียวเวยถอนหายใจเบาๆ “ต่อให้เจ้าคิดอยากจะพูดคุยกับข้านานกว่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมเช่นนี้ก็ได้กระมัง…”
“เฉียวซื่อ!” ยิ่นอ๋องมองหน้าอีกฝ่ายดุๆ
เฉียวเวยยิ้มบางๆ “โกรธหรือ ดูท่าคงจะรู้จริงๆ ว่าข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด เรื่องนี้เจ้าหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ข้ารู้ดีว่าเรื่องของหรงเฟยกระทบกระเทือนจิตใจเจ้ามาก ข้าก็ไม่ได้คิดจะให้เจ้ายอมรับผู้อื่นในเวลานี้ แต่ข้าจำเป็นต้องเตือนเจ้าไว้เรื่องหนึ่ง เวลาเมื่อล่วงเลยแล้วก็ไม่อาจทวงคืนมาได้อีก พวกเจ้าเสียเวลามาเป็นยี่สิบปีแล้ว เจ้าอยากจะให้เสียเวลากันมากกว่านี้อีกหรือ”
ยิ่นอ๋องเบือนหน้าหนี “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “นางเป็นท่านน้าของข้า เจ้าเป็นท่านอาเล็กของข้า จะไม่เกี่ยวกับข้าได้อย่างไร เรื่องบางเรื่องต้องพูดกันต่อหน้าให้ชัดเจน ถึงจะยุติธรรมต่อทั้งกับเจ้าและนาง ข้าเลือกสถานที่ไว้ให้เจ้าแล้ว เป็นที่บ้านตระกูลจีนี่เอง เจ้าจะมาหรือไม่มาก็แล้วแต่เจ้า”
พูดจบก็ลุกขึ้นจับแขนเสื้อ ก่อนจะเดินตัวปลิวออกไป
แม่ชีน้อยทั้งสามเล่นดีดลูกแก้วกันอยู่ตรงระเบียง
เฉียวเวยเดินเข้าไป หรี่ตาเอ่ยว่า “อยากไปเล่นกับพี่จิ่งอวิ๋นรึไม่”
แม่ชีน้อยทั้งสามโยนลูกแก้วทิ้งแล้วเข้ามากระโดดเกาะขาเฉียวเวยไว้ทันที!
เฉียวเวยเลยพาตัวแม่ชีน้อยทั้งสามไปด้วยอย่างเปิดเผย!
ยิ่นอ๋องไม่พอใจยิ่งนัก จะมาหรือไม่มาแล้วแต่เจ้าอะไรกัน? เก่งนักก็อย่าพาตัวบุตรสาวของข้าไปสิ!
…
เฉียวเวยพาแม่ชีน้อยทั้งสามไปที่บ้านชิงเหลียน จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูยังไม่เลิกเรียน เฉียวเวยจึงพาพวกนางไปที่สวนดอกไม้
ก่อนหน้านี้ไม่นานต้าไป๋เพิ่งถูกวั่งซูอาบน้ำถอนคนเสียโกร๋น ใช้เวลาอยู่นานกว่าขนจะงอกกลับขึ้นมาได้ เวลานี้กำลังนอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนพื้นหญ้าในสวน ระหว่างที่อาบแดดอยู่นั้นก็คอยชื่นชมขนเพียงพอนที่อ่อนนุ่มของตนไปด้วย
แต่แล้วจู่ๆ เหนือศีรษะก็มีเงาผืนหนึ่งบังลงมา
ต้าไป๋เงยหน้ามองก็เห็นศีรษะกลมเกลี้ยงถึงสามศีรษะ ในหัวของมันพลันมีความทรงจำไหลทะลักเข้ามาราวกับน้ำหลาก ขนมันพลันตั้งชัน
ในขณะที่กำลังจะวิ่งหนีนั้นก็ถูกมือขาวอวบอ้วนข้างหนึ่งจับเอาไว้
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ ขนเพียงพอนของต้าไป๋ก็กลับมาโล่งเตียนอีกครั้ง…
อินทรีทองหิ้วตัวเสี่ยวไป๋บินวนรอบอยู่บนท้องฟ้า ตอนจะร่อนลงในสวน พอลดสายตาลงมองก็ต้องตกใจ เอ๋? ไก่ตัวขาวเกรียนมาจากไหนกัน
เลยงาบต้าไป๋เข้าปากไปทั้งตัว!
…
แม่ชีน้อยทั้งสามก็ชอบเสี่ยวไป๋มาก ขนของเสี่ยวไป๋ดกหนาไม่มีร่วงติดมือจึงลูบแล้วลูบอีก ก็ยังคงดกหนาอยู่
แม่ชีน้อยทั้งสามชอบใจยิ่งนัก
เสี่ยวไป๋ปัดผมบนหัวด้วยความภูมิใจ
พี่ใหญ่เอาของเล่นชิ้นใหม่จากถุงผ้าออกมาให้เสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋รับไข่มุกดำเม็ดเล็กไป ไข่มุกดำเม็ดเล็กแผ่กลิ่น (ไอ) หอม (พิษ) ประหลาดออกมา เสี่ยวไป๋พลันน้ำลายสอ จับไข่มุกยัดเข้าปากโดยไม่มีพูดพร่ำทำเพลงทันที!
พอออกแรงกัดเบาๆ ตูม!
ระเบิดตัวไหม้เกรียม…
…
ตอนจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูและหลิวเกอร์กลับมาถึงบ้าน ต้าไป๋ตัวซีดเป็นไก่ต้ม เสี่ยวไป๋ก็กลายร่างเป็นก้อนถ่านไปแล้ว จูเอ๋อร์กับอินทรีทองสภาพก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน โชคดีที่เสื้อคลุมของจูเอ๋อร์ตัวใหญ่มาก ทั้งลิงและเสื้อคลุมไปห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ เลยรอดจากโชคร้ายนี้ไปได้ ส่วนอินทรีทองหนีขึ้นไปบินวนเหนือบ้านตระกูลจีอยู่หนึ่งชั่วยามแล้ว แม่เอ้ย ไม่กล้าลงมานี่…
ซาลาเปาน้อยทั้งสามได้แต่ตาโตอ้าปากค้าง นี่มันเรื่องอะไรกันนี่
ในใจจิ่งอวิ๋นมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที ถอยไปข้างหลังช้าๆ ค่อยๆ ถอยจนตัวติดประตู เสร็จก็ชักเท้าวิ่งไปทางเรือนฟู่เสวี่ยเยียนทันที
แต่น่าเสียดายที่ช้าไปก้าวหนึ่ง เขายังคงถูกแม่ชีน้อยทั้งสามขวางเอาไว้ได้อยู่ดี
แม่ชีน้อยทั้งสามกอดจิ่งอวิ๋นไว้แน่นแล้วหอมซ้ายหอมขวา
กว่าท่านยิ่นอ๋องผู้ทรงศักดิ์จะมาถึงบ้านตระกูลจี จิ่งอวิ๋นก็ถูกหอมจนกลายเป็นกระรอกไปแล้ว สองข้างแก้มป่อง (บวม) ป่อง (เป่ง) ไปหมด!
…
ในห้องหลักของบ้านชิงเหลียน ฮองเฮาเยี่ยหลัวนั่งใจตุ๊มๆ ต่อมๆ อยู่ข้างใน เดี๋ยวบิดก้น เดี๋ยวบิดนิ้ว
แล้วจู่ๆ เฉียวเวยก็ก้าวเข้ามา
ฮองเฮาเยี่ยหลัวทะลึ่งตัวลุกขึ้นยืน “เขามาแล้วหรือ”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “มาแล้ว อยู่ที่โถงรับแขกแหน่ะ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวหน้าพลันแดงระเรื่อย บิดนิ้วไปมาอย่างเป็นกังวล ก่อนจะลูบใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติของตนเบาๆ “ข้า…ข้าพอดูได้รึไม่”
พอดูได้?
หากหน้าตาเช่นเจ้ายังแค่พอดูได้ เช่นนั้นในโลกหล้านี้คงไม่มีสตรีนางใดงดงามอีกแล้ว!
เฉียวเวยเดินเข้าไปจัดระเบียบชายเสื้อที่ถูกนางขยำจนยับย่นแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ได้ไปเจอคนอื่นเสียหน่อย บุตรชายตนเองแท้ๆ จะตื่นเต้นไปไย”
“เขา…เขา…เขาใช่…บุตรชายข้าจริงๆ หรือ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวก้มหน้างุด เอ่ยถามอย่างทั้งคาดหวังและกลัวผิดหวัง
เฉียวเวยจูงนางไปหน้ากระจก “ท่านน้า ท่านลองดูใบหน้าของท่านแล้วลองนึกถึงยิ่นอ๋องดูสิ ท่านคิดว่าเขาจะมีโอกาสไม่ใช่ลูกของท่านอีกหรือ”
คำพูดนี้เป็นความจริง องค์ชายสามก็เป็นบุตรแท้ๆ ของท่านน้า แต่เขาได้เชื้อทางราชาเยี่ยหลัวมามากกว่า รูปลักษณ์จึงสู้ยิ่นอ๋องไม่ได้ ยิ่นอ๋องแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นบุตรของท่านน้า
ฮองเฮาเยี่ยหลัวใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น “เขา…เขาจะไม่ชอบข้าหรือไม่”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างมีความหลายลึกซึ้งว่า “ท่านเป็นแม่แท้ๆ ของเขา เขาจะไม่ชอบท่านได้อย่างไร เขาแค่ต้องการเวลาที่จะยอมรับเท่านั้น แต่ยิ่งท่านพบหน้าเขาเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขายอมรับท่านได้เร็วขึ้นไม่ใช่หรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวพยักหน้า รวบรวมกำลังใจออกเดินไปทางประตู
แต่พอเดินไปถึงประตู นางก็นึกกลัวจนหันกลับมาใหม่ “ข้าไม่ไปดีกว่า เขาต้องไม่ชอบข้าแน่ เขารังเกียจข้าเพียงนั้น…”
“ท่านตามข้ามาเถิด!” เฉียวเวยดึงมือนางพาเข้าไปในโถงรับแขก นางมองแผ่นหลังคนในห้องแล้วเอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “ท่านอ๋อง ท่านแม่ท่านมาแล้ว!”