ตอนที่ 427 แม่ลูกได้รู้จัก (2)
เฉียวเวยพอจับ “ท่านน้า” โยนเข้าไปในโถงรับแขกเสร็จก็กลับออกมา ทั้งสองไม่นับว่าเป็นคนหน้าหนานัก ตนอยู่ที่นั่นมีแต่จะทำให้ประดักประเดิดกว่าเดิม สู้ให้พวกเขาคุยกันเองจะดีกว่า
เฉียวเวยไม่เพียงออกไปเท่านั้น แต่จะไล่บ่าวไพร่ในเรือนทั้งหมดออกไปด้วย ในโถงรับแขกเงียบจนได้ยินเสียงนกร้องที่แว่วมาจากต้นไม้ใหญ่ด้านนอกห้อง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวยืนอยู่ใกล้ประตู ทิ้งระยะห่างจากยิ่นอ๋องไม่รู้เท่าไร เอาแต่เหลือบมองปลายนิ้วตนเอง รู้สึกอัดอั้นใจเป็นที่ยิ่ง
ยิ่นอ๋องดูเผินๆ เหมือนสงบนิ่งกว่าเล็กน้อย เพียงแต่ในใจนั้นจำต้องข่มกลั้นความตื่นเต้นเพียงใดนั้น ไม่อาจรู้ได้
ทั้งสองยืนตัวแข็งกันอยู่อย่างนั้นไม่มีใครเอ่ยปากก่อน
สุดท้ายเป็นฮองเฮาเยี่ยหลัวที่รวบรวมความกล้าเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นว่า “เอ่อคือ…เจ้า…เจ้าอาการดีขึ้นหรือยัง”
แผลที่ได้จากคุกใต้ดินบนตัวยิ่นอ๋องดีขึ้นนานแล้ว นางแค่ไม่รู้จะเอ่ยอะไรถึงได้ถามถึงเรื่องนี้
ยิ่นอ๋องตอบด้วยสีหน้าคงเดิม “ดีขึ้นมากแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” ฮองเฮาเยี่ยหลัวสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยความโล่งอก ใบหน้าขาวผ่องซับสีเลือดขึ้นจางๆ ขนตาเรียวยาวสั่นไหวเล็กน้อย ดวงตาที่ใสราวกระจกมีแววหวั่นใจวาบผ่าน
ยิ่นอ๋องมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกซับซ้อน ขยับอ้าปากคิดอยากพูดบางอย่าง นางก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง “เสี่ยวเวยบอกข้าหมดแล้ว นาง…นางบอกเจ้ารึยัง”
“อื้อ” ยิ่นอ๋องตอบรับเสียงเรียบ
ฮองเฮาเยี่ยหลัวทำใจกล้าก้าวเข้าไปหลายก้าวก่อนจะหยุดห่างออกมาประมาณหนึ่งเมตร “เจ้าคิดเช่นไรหรือ”
“ข้าไม่รู้” ยิ่นอ๋องตอบให้พอผ่านไป
ฮองเฮาเยี่ยหลัวได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้กลับไม่รู้สึกผิดหวัง กลับกันในตานางมีประกายขณะเอ่ยว่า “เจ้าไม่รังเกียจข้า?”
ยิ่นอ๋อง “…”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวใจลิงโลดขึ้นมา เขาไม่รังเกียจนาง เขาไม่รังเกียจนางจริงๆ โหะๆๆๆ…
คราแรกที่ยิ่นอ๋องเข้าใจฮองเฮาเยี่ยหลัวผิดหลักใหญ่ใจความอยู่ที่นางมักท่าทางมีจุดประสงค์แอบแฝงกับตนอยู่ตลอด เวลานี้เมื่อรู้แล้วว่าจุดประสงค์แอบแฝงนั้นเกิดจากเรื่องอะไร เขาย่อมไม่มีทางรู้สึกไม่ดีกับท่าทีของนางเมื่อคราแรก
ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่ตนตกอับที่สุด นางเข้าช่วยตนไว้โดยไม่คิดถึงความปลอดภัยของตน ต่อให้เป็นคนแปลกหน้า ยิ่นอ๋องก็ไม่มีเหตุผลที่จะรังเกียจคนเช่นนี้
เพียงแต่ไม่รังเกียจก็ส่วนไม่รังเกียจ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับฐานะของนาง
เมื่อรับรู้ได้ถึงความเย็นชาของยิ่นอ๋อง ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็หุบยิ้มบนใบหน้าลงแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ข้าจำเรื่องในอดีตไม่ได้ ข้าไม่รู้ว่าข้าทำเจ้าหายไปได้อย่างไร…และข้าก็ไม่ได้ตามหาเจ้า…เจ้าจะไม่ยอมรับข้าก็เป็นเรื่องสมควร…”
ยิ่นอ๋องไม่ได้พูดอะไร
ฮองเฮาเยี่ยหลัวเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าเข้าใจเจ้า หากว่าเจ้า…”
ยิ่นอ๋องเอ่ยขัดนาง “ข้าเป็นบุตรของใครกันแน่”
“ของข้าอย่างไรเล่า!” ฮองเฮาเยี่ยหลัวรีบตอบด้วยความตื่นเต้น
“ข้าหมายถึง…” ลูกกระเดือกยิ่นอ๋องขยับขึ้นลงทีหนึ่ง “ท่านพ่อ”
“อ่า…” ฮองเฮาเยี่ยหลัวเป็นฝ่ายอึ้งไปบาง นางจำเรื่องราวในอดีตไมได้เลยสักนิด นางจะรู้ได้อย่างไรว่ายิ่นอ๋องเป็นบุตรของนางกับผู้ใด
“วันใดที่ท่านจำได้แล้ว วันนั้นค่อยมารับข้าเป็นบุตรก็แล้วกัน”
นี่ช่างเป็นคำปฏิเสธที่อ้อมค้อมที่สุดแล้ว แต่ฮองเฮาเยี่ยหลัวไม่คิดเช่นนั้น แค่ต้องนึกให้ออกว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใครก็สามารถยอมรับบุตรเป็นของตนได้แล้ว ในโลกหล้านี้มีเรื่องง่ายดายเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
ฮองเฮาเยี่ยหลัวจึงดีใจเหลือคณา ยิ้มพริ้มพลางบอกว่า “ตกลงตามนี้นะ ถึงเวลาเจ้าห้ามกลับคำก็แล้วกัน”
ยิ่นอ๋องไม่เคยคิดว่านางจะนึกออก จึงตอบรับทันทีโดยไม่ลังเล ในตอนนั้นยิ่นอ๋องไม่รู้ว่าอีกไม่นานตนจะถูกตบจนหน้าหัน
…
การพบหน้ากันครั้งนี้จบลงอย่างสมบูรณ์ ฮองเฮาเยี่ยหลัวกลับเสี่ยวอวี่เซวียนไปด้วยความเบิกบาน ยิ่นอ๋องไปที่บ้านเชิงเหลียน จึงไปทางเดียวกับนาง ทั้งสองเดินเคียงกันออกไป คนหนึ่งหน้าตาบอกบุญไม่รับ ส่วนอีกคนยิ้มแย้มแจ่มใส พอมาถึงบ้านชิงเหลียนก็เห็นบุตรทั้งสามของตนจับเจ้าเด็กจิ่งอวิ๋นนอนลงกับพื้นแล้วรุมหอมแก้มอย่างบ้าคลั่ง
ยิ่นอ๋องแทบจะไม่กล้าดูเลยทีเดียว
เขาดึงตัวบุตรทั้งสามขึ้นมา แบกขึ้นไหล่คนหนึ่ง อีกสองคนจับจูงไว้ข้างละคนแล้วจึงกลับจวนไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
จิ่งอวิ๋นกลับห้องตนอย่างน่าสงสาร เขานั่งลงบนเก้าอี้ด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวยิ่งนัก
เฉียวเวยเห็นหน้าตาบุตรชายที่ถูกหอมจนบวมเป่งก็ถึงกับอดไม่ไหว หัวเราะออกมา ตัวแค่นี้ก็มีสาวๆ มารุมชอบเช่นนี้แล้ว โตไปจะขนาดไหน ให้ตายสิ เด็กคนนี้ช่างเป็นหายนะของความมั่นคงโดยแท้!
“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงหัวเราะเล่า” จิ่งอวิ๋นถามด้วยความไม่ไม่ชอบใจ
เฉียวเวยเอ่ยอย่างเห็นขันว่า “แม่อารมณ์ดีน่ะสิ อารมณ์ดีก็ต้องหัวเราะอย่างไร”
จิ่งอวิ๋นพึมพำว่า “มีเรื่องอะไรน่ายินดีกัน ข้าถูกคนทำผิดประเพณีแล้วนี่”
ตายจริง กระทั่งผิดประเพณีก็รู้แล้วหรือ เฉียวเวยทนไม่ไหวกับความน่ารัก ลูบศีรษะน้อยๆ แล้วถามว่า “ผิดประเพณีแล้วอย่างไร เจ้าเป็นบุรุษ ใช่ฝ่ายเสียเปรียบเมื่อไรกัน”
ท่านแม่ เจ้าสอนบุตรชายเจ้าเช่นนี้ใช่เรื่องดีจริงๆ หรือ…
เฉียวเวยทนไม่ไหวเอ่ยยั่วว่า “พวกนางชอบเจ้าเพียงนี้ เจ้าชอบคนใดมากที่สุดหรือ”
จิ่งอวิ๋นตอบไปตามตรง “ไม่รู้สิ”
“ไม่รู้หรือ” เฉียวเวยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “หรือไม่เจ้าแต่งกับพวกนางทั้งสามคนเลยดีหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นทำหน้าจริงจัง “เช่นนั้นไม่ได้ ข้าแต่งงานกับท่านแม่แล้วไม่ใช่หรือ จะแต่งกับคนอื่นไม่ได้อีกแล้ว”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ๋า เกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้วเชียว”
จิ่งอวิ๋นหน้าตาเป็นการเป็นงาน “ก็ใช่น่ะสิ ข้าใช่คนที่ชอบกลับกลอกหลายใจหรือ”
เฉียวเวยกุมหน้าผาก กลับกลอกหลายใจก็ยังรู้จักแล้ว นี่นางพลาดอะไรไปหรือไม่นี่…
แม่ชีน้อยไปกันแล้ว ในที่สุดอินทรีทองก็ลงมาสู่พื้นได้เสียที มันบินอยู่ตลอดทั้งบ่ายจนขนแทบจะปลิวหายไปหมดแล้ว จำต้องกินเสี่ยวไป๋สามครั้งเพื่อเสริมกำลังวังชาสักหน่อย
ต้าไป๋ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มบนตะกร้าแขวนของตน มือจับผ้าเช็ดหน้ากุมอยู่ที่หัวใจน้ำตาไหลอย่างไร้สุ้มเสียงประหนึ่งเพียงพอนน้อยที่ถูกย่ำยีแสนสาหัส
จูเอ๋อร์ถูกฟู่เสวี่ยเยียนใช้วิชาตัวเบาช่วยออกมา เจ้าลิงน้อยได้รับความตกใจ (ที่ไม่มีอยู่จริง) อย่างรุนแรง จนคืนนี้มันต้องไปนอนกับคนให้อุ่นใจ
ตกดึก จีหมิงซิวออกจากคุกใต้ดินแล้วนั่งรถม้ากลับบ้านตระกูลจี
เฉียวเวยเพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมา นางสวมเสื้อนอนสีน้ำตาล ผิวพรรณที่เพิ่งออกจากห้องน้ำขาวผ่องแทบจะเปล่งประกายได้ ยิ่งพอตัดกับสีของชุดนอน จึงยิ่งดูอ่อนหวานงดงามขึ้นไปใหญ่
บนหัวไหล่นางมีผ้าป่านผืนหนาวางอยู่ เส้นผมยาวที่เปียกชื้นแผ่นกระจายอยู่บนผ้าป่าน ประหนึ่งน้ำตกสีดำสนิทที่หยุดนิ่ง แสงจากไข่มุกส่องลงมาเบาๆ ยิ่งทำให้ดูคล้ายเคลื่อนไหว
นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง จัดผมยาวดำขลับไปไว้ด้านหนึ่งเบาๆ แล้วใช้ผ้าป่านค่อยๆ ซับจนแห้ง
ตรงคอเสื้อของชุดนอน เผยให้เห็นลำคอยาวราวกับหงส์ขาวของนาง
จีหมิงซิวมองดูลำคอที่เรียวยาวนั้นแล้ว สายตาก็คล้ำขึ้นเล็กน้อย
เฉียวเวยรู้สึกว่ามีคนมองอยู่จึงหันไประบายยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย “ท่านกลับมาแล้วหรือ”
ใจจีหมิงซิวถูกรอยยิ้มของนางช่วยเติมเต็ม มุมปากเขาโค้งขึ้นโดยไม่รู้ตัวแล้วยกเท้าเดินเข้าไปหา “ดึกป่านนี้แล้ว ยังไม่นอนอีกหรือ”
“รอเจ้าน่ะสิ” เฉียวเวยตอบออกไปทันที
จีหมิงซิวคล้ายส่งเสียงเหอะขึ้นทีหนึ่ง “เดี๋ยวนี้ช่างกะล่อนเสียจริงนะ”
พูดจบเขาก็เอาผ้าจากมือนางไปแล้วเช็ดผมเปียกชื้นให้อย่างเบามือ
เส้นผมนางดูอ่อนนุ่ม พอจับขึ้นมายิ่งรู้สึกนุ่ม ประหนึ่งสามารถทำให้ใจคนอ่อนยวบลงได้ จีหมิงซิวเช็ดผมให้นาง สายตาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเวยมองเขาจากกระจก “เจ้าไปเจอหรงเฟยมาหรือ”
จีหมิงซิวตอบอื้อคำหนึ่ง “ไปดูจุดจบของนางว่าน่าเวทนาอย่างที่คิดไว้หรือไม่ก็เท่านั้น”
“แค่เพียงเท่านี้หรือ” เฉียวเวยกะพริบตาถาม
จีหมิงซิวเช็ดผมให้นาง ท่าทางอ่อนโยนยิ่งนัก “ฮ่องเต้ทำนางเดือดดาลอย่างหนัก เลยคร้านจะถามว่านางมาด้วยเหตุอันใดแล้ว เวลานี้นางถูกยั่วจนแทบคลั่ง ต่อให้อยากถามอะไรก็คงไม่ได้คำตอบแล้ว”
อันที่จริงมีบางเรื่องที่ไม่ต้องถามก็พอจะเดาได้ นางเป็นสายลับของเยี่ยหลัว เป้าหมายในการมาต้าเหลียงไม่ใช่วังหลวงก็คงเป็นตำแหน่งฮ่องเต้ ขอเพียงควบคุมราชสำนักต้าเหลียงไว้ได้ เช่นนั้นจะทำอะไรก็คงง่ายขึ้นมา
นางปิดบังความสามารถมานานปีเพียงนี้ หาใช่เพราะเบื้องหลังรัชทายาทมีฮ่องเต้กับตระกูลจีคอยเป็นที่ให้พึ่งพิงอยู่ ยิ่นอ๋องไม่ว่าในด้านใดก็ล้วนไม่ใช่คู่ปรับของรัชทายาทกับจีหมิงซิวทั้งสิ้น นางจำเป็นต้องหาโอกาสเหมาะๆ เพียงแต่โอกาสเหมาะๆ นั้นมาไม่ถึงสักทีเท่านั้น ทั้งยังถูกพวกเขากำจัดสายลับจากเยี่ยหลัวไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า กระทั่งตัวหรงเฟยเองก็ยังไม่เล็ดรอดจากสายตาพวกเขา
หรงเฟยไร้หนทางไปต่อ ถึงได้เผาเรือตนเองทิ้ง แล้วเป็นฝ่ายตั้งตนเป็นอริกับพวกเขาก่อน
“แต่เหตุใดนางถึงต้องฆ่าข้าเป็นคนแรกเล่า คิดว่าข้าจัดการง่ายงั้นหรือ”
จีหมิงซิวส่งสายตา “หรือไม่ใช่” ไปให้นาง
เจ้าสำนักเฉียวเรียกได้ว่าหัวเสียอย่างมากทีเดียว!
“ทางด้านท่านน้าเป็นอย่างไรบ้าง” จีหมิงซิวถาม
“หือ?” เฉียวเวยอึ้งไป
จีหมิงซิวถามต่อว่า “ท่านน้ากับยิ่นอ๋องยอมรับกันแล้ว?”
“คง…ใช่กระมัง” ยังไม่เรียกท่านแม่แต่คงห่างอีกไม่ไกลแล้ว ท่านน้ายังนึกไม่ออกไม่เป็นไร พวกเขายังสืบกันต่อได้ไม่ใช่หรือ
สายตาของเฉียวเวยหยุดมองตรงหน้าอกเขา “แผลเป็นอย่างไรบ้าง”
จีหมิงซิวบอกเสียงเบาว่า “หายแล้ว” ยาที่เอามาจากชนเผ่าลึกลับให้ผลดีอย่างน่าอัศจรรย์ แทบจะหายสนิทภายในคืนเดียวเลยทีเดียว “อยากตรวจดูหรือไม่”
“อื้อ”
เฉียวเวยแกะผ้าพันแผลออก แผลสมานกันดีกว่าที่นางคิดไว้เล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรเพราะแผลลึกเกินไป หากจะไม่ให้เหลือแผลเป็นเลยคงเป็นไปไม่ได้
พอคิดถึงแผลเป็นไม่น่ามองที่อาจอยู่ติดตัวเขาไปตั้งแต่ตอนนี้ เฉียวเวยก็แทบอยากจะกระทืบเจ้าคนนั้นให้จมดินไปเสีย!
จู่ๆ จีหมิงซิวก็เอ่ยว่า “อีกพักหนึ่งข้าอาจจะต้องเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว”
เฉียวเวยมองเขาด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดถึงต้องเก็บตัวด้วยเล่า”
จีหมิงซิวเอ่ยว่า “หกขั้นแรกของฝ่ามือเก้าสุริยันยังถือว่าง่าย ตั้งแต่ขั้นเจ็ดขึ้นไปนั้นต้องทุ่มเทมากหน่อย ขั้นที่เจ็ดคือการแหวกม่านน้ำ มีบางคนที่ทั้งชีวิตติดอยู่ที่ขั้นนี้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นเช่นมู่หยาง”
เฉียวเวยเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เจ้านั่นเพิ่งฝึกถึงขั้นเจ็ดเท่านั้นหรือ มิน่าเล่าถึงแก้พิษฝ่ามือในตัวท่านไม่ได้ จะว่าไปในมือพวกเรายังขาดการฝึกขั้นสุดท้ายอยู่นะ”
ถูกเจ้าเหยี่ยวน่าโมโหนั่นคาบไปเสียได้
เฉียวเวยใคร่ครวญขณะเอ่ยว่า “นกเหยี่ยวนั่นเป็นของชางจิว ชางจิวกับหรงเฟยเป็นพวกเดียวกัน เจ้าว่า…หน้าสุดท้ายนั่นจะอยู่ในมือหรงเฟยหรือไม่”
จีหมิงซิวส่ายหน้า “ข้าค้นดูแล้ว ไม่มี”
“หรือว่าจะยังอยู่ในมือชางจิว?” เฉียวเวยถาม
“น่าจะอย่างนั้น” จีหมิงซิวบอก
เฉียวเวยกัดฟัน “ไอเจ้าสุนัขชั้นต่ำ บังอาจขโมยตำราลับของข้า ครั้งหน้าหากได้เจอกันจะได้เป็นวันชะตาขาดของเจ้าแน่!”