เล่ม 1 ตอนที่ 428-1 ราชครูได้สติ คายความจริง

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 428-1 ราชครูได้สติ คายความจริง

เฉียวเวยเหนื่อยมาตลอดคืน กระทั่งนาฬิกาชีวิตในตัวก็ยังประท้วงหยุดงาน ตอนซาลาเปาน้อยสองคนเดินเท้าเปล่าเข้ามา นางยังนอนกรนเบาๆ อยู่เลย

วั่งซูเบิกตาโตใสแจ๋ว ทำหน้าทำตาบอกว่ากระทั่งข้ายังตื่นแล้ว ท่านแม่ยังไม่ตื่นอีกหรือ

จีหมิงซิวเอานิ้วชี้ที่เรียวยาวของตนแตะตรงริมฝีปาก ทั้งสองพยักหน้าอย่างรู้ประสา จีหมิงซิวลงจากเตียงเบาๆ เหน็บชายผ้าห่มให้เฉียวเวยอย่างเรียบร้อยแล้วจูงมือซาลาเปาน้อยทั้งสองออกจากห้องไป

ล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ไปกินมื้อเช้า เฉียวเวยยังคงไม่ตื่น จีหมิงซิวเป็นคนไปส่งทั้งสามที่สำนักศึกษาจนกลับมาถึงบ้านตระกูลจีและอ่านหนังสือไปอีกครึ่งชั่วยาม เฉียวเวยถึงได้ค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น พอลืมตาก็รู้ว่าสายมากแล้ว เหลือบไปเห็นจีหมิงซิวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะหนังสือ เลยอ้าปากหาวพลางเอ่ยว่า “สายป่านนี้แล้วเหตุใดถึงไม่ปลุกข้า พวกจิ่งอวิ๋นเล่า”

“ไปสำนักศึกษากันแล้ว หิวหรือไม่” จีหมิงซิววางหนังสือลงแล้วเดินช้าๆ เข้าไปหา

เขาสวมชุดแขนกว้างสีขาว รูปลักษณ์ราวกับหยก ท่าทางราวกับต้นสน เป็นที่น่าอภิรมย์ยามได้มองยิ่งนัก

เฉียวเวยชื่นชมรูปโฉมอันงดงามของสามีตนรอบหนึ่ง แล้วจึงลงจากเตียงด้วยใจที่เบิกบาน

จีหมิงซิวกินมื้อเช้าไปไม่กี่คำ เวลานี้จึงมากินเป็นเพื่อนเฉียวเวยอีกมื้อหนึ่ง ทั้งสองไม่ใช่คนกินเก่ง บะหมี่ลงท้องไปชามหนึ่งก็เริ่มอิ่มกันแล้ว พอตามด้วยซาลาเปาอีกสองลูกเลยแน่นท้องจนยัดอะไรไม่ลงอีก จึงพากันวางตะเกียบลง

ปี้เอ๋อร์ยกน้ำแกงไก่ตุ๋นกลิ่นประหลาดเข้ามาชามหนึ่ง “ฮูหยิน ค่อยๆ ดื่มเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยลองดมดู “เหตุใดถึงมีกลิ่นสมุนไพรด้วยเล่า”

จีหมิงซิวตักขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วป้อนให้นางกิน “ยาบำรุงครรภ์น่ะ”

“พรืดดด”

เฉียวเวยตกใจจนพ่นน้ำแกงออกมา!

จีหมิงซิวเลื่อนพัดที่บังหน้าไว้ออกช้าๆ โชคดีที่เขาเตรียมการไว้แต่เนิ่นๆ

เขาตักอีกช้อนหนึ่งไปป้อนนาง เฉียวเวยเอนตัวหนีช้อนเขาไปข้างหลัง “ข้าไม่ได้ท้อง!”

จีหมิงซิวทำหน้าจริงจัง “เจ้ารู้ได้อย่างไร บางทีเมื่อคืนอาจจะท้องแล้วก็ได้ แต่ยังไม่นานพอเลยยังจับชีพจรไม่เจอ”

เฉียวเวยเป่าหน้าม้าอย่างหมดคำจะเอ่ย นางบอกอีตานี่ได้ไหมนะว่าลูกอ๊อดที่เขาปล่อยออกมาเมื่อคืน เวลานี้ยังตะเกียกตะกายว่ายน้ำกันอยู่เลย

“มา อ้าปาก” จีหมิงซิวยื่นช้อนไปตรงหน้านางอีกครั้ง

เฉียวเวยไม่อยากดื่มเอาเสียเลย จีหมิงซิวก็หว่านล้อมอยู่นาน สุดท้ายเลยควักไม้ตายออกมา… จูบด้วยโทสะของอัครเสนาบดีผู้บ้าอำนาจ ถึงได้กรอกยาบำรุงครรภ์ลงไปได้จนหมดชามในที่สุด

หมายถึงกรอกลงท้องอัครเสนาบดีไปเองน่ะนะ…

พอกินมื้อเช้าเสร็จ จีหมิงซิวก็ไปที่เรือนถง พอลองนับวันดู เหล่าไท่ไท่กับเรือนรองน่าจะกลับกันมาแล้ว เขาถามจีซั่งชิงว่าต้องจัดคนไปรับหรือไม่

หลังจากเขาออกไปแล้ว ปี้เอ๋อร์ก็เดินลับๆ ล่อๆ เข้ามา หน้าตาแดงก่ำขณะถามเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ข้าขอลาหยุดหนึ่งวันจะได้หรือไม่”

“ได้สิ” เฉียวเวยตอบกลับทันที “เจ้าส่งต่องานในมือให้เยียนเอ๋อร์กับฉานเอ๋อร์ให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”

“ขอบคุณฮูหยินมากเจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์ยิ้มตาหยี

เฉียวเวยวางสมุดบัญชีในมือลง เหลือบมองนางทีหนึ่งอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “มีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือ เหตุใดจึงอารมณ์ดีเพียงนี้”

ปี้เอ๋อร์กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยความยินดีว่า “วันนี้… เสี่ยวเว่ยจะมาสู่ขอข้าที่บ้าน”

เฉียวเวยระบายยิ้มด้วยความยินดี “ตายจริง เขาจะมาสู่ขอแล้วหรือนี่! หากยังไม่มาอีก ข้ายังกลัวว่าแม่เจ้าจะจับเจ้าแต่งงานกับคนอื่นเสีย!”

ปี้เอ๋อร์จับปรอยผมขึ้นทัดหูพลางเอ่ยอย่างเขินอายว่า “เพิ่งรวบรวมสินสอดได้ครบนี่เจ้าคะ”

โจรป่าสิบกว่าคนอุตส่าห์กินอยู่อย่างประหยัดเพื่อเก็บหอมเงินมากว่าครึ่งปี น่าจะเก็บได้ไม่น้อยทีเดียว น่าจะพอเติมเต็มจิตใจอันโอหังที่คิดอยากขายบุตรสาวของเฝินซื่อได้

การที่ในที่สุดจะได้แต่งงานกับคนรักนั้นนับเป็นเรื่องดี เฉียวเวยไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ นางไม่เพียงอนุญาตให้ปี้เอ๋อร์ลาหยุด แต่ยังให้หมิงอันไปส่งนางด้วย ถุงห่อเล็กห่อใหญ่อัดแน่นไปเต็มรถ ให้นางได้กลับบ้านไปอย่างยิ่งใหญ่สักครั้ง

ปี้เอ๋อร์กลับไปพร้อมความขอบคุณ

แต่ไม่เท่าไรก็กลับมาอีกครั้ง

เฉียวเวยมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงง “มีอะไรหรือ ไม่ไปแล้วหรือ”

ปี้เอ๋อร์รีบบอกว่า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไป เพียงแต่…ข้างหน้ามีคนมา บอกว่าเป็นศิษย์จากตำหนักราชครู อยากมาของพบฮูหยินกับท่านเขยเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยไปที่เรือนถงแล้วเรียกจีหมิงซิวให้ไปยังโถงรับแขกด้วยกัน

ในโถงรับแขก ทั้งสองได้เจอศิษย์เอกของตำหนักราชครู ไม่ได้พบกันหลายวัน หน้าตาศิษย์เอกดูอ่อนล้าลงไม่น้อย

ครานั้นราชครูลงวางเดิมพัน หลังจากราชครูพ่ายแพ้ จีหมิงซิวคิดจะปลิดชีพราชครู แต่ศิษย์เอกก็ดันช่วยโขมยตำราลับมาให้ ซ้ำยังปล่อยนักรบมรณะมาช่วยเหลือเฉียวเวยอีก หลังจากตำหนักราชครูสูญเสียนักรบมรณะขั้นสูงทั้งหกคนไป จีหมิงซิวเลยตัดสินใจที่จะไว้ชีวิตราชครูสักหน เช่นนั้นเหตุใดอาจารย์ไสยเวทผู้นี้มาหาพวกเขาถึงที่นี่ด้วยเหตุอันใด

ศิษย์เอกทำความเคารพทั้งสองตามแบบฉบับคนจงหยวน “อัครเสนาบดี จั๋วหม่าน้อย”

จีหมิงซิวหันไปมองเขา “มีเรื่องอันใด”

ศิษย์เอกหลุบตาลงนิ่งไป ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “อาจารย์ข้าได้สติแล้ว เขาอยากพบพวกท่าน”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบว่า “หากเพื่อขอชีวิตของเขา เจ้ากลับไปบอกเขาทีว่าไม่จำเป็น ครั้งนี้ทำพวกเจ้าเสียนักรบมรณะมือดีหกคนของตำหนักราชครูไป เป็นความผิดของข้า ชีวิตของเขาพวกเราไม่ต้องการแล้ว”

ศิษย์เอกเอ่ยเสียงต่ำ “จ๋วหม่าน้อยกล่าวเกินไปแล้ว วันนั้นหรงเฟยหมายใจที่จะเล่นงานตำหนักราชครูไปด้วยแต่แรก หากไม่เรียกนักรบมรณะเหล่านั้นมา เกรงว่าชีวิตน้อยๆ ของข้าก็คงรักษาไว้ไม่ได้ กลับเป็นข้าที่ควรจะขอบคุณอาจารย์ตาของท่านกับจั๋วหม่าที่มาได้ทันกาล ข้าถึงรอดจากหายนะมาได้”

เฉียวเวยกระแอมเบาๆ “เจ้ารู้ก็ดี”

ศิษย์เอกเอ่ยกับทั้งสองว่า “เช่นนั้น อัครเสนาบดีกับจั๋วหม่าน้อยยินดีตามข้าเข้าวังไปพบท่านอาจารย์กับข้าหรือไม่”

หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ทั้งสองก็นั่งรถม้าที่มุ่งหน้าเข้าวัง

“ท่านว่า ราชครูอยากคุยอะไรกับพวกเราหรือ” เฉียวเวยถามด้วยความอยากรู้

จีหมิงซิวยกมุมปากเรียบๆ “เขาอยากคุยเรื่องอะไรข้าไม่แน่ใจ ข้ารู้แต่ว่าข้าอยากถามอะไร”

“ท่านอยากถามอะไรหรือ” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิวลูบผมนุ่มลื่นของนาง “เรื่องแม่ข้า หรงเฟยแล้วก็ท่านน้า”

“ยังมีเรื่องตำราลับด้วย” เฉียวเวยเอ่ยเสริม

จีหมิงซิวหัวเราะเสียงเบาแล้วดึงตัวนางไปกอด

อาจเพราะเมื่อคืนยังหลับไม่พอ พอรถม้าโยกคลอนมากๆ เข้า เฉียวเวยเลยถึงกับหลับไปอีกครั้ง

นางฝัน ฝันถึงวันที่ตำราลับถูกขโมยไป นางไล่ตามนกเหยี่ยวตัวนั้นออกจากบ้านตระกูลจี นางยืนอยู่บนหลังคา มองนกเหยี่ยวกับอินทรีทองฉีกตำราลับออกเป็นสองส่วน อินทรีทองโยนตำราลับส่วนใหญ่มาให้นาง ส่วนนกเหยี่ยวหิ้วเอาหน้าสุดท้ายบินหนีไป

อินทรีทองตามมันไป แต่ก็จนใจที่ในตอนนั้น สตรีที่ในมือถือธนูจันทร์โลหิตปรากฏตัวขึ้น

นางสวมเสื้อคลุมสีดำตลอดร่าง คาดผ้าปิดหน้าและใส่ถุงมือจากด้ายเงินที่ดูเย็นยะเยือก

สายตาของเฉียวเวยถูกนางดึงดูดไปอย่างไม่อาจควบคุม ดูเหมือนอีกฝ่ายจะรับรู้ถึงสายตาประเมินของเฉียวเวย นางจึงหันมามองเฉียวเวย สตรีนางนั้นกำลังยิ้ม สายตาที่ราวกับคลื่นน้ำแข็งยิงสายตาเยาะหยันตรงมาที่นาง

เฉียวเวยพลันสะดุ้งตื่น!

คนในอ้อมแขนตัวสั่นสะท้าน จีหมิงซิวกระชับกอดนางตามสัญชาตญาณแล้วลืมตาที่หลับพักสายตาขึ้น กระซิบถามเสียงเบาว่า “เป็นอะไรหรือ”

เฉียวเวยเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก “ข้าฝันน่ะ”

“ฝันว่าอะไร” จีหมิงซิวถาม

“ฝันเห็นสตรีนางนั้นที่ยิงข้า…สายตาของนาง…” เฉียวเวยหลับตา พยายามนึกย้อนไปถึงสายตาคู่นั้น แต่กลับนึกไม่ออกเสียแล้ว แต่ความรู้สึกคุ้นตาที่เหลือจากในฝันทำให้นางรู้สึเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน “ก่อนหน้านี้ข้าเคยเจอหรงเฟยหรือไม่”

จีหมิงซิวตอบอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “ก่อนที่เจ้าจะบาดเจ็บ ไม่เคย”

“เช่นนั้นก็น่าแปลก หากข้าไม่เคยพบหรงเฟยมาก่อน เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นเคยกับสายตาเช่นนั้นนัก”

ระหว่างที่เฉียวเวยพึมพำอยู่นั้น รถม้าก็มาถึงวังหลวง จีหมิงซิวลงจากรถม้าตามด้วยยื่นมือส่งไปให้นาง เฉียวเวยจับมือเขากระโดดลงจากรถ

ศิษย์เอกลงมาจากรถม้าอีกคันหนึ่ง เดินนำทั้งสองเข้าไปยังตำหนักฉางฮวน

ตั้งแต่เกิดเรื่องหรงเฟย การคุ้มกันของตำหนักฉางฮวนก็แน่นหนากว่าก่อนหน้านี้มากนัก ไม่เพียงราชองครักษ์ของต้าเหลียงที่ผลัดเปลี่ยนไปทั้งหมด ศิษย์เอกของตำหนักราชครู ทหารหาญของซยงหนีว์ก็ล้วนผลัดเปลี่ยนกันมาอารักขาอยู่หน้าบ้านตนเองทั้งสิ้น

“อัครเสนาบดี จั๋วหม่าน้อย เชิญทางนี้” ศิษย์เอกเดินนำทั้งสองเข้าไปยังห้องที่ตรงประตูไม่มีทหารเฝ้าอยู่ “อาจารย์ อัครเสนาบดีกับจั๋วหม่าน้อยมาแล้วขอรับ”

ใต้เท้าราชครูใช้ภาษาเยี่ยหลัวเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ศิษย์เอกเปิดประตูที่แง้มอยู่แล้วทำท่าเชื้อเชิญให้แขกเข้าไปด้านใน

จีหมิงซิวจูงมือเฉียวเวยเข้าไปในห้องใต้เท้าราชครู

ศิษย์เอกก็เดินเข้ามาด้วย เขาเอ่ยสั่งลูกศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าประตูสองสามประโยค ลูกศิษย์สองคนรับคำแล้วปิดประตูลงเบาๆ

ราชครูนั่งอยู่บนเตียง หลังพิงอยู่กับหมอนปักลายดอกกุ้ยฮวา จากเอวลงไปของเขามีผ้าห่มคุลมอยู่ สีหน้าเขาดูไม่สู้ดีนัก กระทั่งรอยย่นยังเพิ่มขึ้นหลายเส้น เส้นผมที่เคยขาวเวลานี้ยิ่งเปลี่ยนเป็นสีขาวเงินขึ้นอีก

ภายในห้องจุดเตาเอาไว้ สิ่งที่เตาเผาอยู่คือยา กลิ่นยาเลยอบอวลไปทั่วทั้งห้อง เฉียวเวยเอายาทาเสวี่ยฮวาที่ทาก่อนออกจากบ้านมากลบกลิ่นเสีย

ศิษย์เอกเทยาให้ราชครูชามหนึ่งแล้วยกไปที่เตียง แล้วเอ่ยอย่างจริงใจว่า “อาจารย์ เชิญดื่มยา”

คงเพราะคิดถึงจั๋วหม่าน้อยอย่างเฉียวเวยที่ฟังภาษาเยี่ยหลัวไม่ออก เขาจึงพยายามใช้ภาษาจงหยวนให้มากที่สุด

ใต้เท้าราชครูรับถ้วยยาไป แล้วยกดื่มรวดเดียวหมด

ศิษย์เอกวางถ้วยยาลง ต้มน้ำชามาหนึ่งกาแล้วรินให้เฉียวเวยกับจีหมิงซิวคนละชาม

ชาของคนเยี่ยหลัวไม่ได้ให้มาเพื่อดื่ม แต่ให้มาเพื่อกิน ในน้ำชายังใส่เกลือกับเปลือกส้มเสียด้วย

บอกตามตรง เฉียวเวยยังไม่เคยกินชาประเภทนี้เลยสักครั้ง แต่ดมแล้วได้กลิ่นหอมมากอยู่ พอลองชิมน้อยๆ ก็เล่นเอาแทบพ่นออกมา

ฝีมือการชงชาของคนเยี่ยหลัว ฝีมือการทำอาหารของคนชนเผ่าลึกลับ ล้วนไม่ควรลิ้มลองง่ายๆ จริงๆ!

ยาก็ดื่มแล้ว ชาก็กินแล้ว ต่อจากนี้ก็เข้าสู่ประเด็นหลัก

จีหมิงซิววางชามน้ำชาลง เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่รู้ว่าใต้เท้าราชครูอยากพบข้าด้วยเรื่องอันใดหรือ”

ราชครูกับศิษย์เอกกระซิบกระซาบกันพันหนึ่ง ศิษย์เอกก็พยักหน้า หันไปบอกกับจีหมิงซิวและเฉียวเวยว่า “อาจารย์ของข้าถามพวกท่านว่าได้สับเปลี่ยนธนูจันทร์โลหิตของเขาไปใช่หรือไม่”

ดูจากท่าทางไม่ตกใจสักนิดของศิษย์เอกแล้ว เขาน่าจะรู้เรื่องนี้จากปากราชครูมาก่อนแล้ว

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ใครสับเปลี่ยนธนูของพวกเจ้าหรือ พวกเจ้าอย่าได้ใส่ความกันนะ ตระกูลจีของพวกเราเดิมทีก็มีอยู่คันหนึ่ง!”

ราชครูพูดบางอย่างกับศิษย์เอกอีกครั้ง ศิษย์เอกบอกว่า “อาจารย์ข้าบอกว่า ธนูจันทร์โลหิตมีทั้งหมดสองคัน อีกคันหนึ่งไม่ได้อยู่ที่บ้านตระกูลจี ธนูจันทร์โลหิตในมือพวกเจ้านั้นสับเปลี่ยนไปกับธนูที่อาจารย์มี ธนูจันทร์โลหิตคันนั้นเป็นสมบัติประจำตำหนักที่อดีตราชครูส่งต่อมา ขอพวกเจ้าได้โปรดนำมาคืนโดยเร็ว”

เฉียวเวยส่งเสียงเชอะ “อาจารย์ของเจ้านี่ช่างน่าขันจริงนะ เดิมพันแพ้แล้ว ดันไม่คิดจะใช้หนี้คืนอย่างไร แต่กลับมาทวงหนี้จากเจ้าหนี้อย่างพวกเราเสียอีก เขาเข้าใจอะไรผิดหรือไม่ ข้ายังคิดว่าที่อาจารย์เจ้าเร่งร้อนอยากเจอพวกเราเพียงนี้ เพราะมีความจริงใจอยากคืนหนี้ให้เสียอีก หากรู้แต่แรกว่าจะสาดน้ำโคลนใส่พวกเราเช่นนี้ ต่อให้พูดอย่างไรพวกเราก็คงไม่มา! อ้อ ไม่สิ ยังไงก็ต้องมา อย่างไรก็ต้องมาทวงของที่อาจารย์เจ้าเดิมพันแพ้ให้พวกเรา”

เฉียวเวยพูดค่อนข้างเร็ว ราชครูฟังไม่ทัน ศิษย์เอกเลยใช้ภาษาเยี่ยหลัวอธิบายให้รอบหนึ่ง สีหน้าราชครูดูจะไม่สู้ดี ศิษย์เอกพูดบางอย่างกับเขา เขาถอนหายใจยาวเหยียด

ศิษย์เอกบอกว่า “ก็ได้ เรื่องธนูจันทร์โลหิตจะยังไม่เอ่ยถึงก่อน มาแก้ไขเรื่องเดิมพันให้เสร็จสิ้นก่อนก็แล้วกัน อาจารย์ข้าบอกว่า ชีวิตของเขาสามารถนำมาชดใช้ให้พวกท่านได้ แต่ร่างขององค์หญิงที่เหลืออยู่…”

“ร่างของท่านแม่ข้าทำไมหรือ” จีหมิงซิวตาดุขึ้นมาทันที

ศิษย์เอกเหลือบมองราชครูทีหนึ่ง ราชครูพยักหน้า เขาจึงรวบรวมกำลังใจเอ่ยว่า “ขอบอกตามตรงว่าร่างขององค์หญิงไม่ได้อยู่ในมืออาจารย์ข้า แต่อยู่ที่ราชสำนักเยี่ยหลัว หากพวกท่านอยากได้ร่างขององค์หญิงคืนจริงๆ เขาสามารถช่วยพวกท่านขอร้องมาจากราชาเยี่ยหลัวได้”

“ขอร้อง?” เฉียวเวยทะลึ่งตัวขึ้นทันที นางถลึงตาจ้องหน้าทั้งสองด้วยความไม่พอใจ “เมื่อตอนเดิมพัน เหตุใดถึงไม่บอกว่าร่างของแม่ผัวข้าไม่ได้อยู่ในมือพวกเจ้าเล่า พวกเจ้ามันพวกต้มตุ๋น! ไม่จริงใจ! เป็นถึงราชครูแต่กลับต่ำช้าเช่นนี้! น่าไม่อายสิ้นดี!”

ศิษย์เอกถูกเฉียวเวยตะคอกใส่จนใจเต้นระส่ำไปหมด “ก็…ก็เพราะแบบนี้…ข้าๆๆ… ข้าถึงได้บอกให้อาจารย์…เอาธนูจันทร์โลหิต…ชดใช้ให้พวกเจ้าไป…”