ตอนที่ 428-2 ราชครูได้สติ คายความจริง
เฉียวเวยคว้าขอเสื้ออีกฝ่ายไว้แล้วหิ้วตัวเขาขึ้นจากเก้าอี้ “ธนูจันทร์โลหิตมีประโยชน์บ้าอันใดหรือ ข้าต้องการแม่ผัว! ไอ้อาจารย์ไสยเวท ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อน หากเขาเอาร่างของแม่ผัวข้ามาให้ข้าไม่ได้ ข้าไม่สนว่านักรบมรณะของตำหนักราชครูพวกเจ้าตายไปแล้วกี่คน วันนี้ข้าจะต้องเอาชีวิตเขาให้จงได้!”
ศิษย์เอกเอ่ยอย่างขวัญเสียว่า “เจ้า…เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนไป…ราชาเยี่ยหลัวฟังอาจารย์ของข้าอยู่…ขอเพียงอาจารย์ข้าปั้นแต่งเหตุผลขึ้นมา…เขาจะต้องคืนองค์หญิงให้พวกเจ้าเป็นแน่…”
เฉียวเวยถลึงตาดุดันใส่ราชครู “ที่เขาพูดเป็นความจริงหรือไม่!”
ศิษย์เอกใช้ภาษาเยี่ยหลัวบอกคำพูดเมื่อครู่ของตนให้อีกฝ่ายฟัง ใต้เท้าราชครูพยักหน้าด้วยความหนักอก
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว จีหมิงซิวเอ่ยหน้าตายว่า “ปล่อยเขาเถิด”
เฉียวเวยปล่อยตัวศิษย์เอกลง
ศิษย์เอกล้มกลับลงบนเก้าอี้ เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว
เฉียวเวยกลับลงนั่งเก้าอี้ของตน หลังจากเจอเหตุการณ์เมื่อครู่ นางก็ไม่มีสีหน้าเป็นมิตรให้กับศิษย์อาจารย์คู่นี้อีกแล้ว
จีหมิงซิวมองนิ่งไปที่ราชครู พร้อมเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งว่า “ข้าไม่สนใจชีวิตของเจ้าแล้ว แต่ร่างของท่านแม่ข้า เจ้าต้องเอามาคืนข้าให้ได้ มิเช่นนั้นวันนี้ข้าสามารถทำลายเขาได้ วันหน้าข้าก็สามารถทำลายตำหนักราชครูของเจ้าได้เช่นกัน หากเจ้าไม่เชื่อก็เชิญลองดูได้เลย”
ราชครูหลับตาลง สูดหายใจเขาลึกๆ ไม่รู้คำพูดของจีหมิงซิวทำให้เขานึกถึงเรื่องใด สีหน้าเขามีแววเจ็บปวดและเกรงกลัววาบผ่าน ก่อนจะพูดเบาๆ หลายประโยค
ศิษย์เอกแปลให้ฟังว่า “อาจารย์ข้าบอกว่า เขารับปากท่าน”
“ยังมีอีกเรื่อง” จีหมิงซิวถามว่า “ข้าอยากรู้ว่าตำหนักราชครูของพวกเจ้ามีแผนเช่นไรกันแน่ เหตุใดถึงมายังต้าเหลียง และเหตุใดถึงต้องเล่นงานตระกูลจี”
ศิษย์เอกหันมองราชครูด้วยความกังวล ราชครูทำท่าบอกให้เขาตอบ เขาถอนหายใจด้วยความจนใจ “เรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนเล่าก็แล้วกัน ใต้เท้าอัครเสนาบดีรู้ชาติกำเนิดขององค์หญิงเจาหมิงมากน้อยเพียงใด”
จีหมิงซิว “หากเจ้าหมายถึงตระกูลกู่กับอวิ๋นจู เช่นนั้นข้าก็พอรู้อยู่”
ศิษย์เอกบอกว่า “ที่แท้พวกท่านก็รู้กันแล้ว เช่นนั้นพวกท่านก็น่าจะเข้าใจถึงความแค้นอันฝังลึกระหว่างตำหนักราชครูกับอวิ๋นจู หลังจากอาจารย์ของข้าสืบทอดตำแหน่งราชครูแล้ว เขาก็ไม่เคยล้มเลิกความคิดที่จะตามหาอวิ๋นจูเพื่อล้างแค้น เพียงแต่ตั้งแต่อวิ๋นจูขึ้นเขาไฉ่เหลียนไปก็ไม่กลับออกมาอีกเลย คนของพวกเราที่ส่งเข้าไปก็ล้วนประสบเหตุอันน่าประหลาดกันหมด นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปในเขาไฉ่เหลียนอีกเลย
แต่ที่พวกเราไม่เข้าไป ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะล้มเลิกความคิดที่จะล้างแค้นอวิ๋นจู พวกเราคอยเฝ้าอยู่ที่ตีนเขา มีวันหนึ่งอวิ๋นจูออกจากเขาไฉ่เหลียน พวกเราก็ไล่ล่าจะเอาชีวิตนาง แต่ก็กลับปล่อยให้นางหนีรอดไปได้ หลังจากวันนั้นอวิ๋นจูก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เมื่อครานั้นอวิ๋นจูสังหารศิษย์ตำหนักราชครูไปมากมาย ตระกูลจีก็มีทายาทนางอยู่ดี อาจารย์ข้า…ก็เลยเอาบัญชีแค้นนี้ไปลงกับตระกูลจี ที่พวกเรามาต้าเหลียงกันในครั้งนี้เพียงเพราะคิดอยากล้างแค้นเท่านั้นจริงๆ อวิ๋นจูสังหารศิษย์ตำหนักราชครู พวกเราก็จะสังหารทายาทของอวิ๋นจู นับว่า…นับว่าหายกันแล้ว”
เฉียวเวยโกรธจนตัวสั่น “ช่างหายกันได้ดีจริงนะ! กรรมมีเหตุ หนี้มีเจ้าของ ความแค้นระหว่างตำหนักราชครูของพวกเจ้ากับอวิ๋นจูเกี่ยวข้องอันใดกับคนรุ่นหลังอย่างพวกข้าด้วย พวกเราหาใช่คนที่ใช้เลือดล้างตำหนักราชครูไม่ พวกเจ้าไม่เข้าใจตรงใดหรือ หากไม่ใช่พวกเจ้าที่สังหารบุตรสาวนาง นางจะไปล้างแค้นเอากับพวกเจ้าหรือ จะว่าไปแล้ว ที่ตำหนักราชครูของพวกเจ้าถูกฆ่าล้างตำหนัก ก็เพราะกรรมที่อาจารย์ของเจ้าเป็นคนก่อเอง! หากเขาอยากจะล้างแค้นน่ะ จัดการสังหารตัวเองก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด!”
ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ถูกด่าว่าเอาสาดเสียเทเสีย ศิษย์เอกถึงกับปาดเหงื่อ เหตุใดถึงต้องเชิญสตรีนางนี้มาด้วยนะ…
จีหมิงซิวเอ่ยต่อว่า “เช่นนั้นแล้วท่านน้าของข้าเล่า เกิดอันใดขึ้น นางก็เป็นทายาทของอวิ๋นจู ใต้เท้าราชครูกลับดูเหมือนจะใส่ใจนางเป็นเพิเศษ”
ศิษย์เอกสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนบอกว่า “ไม่ใช่อาจารย์ข้าที่ใส่ใจ เป็นราชาเยี่ยหลัวที่ใส่ใจ”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ราชาเยี่ยหลัวของพวกเจ้าไม่ได้รู้แล้วหรือว่านางไม่ใช่องค์หญิงเจาหมิงตัวจริง เหตุใดยังใส่ใจนางเพียงนี้อีก”
ศิษย์เอก “ฮองเฮาเป็นที่น่าชื่นชอบนี่มาก…”
นั่นก็จริง ท่านน้าเป็นสตรีที่มีเสน่ห์มากล้นทีเดียว!
เฉียวเวยคิดแล้วเอ่ยต่อว่า “เรื่องของท่านน้าข้านั่นมันอะไรกันแน่ ก่อนที่นางจะกลายเป็นฮองเฮาเยี่ยหลัว ฐานะของนางคืออะไรกันแน่”
ศิษย์เอกหันไปมองอาจารย์ของตน อาจารย์พูดกับเขายาวเหยียด เขาพยักหน้าอย่างเข้าใจแล้วจึงหันมาบอกจีหมิงซิวกับเฉียวเวยว่า “อาจารย์ข้าบอกว่า เขาก็ไม่แน่ใจถึงอดีตของฮองเฮาเยี่ยหลัว ในตอนนั้นเป็นเขาจริงๆ ที่สมคบคิดกับชนเผ่าหลีซี จัดการให้ฮองเฮาเยี่ยหลัวปลอมตัวเป็นองค์หญิงเจาหมิง แล้วส่งตัวมาให้ราชา อาจารย์ข้าเพียงต้องการเอาใจราชาเยี่ยหลัวเท่านั้นแค่ไม่คิดว่าจะถูกราชาเยี่ยหลัวจับได้ ราชาเยี่ยหลัวโกรธเคืองอาจารย์ข้าด้วยเรื่องนี้อยู่นาน แต่ฮองเฮาเป็นที่ถูกใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ ราชาเยี่ยหลัวเลยไม่ถือโทษอาจารย์ข้าอีก”
เดิมทีคิดว่าราชครูจะรู้ถึงอดีตของท่านน้า คิดไม่ถึงว่าเบาะแสจะขาดลงที่ตรงนี้
เฉียวเวยนิ่งไปก่อนพูดต่อว่า “อาจารย์เจ้าไปเจอท่านน้าข้าได้อย่างไร”
ราชครูบอกกับศิษย์เอก ศิษย์เอกแปลให้ว่า “คนผู้นั้นเอาตัวฮองเฮามาส่งให้ถึงมืออาจารย์ข้า”
เฉียวเวยเอามือลูบคาง ถามด้วยความสงสัยว่า “คนผู้นั้น? เจ้าหมายถึงคนที่ครั้งก่อนขโมยตำราลับของอาจารย์เจ้าน่ะหรือ”
ราชครูพยักหน้า
ศิษย์เอกบอกว่า “ถูกต้อง เป็นเขา (นาง)”
เฉียวเวยหัวเราะหึหึ “ร่างของแม่ผัวๅข้าเป็นฝีมือของพวกเจ้าสินะ”
ศิษย์เอกก้มหน้านิ่ง “อื้อ”
หากกล่าวเช่นนี้เฉียวเวยก็เข้าใจแล้ว ตอนนั้นบุคคลลึกลับผู้นั้นตามหาฮองเฮาเยี่ยหลัวจนพบ แล้วเอาตัวนางส่งให้ราชครู ดังนั้นราชครูจึงคิดเดินหมากตัวตายตัวแทนขึ้นมา ส่วนที่ว่าเป้าหมายจะเพื่อความโปรดปรานของราชาเยี่ยหลัวหรือมีแผนการใหญ่กว่านั้น ก็ไม่อาจรู้ได้แล้ว
สรุปก็คือ หากอยากให้แผนการสำเร็จ ก่อนอื่นต้องทำให้ร่างในสุสานขององค์หญิงหายไปเสียก่อน เช่นนี้แล้วราชาเยี่ยหลัวจะได้เชื่อมากขึ้นว่าท่านน้าก็คือองค์หญิงเจาหมิง
แผนการของราชครูก็จะนับว่าไร้รูรั่วแล้ว แต่ที่ไร้รูรั่วเสียยิ่งกว่าแผนการนี้ก็คือยอดฝีมือลึกลับที่อยู่ในความมืดผู้นั้น
“เขาเป็นบุรุษหรือสตรี?” เฉียวเวยถาม
ริมฝีปากราชครูขยับขึ้นลง ศิษย์เอกตกใจก่อนจะบอกว่า “สตรี”
“หรงเฟย?” เฉียวเวยถามออกไปทันที
ราชครูส่ายหน้า ศิษย์เอกยื่นหน้าเข้าไป เงี่ยหูฟังพลางพยักหน้าไปด้วย จากนั้นก็หันไปเอ่ยกับเฉียเววยว่า “ไม่ใช่หรงเฟย แต่อาจารย์ข้าบอกพวกเจ้าได้อย่างมั่นใจว่า ธนูจันทร์โลหิตในมือของหรงเฟยเป็นของสตรีนางนั้น”
จริงๆ เสียด้วย
เฉียวเวยไม่แปลกใจสักนิดที่เรื่องราวออกมาเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่ที่รู้ว่าธนูจันทร์โลหิตมีสองคันนั้น นางก็คิดไว้แล้วว่าอีกคันหนึ่งจะต้องเป็นของมือมืดลึกลับผู้นั้นแน่นอน เพียงแต่ว่านางคิดมาตลอดว่ามือมืดลึกลับผู้นั้นคือหรงเฟย เวลานี้มาคิดดูแล้ว หากอีกฝ่ายถูกจับได้ง่ายๆ เช่นนี้ เวลานี้คงไม่ถึงขั้นล่าถอยจากชนเผ่าลึกลับไปได้อย่างปลอดภัย
ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ซ้ำยังเจ้าเล่ห์แสนกลนัก
“หรงเฟยมีความสัมพันธ์เช่นไรกับสตรีนางนั้น” จีหมิงซิวเอ่ยปากถาม
ศิษย์เอกบอกว่า “หากอาจารย์ข้าเดาไม่ผิด น่าจะเป็นศิษย์อาจารย์กัน หรงเฟยเป็นศิษย์ อีกฝ่ายเป็นอาจารย์ แล้วก็ อาจารย์ข้าให้ข้าบอกพวกท่านว่า หรงเฟยไม่ใช่คนที่สามารถทำให้ธนูจันทร์โลหิตแสดงพลังทั้งหมดออกมาได้ ดังนั้นคนที่วันนั้นเกือบยิงจั๋วหม่าน้อยตาย…น่าจะไม่ใช่หรงเฟย แต่เป็นนางผู้นั้น”
ช่างน่าโมโหนัก ตอนอยู่ชนเผ่าลึกลับก็สรรหานังตัวปลอมมาเล่นงานนาง เวลานี้ยังใช้ธนูจันทร์โลหิตยิงนางอีก อยู่ๆ เฉียวเวยก็รู้สึกว่าเอาเข้าจริงที่สตรีนางนั้นพุ่งเป้ามานี่ตน หาได้เกี่ยวข้องกับตระกูลจีไม่
เรื่องนี้น่าสนใจขึ้นมาแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองก็ไต่ถามเรื่องราวจากราชครูอีกไม่น้อย ราชครูตอบทุกคำถาม ก่อนกลับ เฉียวเวยถามราชครูถึงตำราลับหน้าสุดท้าย
อันที่จริงเฉียวเวยก็ไม่มั่นใจว่าราชครูเคยอ่านตำราลับของฝ่ามือเก้าสุริยันต์หรือไม่ แค่เพียงลองถามดูเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าการถามโดยไม่คาดหวังของเธอนี้จะเจอตัวเข้าอย่างจัง ราชครูจำได้เสียด้วย!
ราชครูเลิกผ้าห่มลงจากเตียง สวมรองเท้า แล้วเดินไปที่โต๊ะหนังสือช้าๆ โดยมีศิษย์เอกคอยประคอง
สายตาของจีหมิงซิวหยุดมองที่รองเท้าเขา เฉียวเวยมองตามสายตาสามีของตนไป ก็เห็นว่าที่รองเท้าของราชครูมีรอยขาดเป็นรูเล็กๆ อยู่ หากไม่สังเกตให้ดีจะมองไม่ออก มีแค่จีหมิงซิวที่ตาไวราวกับเหยี่ยวเท่านั้นที่มองเห็น
เฉียวเวยอดงุนงงไปไม่ได้ ศิษย์ราชครูขั้นต่ำที่สุดยังใส่เครื่องศีรษะทอง เขาที่เป็นถึงราชครูกลับยากจนถึงขั้นไม่มีรองเท้าดีๆ ใส่เชียวหรือ
เฉียวเวยไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ หลังจากได้ตำราลับหน้าสุดท้ายมาแล้ว ก็บอกลาใต้เท้าราชครูแล้วขอตัวกลับ
ราชครูให้ศิษย์เอกออกไปส่งพวกเขา
หลังจากรอจนทั้งสองเดินหายไปตรงหัวถนนแล้ว อยู่ๆ ด้านหลังฉากกั้นก็มีเงาดำเงาหนึ่งเดินออกมา คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ใส่ผ้าโปร่งปิดหน้าสีขาวกับทุกมือสีเงิน
นางระบายยิ้มช้าๆ “เจ้าทำได้ดีมาก”
ราชครูมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเย็น
นางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าฝึกวิชาลับของปลอมนั่นไปแล้วจะเลือดลมย้อนกลับจนสิ้นใจตายเลยหรือไม่ เจ้าวางใจได้ เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไว้ ข้าจะไม่คืนคำ ให้ศิษย์ของเจ้าเข้ามาเถิด”
ศิษย์เอกไปส่งคู่สามีภรรยาจีหมิงซิวเสร็จก็กลับเข้าไปในห้อง
นางเดินไปตรงหน้าศิษย์เอก ยื่นมือไปวางฝ่ามือลงบนหน้าอกเขา ศิษย์เอกตัวสั่นสะท้านไปสองที พอเสร็จนางก็ค่อยๆ ดึงมือกลับ “เรียบร้อยแล้ว แก้พิษฝ่ามือเรียบร้อยแล้ว พวกเราหายกันแล้ว ราชครู”
…
หลังจากทั้งสองออกจากวังไป เฉียวเวยก็ถือตำราลับกลับไปพร้อมความยินดี เอาแต่พลิกอ่านไปมา ถึงแม้นางจะอ่านภาษาเยี่ยหลัวไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่ออารมณ์ที่แจ่มใสของนาง เมื่อมีวิธีการฝึกวิชาขั้นสุดท้าย พิษฝ่ามือในตัวหมิงซิวกับตาทึ่มนั่นคงแก้ได้ง่ายราวกับปลอกกล้วยแล้ว!
แต่ใครจะรู้ ในขณะที่นางกำลังหน้าชื่นตาบานนั้น จีหมิงซิวกลับยื่นมือมาดึงตำราลับไปแล้วขยำจนเป็นก้อนกลม
เฉียวเวยรีบโผเข้าใส่ จะแย่งก้อนกระดาษนั้น “เอ๊ะ? ท่านทำอะไรของท่านน่ะ! ท่านบ้าไปแล้ว!”
จีหมิงซิวถอนหายใจเบาๆ “ตำราลับนี้เป็นของปลอม”
เฉียวเวยอึ้งไป “ของปลอม? ท่านรู้ได้อย่างไร”
จีหมิงซิวบอกว่า “ราชครูเป็นคนบอกข้า”
สายตาของเฉียวเวยสั่นเบาๆ “เขา…บอกท่านเมื่อไร เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
จีหมิงซิวยิ้มบางๆ “เขียนอยู่บนรองเท้าเขาหมดแล้ว”
เฉียวเวยเผยอปาก “ท่านคงไม่ได้หมายถึงรองเท้าที่คับจนขาดนั่นหรอกนะ”
“อื้อ”
“บนรองเท้าไม่เห็นเขียนอะไรนี่…” เฉียวเวยขมวดคิ้ว พึมพำเสียงเบาว่า “คับขาด คับบาท บังคับ? เขาถูกคนบังคับ?”
จีหมิงซิวพยักหน้า
เฉียวเวยแทบจะตะลึงงันไปเลยทีเดียว แบบนี้ก็ได้หรือ ช่างแสนธรรมดและโจ่งแจ้งยิ่งนัก!
ใต้เท้าราชครูไม่เก่งภาษาฮั่น ที่เขาพอคิดได้ก็คงมีเท่านี้ แต่จะคิดวิธีการนี้ออกก็ไม่ง่าย ราชครูนับว่าตั้งใจมากแล้ว
ส่วนว่าคนที่บังคับราชครูเป็นใคร ไม่ต้องเดาก็รู้ นอกจากมือมืดลึกลับคนนั้นแล้ว จะยังมีใครมีความสามารถเช่นนี้อีก
เมื่อครู่ตอนพวกเขาพูดคุยกับราชครู คนผู้นั้นจะต้องอยู่ในห้องด้วยแน่ แต่พวกเขากลับไม่รู้ถึงการมีอยู่ของคนผู้นั้นเลย เห็นได้ว่าคนผู้นั้นไม่ธรรมดาเพียงใด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฉียวเวยจึงถามว่า “ตำราลับเป็นของปลอม เช่นนั้นเรื่องที่ราชครูบอกเราก็เป็นเรื่องโกหกงั้นหรือ”
จีหมิงซิวบอกว่า “เรื่องนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น คำบอกเล่าของราชครูเป็นความจริง”
ราชครูจำเป็นต้องเปิดเผยความจริงที่มากพอเพื่อได้รับความเชื่อใจจากพวกเขา พูดให้ชัดเจนก็คือ ให้คนผู้นั้นคิดว่าราชครูได้รับความเชื่อใจจากพวกเขา มีเพียงวิธีการนี้เท่านั้นพวกเขาถึงจะเชื่ออย่างหมดใจว่าตำราลับที่ราชครูเขียนให้นั้นเป็นของจริง
เฉียวเวยคิดดูแล้วก็รู้สึกว่าตนกล้ำกลืนความโกรธนี้ไม่ลง นางทะลึ่งตัวขึ้นยืน “ข้าจะไปดูนางหน่อย!”
จีหมิงซิวดึงมือนางไว้ “ไม่มีประโยชน์หรอก นางไปแล้ว”
เฉียวเวยกำหมัดแน่น
จีหมิงซิวกางมือนางออกอย่างเห็นขัน “อย่าใจร้อนไป มาถึงขั้นนี้แล้ว ความจริงอยู่อีกไม่ไกลแล้ว”
อีกอย่างยัง…ใกล้มาก ใกล้มากๆ แล้ว