ตอนที่ 429 เป็นนางหรือนี่
ตอนทั้งสองเดินออกจากวังหลวงเป็นช่วงบ่ายแล้ว พระอาทิตย์ลอยสูงอยู่เหนือศีรษะ สาดแสงอบอุ่นลงมาพาให้คนรู้สึกเกียจคร้าน
เฉียวเวยเอามือปิดปากอ้าปากหาว
ใต้เท้าอัครเสนาบดีหันขวับไปมองนาง บังเอิญว่าในตอนนั้น เจ้าหน้าที่จัดซื้อของในวังคณะหนึ่งเดินเข็นรถเข้ามาพอดี พอเห็นว่าเป็นอัครเสนาบดีกับเฉียวเวยก็หลบไปด้านหนึ่งแล้วทำความเคารพเงียบๆ
จีหมิงซิวเอามือโอบไหล่เฉียวเวยไว้ มืออีกข้างป้องไว้ตรงหน้าท้องนางแล้วถึงเดินออกจากประตูวังไปอย่างระมัดระวัง
เฉียวเวยก้มมองมือที่บังอยู่ตรงท้องตนด้วยสายตาประหลาด “ท่านทำอะไรน่ะ”
จีหมิงซิว “กลัวชีพจรครรภ์เจ้ากระทบกระเทือนน่ะสิ”
เฉียวเวยพลันถลึงตา “ข้าก็บอกแล้วว่าข้าไม่ได้ท้อง!”
จีหมิงซิวทำหน้าบอกว่าไม่เชื่อ “เจ้าขี้เซา พอขึ้นรถม้าก็หลับมาตลอดทาง ตอนนี้ก็ง่วงอีกแล้ว”
“นั่นเพราะเมื่อคืนข้าไม่ได้นอนเกือบทั้งคืนต่างหาก!”
ใต้เท้าอัครเสนาบดีไม่พูดอะไร เฉียวเวยยังคิดว่าเขาเชื่อแล้ว แต่พอเหลือบมองไปทางเขาก็รู้สึกว่าไม่ใช่อย่างที่ตนคิดเอาเสียเลย
หลังจากเพาะปลูกมาตลอดคืน ใต้เท้าอัครเสนาบดีมั่นอกมั่นใจว่าลูกอ๊อดของตนว่ายไปถึงจุดหมายสำเร็จแล้ว ทั้งยังเตรียมจะสลัดหาง เติบโตเป็นเจ้ากบน้อยที่มีสองแขนสองขา
คงจะคุยกันดีๆ ไม่ได้เสียแล้ว
สามีภรรยาจะก้าวขึ้นรถม้า สารถีนั่งพิงสัพหงกอยู่บนที่นั่ง เฉียวเวยเลยเอาเก้าอี้วางลงด้วยตัวเอง พอรถม้าเอนไปมา สารถีเลยตื่น รีบทำความเคารพทั้งสอง “คุณชายใหญ่ ฮูหยินน้อย”
จีหมิงซิวพยักหน้าน้อยๆ
เฉียวเวยก้าวขึ้นรถม้า พอแหวกม่านเข้าไปก็เห็นว่าข้างในมีคนนอนแผ่หลาอยู่บนพื้น ริมฝีปากแดงก่ำเผยอออกเล็กน้อย มุมปากยังมีประกายน้ำลายค้างอยู่ด้วย…
มุมปากเฉียวเวยกระตุกเล็กน้อย “ท่านน้า”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวถูกเรียกให้ตื่น นางสะลึมสะลือลืมตาขึ้น สายตาที่พร่ามัวมองเห็นใบหน้าของเฉียวเวย สติจึงค่อยๆ แจ่มชัด พอนางเห็นเต็มตาว่าเป็นเฉียวเวยกับจีหมิงซิว นางก็ทะลึ่งลุกขึ้นนั่งบนเบาะทันที!
ฮองเฮาเยี่ยหลัวถูกเรียกให้ตื่น นางสะลึมสะลือลืมตาขึ้น สายตาที่พร่ามัวมองเห็นใบหน้าของเฉียวเวย สติจึงค่อยๆ แจ่มชัด พอนางเห็นเต็มตาว่าเป็นเฉียวเวยกับจีหมิงซิว นางก็ทะลึ่งลุกขึ้นนั่งบนเบาะทันที!
นางลนลานเช็ดน้ำลายตรงมุมปาก แล้วยังเช็ดรอยแดงที่เกิดจากการกดทับบนหน้า ก่อนจะหน้าแดงขึ้นมาด้วยความเขินอาย
เพราะอย่างนั้นท่านน้าที่สง่างามทุกท่วงท่า เวลานอนท่าทางดูไม่ได้เช่นนี้เองหรือ
เฉียวเวยยิ้มเจ้าเล่ห์
ฮองเฮาเยี่ยหลัวกระแอมทีหนึ่งแล้วเขยิบไปด้านข้าง เว้นที่ให้ทั้งสองเข้ามาแล้วหันไปบอกจีหมิงซิวว่า “พวกเจ้าเสร็จประชุมแล้วหรือ”
ทั้งสองนั่งลง จีหมิงซิวบอกว่า “วันนี้เป็นวันหยุด ไม่มีประชุมราชการ”
“อะไรนะ ไม่มีประชุมราชการหรือ” ฮองเฮาเยี่ยหลัวขมวดคิ้วด้วยความผิดหวัง “เช่นนั้นข้าก็มาเสียเที่ยวแล้วสิ”
เฉียวเวยอึ้งไป “ท่านน้า ท่านคงไม่ได้…มารอยิ่นอ๋องหรอกกระมัง”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวบอกว่า “ข้ามารอเขาที่นี่อย่างไรเล่า ข้าอยากรอพบเขาตอนเสร็จประชุม แต่พอรอไปรอมาแล้วเลย…” หลับไป
เฉียวเวยถามว่า “ท่านน้า ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่าเขาถูกยึดตำแหน่งขุนนางไปแล้ว เขาจะไม่มาปฏิบัติหน้าที่ไปอีกระยะหนึ่ง”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวตบหน้าผากตนเอง “ข้าลืมเรื่องสำคัญเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่ได้การละ ข้าต้องเข้าวังไปสักหน่อย ให้ฮ่องเต้คืนตำแหน่งขุนนางให้เขาให้ได้”
เฉียวเวยยิ้มเอ่ยว่า “ท่านน้า ฮ่องเต้กำลังโกรธ ท่านไปตอนนี้มีแต่จะทำให้ยิ่นอ๋องลำบากมากขึ้น ไม่สู้รออีกสักสองสามวัน ให้ฝ่าบาทคลายโทสะลงก่อนแล้วท่านค่อยไปเข้าเฝ้าอีกทีไม่ดีกว่าหรือ”
ฮองเฮาเยี่ยหลัวคิดว่าที่เฉียวเวยพูดมีเหตุผลมาก จึงพยักหน้าเห็นด้วย “งั้นก็ได้ ข้าจะรออีกสักสองสามวัน!”
คณะของพวกเขานั่งรถม้ากลับบ้านตระกูลจี
ระหว่างทางกลับ เฉียวเวยคิดไปตลอดทางว่าเจ้าคนลึกลับนั้นจะเป็นใครได้บ้าง แล้วในครานั้นนางขโมยธนูจันทร์โลหิตไปจากองค์หญิงเจาหมิงได้อย่างไร แล้วเหตุใดถึงไปเล่นงานท่านน้าได้
เอาเถิด คำถามที่สองนั่นถือว่าตนไม่ได้ถามก็แล้วกัน ท่านน้านิสัยใสซื่อเพียงนั้น น่ากลัวว่ากระทั่งจิ่งอวิ๋นก็เล่นงานนางได้
แต่ด้วยสติปัญญาขององค์หญิงเจาหมิง เหตุใดถึงให้นางชิงเอาหรือขโมยเอาธนูจันทร์โลหิตไปได้
ดูท่าสติปัญญาของคนผู้นี้คงจะไม่เป็นรององค์หญิงเจาหมิง
ไม่นานรถม้าก็ไปถึงบ้านตระกูลจี คณะของพวกเขาเดินเข้าจวนไป ฮองเฮาเยี่ยหลัวเดินตรงกลับเสี่ยวอวี่เซวียนของตนไป ส่วนคู่จีหมิงซิวกลับบ้านชิงเหลียน ที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมารออยู่ที่เรือน ดูจากท่าทางลุกลี้ลุกลนนั้นแล้วดูท่าคงจะรอมานานพอสมควร จึงเริ่มจะนั่งไม่ติดเสียแล้ว
“นายน้อย!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยได้เจอจีหมิงซิวเสียที เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เฉียวเวยมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยแล้วมองจีหมิงซิว นางรู้สึกตะหงิดๆ ว่าสองคนนี้มีอะไรปิดบังนางอยู่!
จีหมิงซิวบอกว่า “ไปที่ห้องหนังสือ”
เฉียวเวยทำปากมุ่ย
จีหมิงซิวจูงมือนาง “เจ้าก็มาด้วย”
มุมปากเจ้าสำนักเฉียวยกขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินตามเขาเข้าห้องไป
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเหลือบมองไปใต้ชายคา พอไม่เห็นว่ามีบุคคลต้องสงสัยก็จัดการปิดประตู
จีหมิงซิวนั่งลงด้านหลังโต๊ะแล้วตบเก้าอี้กข้างตัว เฉียวเวยบอกว่า “รอเดี๋ยว” เสร็จก็ลุกไปต้มน้ำชา หลังจากกินน้ำชาประหลาดของเยี่ยหลัวเข้าไปที่ตำหนักราชครู เฉียวเวยต้องการเอาชาหลงจิ่งก่อนฝนตกมาดื่มเรียกขวัญโดยด่วน
จีหมิงซิวรับถ้วยชาไป ยกจิบเบาๆ แล้วถามเยี่ยนเฟยเจวี๋ยว่า “เจ้ามาได้อย่างไร ไม่ได้ให้เจ้าตามนางไปหรอกหรือ”
เฉียวเวยที่รินชาอยู่พลันชะงัก
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้ว “เดิมทีข้าก็ตามนางอยู่ แต่…แต่ข้าดันคลาดไปได้!”
เฉียวเวยมองเยี่ยนเฟยเจวี๋ยอย่างไม่อยากเชื่อทีหนึ่ง พอรินชาในมือเสร็จนางก็ยื่นไปให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ย
จีหมิงซิวบอกว่า “ด้วยวิชาตัวเบาของเจ้า ก็ยังคลาดกับนางไปได้งั้นหรือ”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเชี่ยวชาญอาวุธลับเป็นที่หนึ่ง วิชาตัวเบาเป็นที่สอง กระทั่งวิชาตัวเบาของสือชีก็ยังได้เขาช่วยสอนให้ เห็นได้ว่าหากเขาคิดจะจับจ้องใคร ก็ไม่มีเหตุให้คลาดกันไปได้
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกถ้วยชาขึ้นกระดกแรงๆ สายตาเฉียวเวยพลันสั่นไหว กำลังจะเอ่ยเตือน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกลับกระดกลงไปหมดถ้วยเสียแล้ว จากนั้นเยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กระโดดแด่วๆๆ ราวกับเสือถูกเหยียบหาง!
“เหตุใดถึงร้อนเพียงนี้!”
เฉียวเวย “…”
ชาที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ย่อมต้องร้อน ผู้อาวุโสอย่างเจ้าคิดว่าเป็นชาเย็นหรือไร…
ลิ้นของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูกลวกจนบวมไปหมด
เฉียวเวยรีบไปเอาน้ำแข็งในโพรงใต้ดินมาให้เขาอม
ปากเขามีน้ำแข็งยัดอยู่เต็มไปหมด แก้มป่องราวกับกระรอก พูดจาอะไรก็ดูติดขัด
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยฟังเข้าใจครึ่งหนึ่ง เดาเอาเองครึ่งหนึ่งก็พอจะเดาเรื่องราวคร่าวๆ ได้ ที่แท้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสะกดรอยตามคนผู้นั้นออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ช่วงแรกก็ราบรื่นดี เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตามไปด้วยความสบายใจ แต่ใครจะรู้ว่าพออีกฝ่ายเข้าร้านชุดสำเร็จไปแล้ว ก็ไม่กลับออกมาอีกเลย
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยรู้สึกเอะใจ เลยรีบเข้าไปในร้าน แต่กลับได้รู้ว่าแม่นางผู้นั้นออกจากร้านทางประตูหลังไปแล้ว
“แม่นาง?” สมาธิของเฉียวเวยพลันเบี่ยงเบนไป “คนที่เจ้าจับตาดูอยู่คือสตรี?”
“อื้อ ฟู่เสวี่ยเยียนอย่างไรเล่า!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยบอกไปตามจริง มาถึงขั้นนี้แล้ว ปิดเฉียวเวยต่อไปจะมีประโยชน์อะไร
เฉียวเวยกลับไม่ถือสาที่คนถูกปิดบัง แต่นางตกใจตรงคนที่จีหมิงซิวให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยคอยจับตามองคือฟู่เสวี่ยเยียน นางหันไปมองจีหมิงซิว “ท่านสงสัยว่านางมีจุดประสงค์แอบแฝงหรือ”
จีหมิงซิวไม่ปฏิเสธ “นางน่าสงสัยอยู่พอควร” เขานิ่งไปก่อนจะพูดกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยว่า “เจ้าออกไปก่อน หากมีอะไรค่อยเรียกเจ้ามาอีกที”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเลยออกไป
เฉียวเวยค่อยๆ นั่งลง เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ท่านเริ่มสงสัยนางตั้งแต่คืนนั้นที่พวกเราหารือเรื่องฮองเฮาเยี่ยหลัวกันหรือ ท่านสงสัยว่านางไม่ได้บังเอิญมาเจอหมิงเยี่ย นางตั้งใจมาแอบฟังพวกเราพูดคุยกัน”
จีหมิงซิวจับมือนางไว้ ถอนหายใจเบาๆ “ตอนนั้นข้าเพียงแค่คาดเดา วันรุ่งขึ้นหลังจากเกิดเรื่องนางก็ออกจากบ้าน วันนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ ข้าให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับตาดูนางต่อไป วันนี้ก็ถูกสลัดหลุดเสียแล้ว”
เข้าจากประตูหน้าแต่ออกประตูหลัง ก็น่าประหลาดใจอยู่จริงๆ
หนำซ้ำวันนี้ มือมืดลึกลับผู้นั้นยังไปปรากฏตัวอยู่ในวังอีก ซึ่งก็เป็นหลังจากที่ฟู่เสวี่ยเยียนสลัดเยี่ยนเฟยเจวี๋ยหลุดแล้วพอดี
หากว่ากันตามจังหวะเวลาแล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนน่าจะเตรียมตัวมาก่อน
ทว่า…จากข้อมูลที่ได้มาจากราชครู อายุของมือมืดลึกลับกับที่ฟู่เสวี่ยเยียนบอกพวกนางดูเหมือนจะไม่ตรงกัน
หรือจะบอกว่า…ฟู่เสวี่ยเยียนปิดบังอายุของตน?
ลองคิดดูโดยละเอียดแล้ว เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างเช่นท่านแม่นาง ที่มีใบหน้าที่คล้ายถูกวันเวลาลืมเลือน หากบอกว่านางอายุยี่สิบกว่าปีก็ไม่มีทางมีใครไม่เชื่อ
เพียงแต่นางไม่อยากเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง
อีตาทึ่มชื่นชมฟู่เสวี่ยเยียนออกเพียงนี้ หากรู้ว่าฟู่เสวี่ยเยียนหลอกเล่นกับความรู้สึกเขา น่ากลัวว่าเขาคงเสียใจแย่
ระหว่างใช้ความคิดอยู่นั้น ข้างหน้าประตูก็มีเสียงเยียนเอ๋อร์รายงานขึ้น “คุณชายใหญ่ ฮูหยินน้อย มีคนอ้างตนว่าเป็นลูกศิษย์ตำหนักราชครูมาขอพบเจ้าค่ะ เขาบอกว่า…เอากล่องใส่ธนูมาส่งให้พวกท่านเจ้าค่ะ!”
กล่องใส่ธนู?
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยสบตากันทีหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเห็นแววสงสัยในตาอีกฝ่าย จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเรียบว่า “เชิญเขาเข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
ไม่นาน เยียนเอ๋อร์ก็เดินนำศิษย์เอกเข้ามา
ประตูห้องหนังสือเปิดกว้าง ศิษย์เอกเอากล่องใส่ธนูจันทร์โลหิตยื่นสองมือส่งให้จีหมิงซิว “กล่องนี้ทำขึ้นจากไม้เก่าแก่อายุหมื่นปีของเยี่ยหลัว คู่ควรกับธนูจันทร์โลหิตเสียยิ่งกว่าอะไร อาจารย์ข้าให้ข้านำมาให้ท่าน”
จีหมิงซิวรับกล่องไป “ใต้เท้าราชครูมีน้ำใจแล้ว ฝากขอบคุณใต้เท้าราชครูด้วย ตัวข้าไม่มีของดีอะไร ขอเอาผลสองภพจากชนเผ่าลึกลับผลหนึ่งมอบให้ใต้เท้าราชครูก็แล้วกัน เสี่ยวเวย เจ้าไปเอามาให้ที”
เฮ่อหลันชิงกับเฉียวเจิงกลับเมืองหลวงมาครานี้ ยังนำผลสองภพมาด้วยอีกไม่น้อย และนำมาให้ที่บ้านชิงเหลียนตะกร้าใหญ่
ศิษย์เอกพอได้ยินว่าเป็นผลสองภพเขาชะงักไป สองตาพลันเป็นประกายวาววับ สมัยราชวงศ์เทียนฉี่ ผลสองภพมีปริมาณไม่น้อย น่าเสียดายหลังจากการสังหารล้างบางอันน่าสลดในครานั้นถูกโค่นทิ้งไปหมดแล้ว ตอนชนเผ่าเยี่ยหลัวของพวกเขาหนีตายกันนั้น เคยนำเมล็ดของผลสองภพไปด้วยจำนวนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ปลูกไม่ขึ้น
เขาพอได้ยินว่าใต้เท้าโหราจารย์ปลูกต้นผลสองภพขึ้น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง!
เฉียวเวยหันไปเปิดตู้
ศิษย์เอกก้าวเข้ามาสองสามก้าว กระซิบบอกว่า “ข้าขอบอกตามตรง อาจารย์ข้าเป็นคนให้ข้ามา เมื่อครู่มีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ลืมบอกพวกท่านทั้งสองไป เกี่ยวกับคนผู้นั้น”
เฉียวเวยตั้งหูรอฟังทันที
“เรื่องอันใด” จีหมิงซิวถาม
“เมื่อปีนั้น…”
ศิษย์เอกยังไม่ทันพูดจบ ตรงหน้าประตูก็มีเสียงทักทายของเยียนเอ๋อร์ดังขึ้น “แม่นางฟู่ ท่านมาที่นี่หรือ”