ตอนที่ 430-1 เป็นนางหรือนี่ (2)
ฟู่เสวี่ยเยียนมาที่นี่? ช่างมาได้เวลาเสียจริง!
เฉียวเวยเหลือบมองศิษย์เอกทีหนึ่ง ศิษย์เอกหน้าตาเหลอหลา เห็นได้ชัดว่ากำลังคาดเดาว่าแม่นางฟู่ผู้นี้ใช่คุณหนูสักคนของจนมู่อ๋องหรือไม่
เวลานี้ถึงแม้จะไม่มีหลักฐาน แต่หากเกิดฟู่เสวี่ยเยียนเป็นมือมืดลึกลับขึ้นมาจริงๆ แล้วนางมาบังเอิญเจอศิษย์เอกที่นี่ ศิษย์เอกจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน
เวลานี้พวกเขาเป็นคนบนเรือลำเดียวกัน นางไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับศิษย์เอก
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยมีความคิดเดียวกัน เขาแลกเปลี่ยนสายตากับเฉียวเวย เฉียวเวยเปิดหน้าต่าง ทำท่าบอกให้ศิษย์เอกกระโดดออกทางหน้าต่างไป
ศิษย์เอกไม่เข้าใจว่ามีประตูดีๆ ไม่ให้ไป เหตุใดถึงต้องออกทางหน้าต่าง
เฉียวเวยไม่มีเวลาอธิบาย คว้าตัวเขาโยนออกทางหน้าต่างไปทันที ศิษย์เอกถูกโยนออกประตูหลังของบ้านชิงเหลียน เขาปัดฝุ่นตามตัวด้วยความหัวเสีย แล้วเดินออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง!
เฉียวเวยเพิ่งปิดหน้าต่างเสร็จ ฟู่เสวี่ยเยียนก็ถือกล่องอาหารเดินเข้ามา “ข้าซื้อขนมน้ำตาลมานิดหน่อย อยากนำมาให้พวกเจ้าชิมกัน”
เฉียวเวยลอบเอ่ยว่าเฉียดฉิวเหลือเกิน หากนางช้ากว่านี้อีกก้าว อีกฝ่ายคงเห็นศิษย์เอกแล้ว
“เจ้าเป็นอะไรหรือ เหตุใดหน้าถึงแดงเพียงนี้” ฟู่เสวี่ยเยียนยื่นมือเย็นเฉียบไปแตะหน้าผากเฉียวเวย
เฉียวเวยเบี่ยงหลบตามสัญชาตญาณ
ฟู่เสวี่ยเยียนอึ้งไป มือเร็วชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
เฉียวเวยรู้สึกตัวว่าหากตนทำตัวห่างเหินคงจะดูประหลาด จึงรีบระบายยิ้มกว้าง ลูบหน้าผากบอกว่า “มีแต่เหงื่อน่ะ อย่าทำมือเจ้าเปื้อนเลย ใช่สิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าซื้ออะไรมานะ”
“ขนมน้ำตาล” ฟู่เสวี่ยเยียนเปิดกล่องอาหาร หยิบชุดหนึ่งมาส่งให้เฉียวเวย “ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะชอบหรือไม่”
เฉียวเวยแกว่งถุงกระดาษในมือแล้วบอกอย่างยิ้มแย้มว่า “ชอบสิ ขอบคุณเจ้ามาก!”
ฟู่เสวี่ยเยียนจึงบอกว่า “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะ”
เฉียวเวยระบายยิ้ม “อื้อ!
ฟู่เสวี่ยเยียนหิ้วกล่องอาหารไปยังห้องของใต้เท้าเจ้าสำนัก
เฉียวเวยกับจีหมิงซิวออกจากห้องหนังสือไปที่ระเบียงทางเดิน ประตูงับอยู่หลวมๆ จากมุมที่พวกเขามองอยู่ มองไม่เห็นด้านในห้อง แต่ยังพอได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขา
“หึ ยังรู้ว่าต้องกลับมานะ อยู่ๆ ก็หายไปไม่บอกไม่กล่าว ข้ายังคิดว่าเจ้ากลับเยี่ยหลัวไปแล้วเสียอีก!”
เป็นเสียงไม่พอใจของใต้เท้าเจ้าสำนัก
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงเบาว่า “เมื่อวานเจ้าไม่ได้บอกว่าอยากกินขนมน้ำตาลหรอกหรือ ข้าไปซื้อมาให้เจ้าอย่างไร เป็นร้านเก่าแก่ที่ถนนฉางหลิวนั่นเชียวนะ ต่อแถวอยู่ตั้งนานกว่าจะซื้อมาได้”
เฉียวเวยมุมปากกระตุก ขอเดิมพันด้วยเงินหนึ่งตำลึง ตาทึ่มนั่นรับมือคำพูดหวานหยดย้อยเช่นนี้ไม่ได้แน่!
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ น้ำเสียงของใต้เท้าเจ้าสำนักอ่อนลงไม่น้อย “เจ้าไปที่ร้านขายขนมน้ำตาลมาหรือ เหตุใดเจ้าถึงไปเอง ไม่เรียกข้าไปด้วยเล่า”
“ข้าเห็นว่าเจ้าหลับอยู่เลยไม่อยากปลุกเจ้าตื่น” ฟู่เสวี่ยเยียนบอก
เฉียวเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ต้องดูก็รู้ว่าหน้าตาอีกตาทึ่มที่เดิมทีบูดบึ้งเป็นก้อนถ่าน เวลานี้จะยิ้มหน้าแป้นเพียงใด
ในห้องมีเสียงยินดีของใต้เท้าเจ้าสำนักดังขึ้น “เจ้าก็กินด้วยสิ ขนมน้ำตาลของร้านเก่าแก่นี้อร่อยที่สุดแล้ว หวานแต่ไม่เลี่ยน แล้วยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากดอกกุ้ยฮวาด้วย…”
เฉียวเวยเหลือบมองฟ้าอย่างหมดคำจะพูด บุรุษตระกูลจีของพวกเจ้านี่นะ…
ฟู่เสวี่ยเยียนออกจากห้องของใต้เท้าเจ้าสำนักก็เป็นช่วงหนึ่งเค่อหลังจากนั้น พอนางก้าวขากลับไปยังเสี่ยวอวี่เซวียน เฉียวเวยก็ถือเสื้อตัวหนึ่งเดินตามนางไป
“ฮูหยิน” ซิ่วฉินอมยิ้มพร้อมเอ่ยทักทาย
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ชะเง้อมองฟู่เสวี่ยเยียนที่อยู่ข้างใน “ข้าไม่ได้มารบกวนคุณหนูของเจ้ากระมัง”
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ฮูหยินเชิญด้านใน” ซิ่วฉินเชิญเฉียวเวยเข้าไปในห้องแล้วต้มชาหลงจิ่งให้เฉียวเวยกาหนึ่ง
เฉียวเวยมองถ้วยชาตรงหน้าแล้วไม่รู้เหตุใดถึงนึกถึงชาที่ศิษย์เอกต้มให้ตนกิน นางเอ่ยถามยิ้มๆ ว่า “ข้าได้ยินว่าชาของพวกเจ้าเยี่ยหลัวกับจงหยวนนั้นไม่เหมือนกัน”
ซิ่วฉินยิ้มแย้มบอกว่า “ไม่เหมือนกันจริงๆ เจ้าค่ะ เพียงแต่คุณหนูของพวกเราชื่นชอบวัฒนธรรมของจงหยวนมาตั้งแต่เล็กๆ ชาที่ดื่มจึงเป็นชาของจงหยวนเจ้าค่ะ”
อ่า ชื่นชอบวัฒนธรรมจงหยวนตั้งแต่เล็กๆ…
เฉียวเวยยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วจิบเบาๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนเข้ามานั่ง “ม่มีธุระอันใดหรือไม่”
เฉียวเวยส่งยิ้มให้ “ไม่มีเรื่องอะไรหรอก แค่มาเยี่ยมเจ้าเท่านั้น ช่วงนี้มัวแต่ยุ่งเรื่องหรงเฟย เลยออกจะละเลยเจ้าไปสักหน่อย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังสบายดีหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ข้าสบายดีทุกอย่าง ทำเจ้าเป็นห่วงแล้ว”
เฉียวเวยบอกทันทีว่า “ควรแล้วมิใช่หรือ ใครใช้ให้ในท้องเจ้าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลจีเล่า หลังจากนี้พวกเราก็เป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้กันแล้ว! บุตรของเจ้าคลอดออกมาก็ยังต้องเรียกข้าว่าท่านป้าเลย!”
ขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหวเล็กน้อย
เฉียวเวยมองนางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สายตาเฉียวเวยหยุดมองตรงหน้าท้องที่ยื่นออกมาเล็กน้อยของนาง “ห้าเดือนได้แล้วกระมัง”
“อื้อ” ฟู่เสวี่ยเยียนพยักหน้าเบาๆ
เฉียวเวยบอกว่า “อากาศเริ่มเย็นแล้ว เสื้อผ้าใส่ให้หนาหน่อยก็มองไม่ค่อยออกแล้วว่าเจ้าท้อง หากเป็นหน้าร้อน ท้องของเจ้าคงซ่อนไม่ได้ เจ้ายังไม่คิดจะบอกหมิงเยี่ยใช่หรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งไป “…ไว้อีกสักพักก็แล้วกัน”
ดวงตาเฉียวเวยขยับเล็กน้อย เปิดกล่องผ้าไหมที่เอามาด้วยแล้วหยิบเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวตัวหนึ่งออกมา “นี่เป็นเสื้อคลุมที่ปี้เอ๋อร์เพิ่งไปเอามาจากร้านตัดเสื้อ ข้าเห็นว่าสีมันเหมาะกับเจ้ามาก เจ้าลองดูว่าใส่พอดีหรือไม่”
ฟู่เสวี่ยเยียนเอาเสื้อคลุมมาสวมทับบนตัวแล้วลุกขึ้นยืน ออกจะยาวไปสักหน่อย
เฉียวเวยมองไปตรงหน้าท้องนางอีกครั้ง พอใส่เสื้อคลุมแล้วก็ดูไม่ออกจริงๆ ว่านางกำลังท้องอยู่!
เฉียวเวยเอาเสื้อคลุมกลับไปเก็บชายที่บ้านชิงเหลียน จีหมิงซิวนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ พอเห็นนางเข้ามาก็วางหนังสือโบราณที่อ่านอยู่ลง แล้วเอ่ยถามว่า “ได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
เฉียวเวยนั่งลงบนเก้าอี้ เอ่ยช้าๆ ว่า “ยิ่งลองเชิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นนาง…”