WSSTH ตอนที่ 2,935 : เฟิ่งเทียนหวู่ ต้วนซือหลิง!

ตั้งแต่ที่ถูกเซี่ยเจี๋ยช่วยออกมา และจับพลัดจับผลูมาปรากฏตัวในระนาบหนามม่วงแห่งนี้ ลี่เฟยก็อยู่คนเดียวมาโดยตลอด

ช่วงแรกๆที่นางยังไม่ทันได้ปิดบังรูปโฉม นางก็ดึงดูดบุรุษมากหน้าหลายตาเข้ามาหาปานบุปผาดึงดูดแมลง แต่โชคดีนักที่พลังฝีมือของคนเหล่านั้นสู้นางไม่ได้ นางจึงผ่านพ้นมาได้อย่างไร้เรื่องราว

ต่อมาเพื่อลดปัญหาที่จะเข้ามาเพราะรูปโฉมอย่างไม่จำเป็น กระทั่งอาจจะดึงดูดบุรุษที่พลังฝึกปรือเหนือล้ำกว่านาง ลี่เฟยจึงเริ่มสวมใส่ชุดคลุมสีม่วงปกปิดร่างกายมิดชิด และออกเดินทางท่องไปทั่วในระนาบหนามม่วง

ที่นางเลือกออกเดินทางท่องไปทั่วระนาบหนามม่วงนั้น ก็เพื่อหาลูกชายของนางที่พลัดหลงกันไป

ต้วนเนี่ยนเทียน!

ตอนนั้นหลังจากที่เซี่ยเจี๋ยได้ช่วยให้พวกนางหลบหนีออกจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ อันเป็นดินแดนแห่งทวยเทพที่ตระกูลเซี่ยตั้งอยู่แล้ว ในช่องทางมิติที่เซี่ยเจี๋ยบังคับเปิดออกเพื่อส่งพวกนางมายังระนาบเทวโลกนั้น พวกนางบังเอิญพบพานเข้ากับพายุมิติที่ยากจะพบพานเข้าอย่างจัง! กับคนอื่นนางไม่ทราบ แต่นางมั่นใจว่าต้วนเนี่ยนเทียน บุตรชายของนางได้ถูกส่งมายังระนาบหนามม่วง ระนาบโลกียะแห่งนี้เหมือนนางแน่นอน!!

จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ระหว่างที่เดินทางอยู่ ลี่เฟยก็รู้สึกเสมือนมีบางสิ่งกำลังเพรียกหานางจากที่ไหนสักแห่ง

พอนางตามเสียงเพรียกหานั้นมา นางก็มาถึงดาวสีม่วงดวงหนึ่ง และพอได้ยินผู้คนที่มาถึงก่อนกล่าวบอกว่าที่นี่คือดาวที่เซียนอมตะหนามม่วงทิ้งมรดกไว้นางก็แปลกใจอยู่บ้าง แต่นางไม่ได้คิดหวังว่าจะได้รับมรดกอันใด

แต่ตอนนี้พอมาฟังเงาร่างสีเทาที่เลือนรางปานภูตผีเบื้องหน้า เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายได้เลือกนางให้เป็นผู้สืบทอดมรดกแล้ว!

ลี่เฟยถึงกับร่ำไห้ออกมาทันที

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น นางได้แต่เฝ้ามองต้วนหลิงเทียน ชายคนรักของนางที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน จนนางรู้สึกว่าตัวเองช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน ไม่อาจช่วยเหลืออะไรอีกฝ่ายได้เลย

ต่อมาเรื่องราวการกลับชาติมาเกิดของเค่อเอ๋อก็ได้ถูกเปิดเผย และเค่อเอ๋อก็กลับกลายเป็นตัวตนอันทรงพลังยิ่งใหญ่สุดเปรียบปราน ลี่เฟยจึงบังเกิดความรู้สึกต้อยต่ำไร้ค่าขึ้นมาจับใจ!

แน่นอนว่าความรู้สึกดังกล่าว นางเพียงเก็บไว้กับตัวไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้

ตัวนางนั้นไม่เคยเลยสักครั้งที่อยากจะเป็นสตรีในห้องหับ ดั่งดอกไม้ปักแจกัน นางอยากช่วยเหลืออะไรต้วนหลิงเทียนชายคนรักของนางบ้าง อย่างน้อยๆก็มีประโยชน์และสามารถแบ่งเบาภาระในครอบครัวได้บ้างก็ยังดี

มาตอนนี้พอได้ฟังวาจาของเซียนอมตะหนามม่วง ที่กล่าวบอกว่าจะเลือกนางให้เป็นผู้สืบทอดมรดก ลี่เฟยก็เสมือนได้เห็นแสงแห่งความหวังหนึ่ง ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและอึดอัดแต่ทำอะไรไม่ได้ตลอดหลายปีที่ผ่าน กลับกลายเป็นหยาดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาทันที

หลังจากนั้นสักพักหยาดน้ำตาสองสายที่ไหลรินก็ค่อยๆหยุดลง

“ไฉน…เป็นข้าหรือ?”

ลี่เฟยมองถามเงาร่างปานภูตผีเบื้องหน้า

นางลองไถ่ถามตัวเองดูก็พบว่าศักยภาพไหวพริบปฏิภาณอันใด นางก็หาได้เลิศล้ำแต่อย่างไรไม่! แล้วไฉนเซียนอมตะหนามม่วงถึงได้เลือกนางให้เป็นผู้สืบทอดกัน?

อีกทั้งฟังจากวาจาของเซียนอมตะหนานม่วงที่เอ่ยออกมาก่อนหน้า บัดนี้อีกฝ่ายก็เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเข้าไปแล้ว!

หากเป็นก่อนจะถูกจับไปกักขังไว้ในตระกูลเซี่ยที่ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ นางคงไม่อาจทราบได้ว่าจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่แท้เป็นตัวตนอันใด แต่หลังจากไปใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ นางก็ย่อมเข้าใจเรื่องราวหลายอย่างของระนาบเทวโลกผ่านข้ารับใช้ของตระกูลเซี่ยในสถานที่กักบริเวณ

ในบรรดาข้ารับใช้ของตระกูลเซี่ยยที่เป็นเทพระดับต่ำนั้น มีคนหนึ่งที่อัธยาศัยดีและเป็นคนของเซี่ยเจี๋ยที่แฝงตัวเข้ามา ก็ได้คอยเล่าถึงเรื่องราวต่างๆในระนาบเทวโลก และยังบอกอีกว่าหากเป็นเทพระดับต่ำเช่นมัน ไม่ว่าใครก็อาศัยหนึ่งฝ่ามือเข่นฆ่าจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศได้ทั้งสิ้น!

และจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศ ก็คือด่านพลังสูงสุดในระนาบเทวโลกแล้ว…

เช่นเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ทั้ง 81 องค์ของ 81 ระนาบเทวโลก ทั้งหมดไร้ซึ่งข้อยกเว้นอันใด ล้วนแล้วแต่เป็นจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศที่ทรงพลังเหนือกว่าผู้ใดในแดนสวรรค์นั้นๆ

“เนื่องเพราะร่างกายของเจ้า แตกต่างจากผู้ใดในระนาบโลกียะอย่างยิ่ง กระทั่งยังแตกต่างกว่าผู้ใดในระนาบเทวโลกอีกด้วย ข้าสัมผัสได้ถึงความพิเศษและไม่ธรรมดาที่กระทั่งตัวข้าเองก็มิอาจบอกได้ด้วยซ้ำว่าอัศจรรย์แค่ไหน…และที่ข้าสังเกตเห็นความไม่ธรรมดานั้น…”

“เพราะครั้งหนึ่งข้าก็เคยได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินที่พิเศษบางอย่าง…และหลังจากข้าได้รับการชำระขัดเกลาจากพลังวิญญาณฟ้าดินนั่นแล้ว ร่างข้าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ยามข้าบ่มเพาะพลัง ด่านพลังของข้าก็ก้าวหน้าว่องไวกว่าผู้ใดในระนาบโลกียะ แต่กระนั้นข้าก็มาถึงทางตันที่ขอบเขตจักพรรรดิอมตะ 10 ทิศ”

“เช่นนั้นข้อกำหนดเดียวที่ข้าใช้เฟ้นหาทายาท…ก็คือมีศักยภาพมากพอที่จะก้าวข้ามตัวข้าไปได้!”

“ข้ารู้ตัวเองดี ว่าข้าถูกกำหนดให้หยุดอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศไปชั่วชีวิต…แต่ตัวเจ้านั้นต่างออกไป ตราบใดที่เจ้าวางรากฐานให้มั่นคงตั้งแต่อยู่ในระนาบโลกียะ ความสำเร็จในภายภาคหน้าของเจ้า จักมิได้หยุดอยู่ที่ขอบเขตจักรพรรดิอมตะ 10 ทิศเหมือนข้าเป็นแน่!!”

เงาร่างปานภูตผีของเซียนอมตะหนามม่วงกล่าวออกมายืดยาว ท้ายประโยคยังตั้งความหวังกับอนาคตของลี่เฟยเป็นอย่างมาก!

‘การขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินหรือ?’

‘หรือที่นางกล่าวถึง…จะเป็นกรณีเดียวกันกับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ?’

พอได้ยินคำพูดดังกล่าวของเซียนอมตะหนามม่วง ลี่เฟยก็นึกถึงช่วงแรกๆที่นางถูกจับไปยังดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว และพลังวิญญาณฟ้าดินที่นั่น มันทรงพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าระนาบเทวโลกไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ กระทั่งให้เซียนอมตะไปพบเจอกะทันหันยังไม่แน่ว่าจะปรับตัวได้ เช่นนั้นจะนับประสาอะไรกับคนที่มาจากระนาบโลกียะเช่นนาง

ทำให้ช่วงแรกๆที่นางไปถึงดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพนั้น นางรู้สึกอัดอัดราวกับบรรยากาศโดยรอบจะบีบคั้นนางให้ตาย อีกทั้งชีพจรพลังในร่างคล้ายอุดตันไม่อาจดูดซับบ่มเพาะพลังอะไรได้เลย

ทว่าหลังจากนั้นไม่นานนางก็เริ่มปรับตัวได้ ขณะเดียวกันเมื่อเริ่มดูดซับพลังบ่มเพาะได้อีกครั้ง ด่านพลังของนางก็ก้าวหน้าว่องไวขึ้นกว่าเดิมมาก

ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่แค่นางคนเดียว แต่ยังเป็นทุกคนที่อยู่รอบกายนางที่ถูกจับมาจากระนาบเซียนและมาใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ ทุกคนพบว่าร่างกายตัวเองบังเกิดความเปลี่ยนแปลงไปครั้งยิ่งใหญ่เหมือนกันหมด!

เป็นธรรมดาว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวมีแต่ประโยชน์ ไร้โทษอันใด

มาตอนนี้ลี่เฟยเองก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว

เหตุผลที่ไฉนนางถึงเข้าตาเซียนอมตะหนามม่วง และถูกเลือกให้เป็นผู้สืบทอดแบบนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนางเคยใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ จนทั่วร่างเสมือนได้รับการขัดเกลาชำระจนแปรเปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง!

กล่าวได้ว่า ศักยภาพของนาง ได้เพิ่มพูนขึ้นหลังได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินของดินแดนแห่งทวยเทพ เปลี่ยนแปลงไปจากศักยภาพก่อนหน้าของนางลิบลับ!

และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ก็ทำให้เซียนอมตะหนานม่วงบังเกิดความสนใจคิดถ่ายทอดทุกสิ่งอย่างให้นางทันที!

“ต่อไปเจ้าก็เตรียมตัวรับมรดกของข้าเถอะ…หลังจากที่เจ้ารับมรดกของข้าแล้ว เจ้าก็ถือว่าเป็นศิษย์ของข้า ไว้เราค่อยทำพิธีรับศิษย์อาจารย์อันใดอย่างเป็นทางการ หลังพบกันในระนาบเทวโลก”

“และเมื่อเจ้าขึ้นมายังระนาบเทวโลกเมื่อใด ข้าจักไปรับเจ้าเอง สำหรับเรื่องราวภายในระนาบหนามม่วงหลังจากนี้ อาศัยศิษย์รับใช้ทั้ง 4 ที่ข้าส่งไปดูแลเจ้า ย่อมไม่มีผู้ใดในนระนาบหนามม่วงที่จักทำอันตรายเจ้าได้อีก”

เซียนอมตะหนานม่วงกล่าวสืบต่อ

“ช้าก่อน…ท่านผู้อาวุโสท่านช่วยข้าตามหาลูกชายได้หรือไม่!?”

ในขณะที่เงาร่างสีเทาปานภูตผีของเซียนอมตะหนามม่วงเริ่มจางลงคล้ายจะสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ลี่เฟยก็ฉุกคิดได้ถึงลูกชายที่ยังคงหายตัวไปขึ้นมา เร่งกล่าวถามออกไปอย่างร้อนรนทันที

น่าเสียดายกว่าที่ลี่เฟยจะทันได้กล่าวจบคำ ร่างกฏของเซียนอมตะหนามม่วงก็หายไปเสียก่อน

จากนั้นลี่เฟยก็สัมผัสได้ทันที ว่ามีพลังมหาศาลขุมหนึ่งปะทุขึ้นมาทั่วห้องโถง และพลังมหาศาลทั้งหมดนั้นต่างพากันโถมถันเข้ามาหานางปานคลื่นสมุทรสุดคุ้มคลั่ง…

หลังจากนั้นลี่เฟยก็หมดสติไปอีกรอบ เพราะทนผลกระทบจากพลังมหาศาลที่ชำแรกเข้าร่างไม่ไหว…

ส่วนด้านนอกนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า ก็มีผู้คนทยอยกันมาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ

และท่ามกลางผู้คนนั้น ก็มีเงาร่างบาง 4 ร่างยืนเรียงกันชมดูเรื่องราวอย่างเงียบงัน สองตาแต่ละคนจับจ้องมองไปยังดาวที่เรืองรองไปด้วยพลังสีม่วงไม่วางตา

“ในที่สุด นายน้อยก็ปรากฏตัว!”

“ที่นายหญิงให้พวกเรา 4 คนรั้งอยู่ในระนาบหนามม่วงแห่งนี้ ทั้งหมดก็เพื่อรอคอยนายน้อย…ตอนนี้เมื่อนายน้อยปรากฏตัวขึ้น หมายความว่าพวกเรากำลังจักได้กลับระนาบเทวโลกแล้ว!”

“จากที่นายหญิงกล่าว…นางจะเลือกเฟ้นเฉพาะผู้ที่มีศักยภาพเหนือล้ำกว่าตัวนายหญิงเท่านั้น กล่าวได้ว่าความสำเร็จในภายภาคหน้าของนายน้อยย่อมไม่อ่อนด้อยกว่านายหญิงเป็นแน่ พวกเจ้าทั้ง 3 อย่าได้เหิมเกริมดูแคลนนายยน้อยเข้าใจหรือไม่ หากพวกเจ้ากลาดูหมิ่นนายน้อยเพียงเพราะยามนี้นายน้อยยัอ่อนแออยู่ ไม่ต้องให้นายหญิงลงโทษพวกเจ้า ข้าก็จักตีพวกเจ้าเอง!”

“พี่หญิงเหมยอ่า…ท่านก็พูดเป็นเล่นไปได้ นายน้อยอย่างไรก็เป็นดั่งทายาทของนายหญิงแล้ว พวกเราไหนเลยจะกล้าดูหมิ่นเล่า”

สตรีทั้ง 4 นั้นกล่าวไปแต่ละนางล้วนงามเฉิดฉันท์ทั้งสิ้น และที่สะดุดตาผู้คนที่สุดก็คือรูปร่างหน้าตาของพวกนางนั้นเหมือนกันอย่างยิ่ง!

เรียกว่าหากไม่นับลักษณะนิสัยและท่าทางเฉพาะตัว พวกนางแทบจะเหมือนกันทุกประการ

เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนางยังมีสีเดียวกัน ที่แตกต่างกันก็แค่ลายปักเท่านั้น

สตรีที่ยืนอยู่ด้านซ้ายสุด ที่ถูกเรียกว่าพี่หญิงเหมยนั้น มาในชุดสีม่วงปักลายดอกเหมยงดงาม

สตรีที่ถัดมาด้านขวาจากนางคนหนึ่ง แม้ชุดส่วมใส่จจะเป็นสีม่วง หากแต่ลายปักกลับเป็นลายกล้วยไม้เบ่งบาน แลแล้วสดชื่นสบายตานัก

สตรีคนที่สามนั้นก็มาในชดสีม่วงเช่นกันหากแต่ปักลายใบไผ่ให้ความรู้สึกสุขุมสง่า ส่วนสตรีคนที่ 4 มาในชุดสีม่วงรูปแบบดียวกันหากแต่ปักลายดอกเบญจมาศแลดูสดใสร่าเริง

ตอนนี้ทั้ง 4 ร่างจับจ้องมองไปยังดาวเคราะห์ต้นกำเนิดเบื้องหน้าไม่วางตา ราวกับเฝ้ารออะไรบางอย่าง

ในเวลาเดียวกัน

ภายในถ้ำแห่งหนึ่งบนเทือกเขาสูงชัน ของระนาบโลกียะที่เรียกว่า ระนาบรกร้างสุดไพศาล

“น้าหวู่…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”

สตรีในชุดกระโปรงขาวคนหนึ่งมองถามไปยังสตรีในชุดแดงเพลิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิกลางถ้ำด้วยสายตาเป็นกังวล

สตรีในชุดแดงเพลิงยามนี้กำลังโคจรพลังรักษาตัวอยู่ ยามไอพลังของนางลุกโชนขึ้นมาท่วมร่าง มองไปคล้ายเทพธิดาอัคคีก็ไม่ปาน มวลพลังรอบกายยังคล้ายวิหกไฟเหินบินฉวัดเฉวียนเล่นลม

ครู่ต่อมาสตรีชุดแดงเพลิงดังกล่าวก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นปาดเช็ดเลือดที่ไหลซึมออกมาบริเวณมุมปากเบาๆ ค่อยหันไปมองสตรีชุดขาวข้างกายด้วยรอยยิ้ม กล่าวพลางส่ายหัวไปมาช้าๆ “ซือหลิงไม่ต้องห่วง น้าหวู่ไม่เป็นอะไร”

“ฮึ่ม หากท่านพ่ออยู่ที่นี่ล่ะก็ ซือหลิงจะให้ท่านพ่อตีสารเลวที่กล้าทำร้ายน้าหวู่ผู้นั้นให้ตัวแตกตาย!”

สตรีในชุดขาวกำหมัดเล็กๆของนางแน่น กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

และพอกล่าวจบคำสองตาของนางก็เริ่มแดงรื้นขึ้นมาเล็กน้อย “น้าหวู่…ท่านว่าพวกเราจะได้เจอท่านพ่ออีกไหม”

“ย่อมเจอ!”

สตรีในชุดแดงเพลิงเอื้อมมือไปลูบศีรษะสตรีชุดขาวอย่างแผ่วเบา กล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสายตานางก็เริ่มพร่ามัวคล้ายมีหมอกสลัวปกคลุม

ในใจยังปรากฏร่างชายหนุ่มชุดสีม่วงอันหล่อเหลา คิ้วคมเข้มปานดาบ สองตากระจ่างใสปานดวงดารา ลักษณะท่วงท่าไม่ธรรมดาเหนือผู้ใด

นั่นเป็นบุรุษที่นางจะรักไปชั่วชีวิต ถึงแม้จะไม่ได้พบเจออีกฝ่ายยมานานหลายปีแล้ว หากแต่รักในใจที่มีให้ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนผัน

‘พี่ใหญ่ต้วน…ซือหลิงลูกสาวของท่านกับพี่หญิงเค่อเอ๋อ ช่างเหมือนท่านกับพี่หญิงเค่อเอ๋อนัก…’

ครู่ต่อมาแววตาที่พร่ามัวคล้ายเหม่อลอยไปของสตรีในชุดแดงก็หวนกลับมากระจ่างใส จับจ้องมองไปยังใบหน้ากระจ่างทั้งงดงามและน่าเอ็นดูของสตรีชุดขาว พลางกล่าวพึมพำในใจ

สตรีในชุดแดงเพลิงผู้นี้ก็คือเฟิ่งเทียนหวู่ ที่เซี่ยเจี๋ยได้ช่วยเหลือออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ

ขณะที่เผชิญหน้ากับพายุมิติ และห้วงมิติในช่องทางปั่นป่วนววุ่นวายถึงขีดสุดนั้น เฟิ่งเทียนหวู่ก็ได้เร่งพลังสุดตัวเปลี่ยนทิศทางของตัวเองเข้าไปกอดต้วนซือหลิงลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อเอาไว้ เพื่อไม่ให้นางพลัดหลงไปในห้วงมิติ สุดท้ายก็เลยมาปรากฏตัที่ระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ด้วยกัน

ระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ ก็คล้ายๆกับระนาบเซียนบ้านเกิดของนาง ไม่ใช่มหาระนาบโลกียะอย่างระนาบเหยียนหวงหรือระนาบหนามม่วง

ที่นี่ไร้ดาวเคราะห์ ไร้ดวงดาว ไร้จักรวาลอันใด

แต่เป็นธรรมดาว่าหากแหงนมองขึ้นไปบนฟ้ายังสามารถเห็นดวงดาว มีดวงตะวันให้แสงสว่าง อันเป็นภาพสะท้อนจากมหาระนาบโลกียะที่อยู่ใกล้ๆ

“น้าหวู่…หรือท่านอย่าได้ระงับพลังฝึกปรือของท่านเอาไว้อีกเลย แล้วรีบขึ้นสวรรค์ไปหาท่านพ่อเร็วๆดี?”

ทันใดนั้น ต้วนซือหลิง ลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็เม้มปากกัดฟันกล่าววออกมากับเฟิ่งเทียนหวู่

ตั้งแต่ที่เฟิ่งเทียนหวู่กับต้วนซือหลิงมาปรากฏตัวในระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ ด้วยอาศัยร่างกายที่ได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ เฟิ่งเทียนหวู่ก็พบว่าแม้จะเป็นในระนาบโลกียะที่พลังวิญญาณฟ้าดินเบาบาง แต่ด่านพลังฝึกปรือของนางก็ก้าวหน้ารวดเร็วนัก

เรียกว่าหากนางต้องการ นางยังสามารถเลือกจะทะลวงด่านพลัง และข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์ ขึ้นไปยังระนาบเทวโลกได้ตามใจชอบ

ทว่าพอคิดถึงเรื่องที่หลังจากนั้น ต้วนซือหลิงจะต้องอยู่ในระนาบรกร้างสุดไพศาลแห่งนี้ตัวคนเดียว แถมที่นี่ยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนรุนแรง นางก็กังวลใจอย่างหนักด้วยกลัวว่าซือหลิงที่อยู่คนเดียวจะไม่อาจเอาตัวรอดได้

เช่นนั้นนางจึงจงใจระงับด่านพลังของตัวเองเอาไว้ หมายรอให้ต้วนซือหลิงบ่มเพาะพลังจนสามารถทะยานขึ้นไประนาบเทวโลกพร้อมๆกันกับนาง

และเมื่อไม่นานมานี้นางกับต้วนซือหลิง ก็ไปเจอเซียนอมตะเสเพลมากราคะผู้หนึ่งโดยบังเอิญ นางจึงต่อสู้กับอีกฝ่ายจนได้รับบาดเจ็บ และหลังจากซัดทำร้ายอีกฝ่ายแล้ว นางก็ได้พาต้วนซือหลิงมาหลบซ่อนพักรักษาตัวในถ้ำแห่งนี้