WSSTH ตอนที่ 2,936 : เข้าสู่พระราชวังหลวงประเทศฝูชิว

“ซือหลิง น้าหวู่ไม่มีทางทิ้งเจ้าให้อยู่คนเดียวได้หรอก!”

เฟิ่งเทียนหวูส่ายหัวปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขันหลังได้ยินคำเสนอของต้วนซือหลิง น้ำเสียงยังหนักแน่นนัก!

เป็นธรรมดาว่ายังมีอีกประโยคหนึ่งที่เฟิ่งเทียนหวู่ไม่ได้พูดออกไป

นั่นก็คือ…

หากนางทิ้งต้วนซือหลิงให้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง แล้วหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับต้วนซือหลิงขึ้นมา วันหน้านางจะกล้าสู้หน้าพี่ใหญ่ต้วนของนางได้อย่างไร

ดังนั้นเฟิ่งเทียนหวู่ไม่มีวันปล่อยให้ต้วนซือหลิงเกิดเรื่องอะไรขึ้นเด็ดขาด เว้นเสียแต่นางจะตาย!

“ท่านน้าหวู่…”

มองไปยังเฟิ่งเทียนหวู่อีกครั้ง ดวงตาของต้วนซือหลิงก็เอ่อคลอไปด้วยน้ำตา

นอกเหนือจากลี่เฟยย เฟิ่งเทียนหวู่ และต้วนซือหลิงแล้ว คนอื่นๆที่เซี่ยเจี๋ยช่วยเหลือออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ แม้จะเจอพายุมิติจนต้องกระจัดกระจายแยกย้ายไปคนละทิศละทาง แต่ทุกคนก็ไปถึงระนาบโลกียะโดยสวัสดิภาพ

นอกจากนั้นด้วยความที่ร่างกายของแต่ละคน ได้รับการขัดเกลาชำระจากพลังวิญญาณฟ้าดินของดินแดนแห่งการล่มสลายของทวยเทพ ศักยภาพของทุกคนจึงบังเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

แม้บางคนจะไม่ได้มีรากวิญญาณสีม่วงอย่างคนใกล้ชิดต้วนหลิงเทียน หรือมีสีดำเหมือนต้วนหลิงเทียนกับต้วนซือหลิง ทว่าความเร็วในการบ่มเพาะของทุกคนก็ว่องไวปานจรวด!

กระทั่งบางคนก็ข้ามผ่านหายนะสวรรค์ไปแล้ว กำลังรอจะขึ้นสู่ระนาบเทวโลกด้วยซ้ำ!

เป็นธรรมดาว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนไม่ได้รู้อะไรเลย…

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังคงคิดว่าครอบครัวของเขานั้น ถูกกักขังอยู่ในดินแดนแห่งทวยเทพ!

เขาก็เลยกระตือรือร้นบ่มเพาะพลัง หมายยกระดับพลังให้สูงขึ้นในเวลาอันสั้น เพื่อให้ในอีกพันปีหลังจากนี้ เขาจะมีทุนรอนมากพอให้บุกไปช่วยเหลือทุกคนในดินแดนแห่งทวยเทพ

ณ แดนสวรรค์ใต้ ของหลิงหลัวเทียน

ประเทศฝูชิว เขตปกครองของคฤหาสน์เฉวียนโยว

“นายท่าน…ใกล้จะถึงเวลาแล้วขอรับ”

ด้านนอกห้องพักของโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหลวง ปรากฏชายวัยกลางคนกำลังควบแน่นเสียงเข้ากับพลังเซียนอมตะต้นกำเนิด เพื่อส่งผ่านประตูเข้าไปในห้องหับเบื้องหน้า

เมื่อถูกเสียงแฝงพลังบุกฝ่า ม่านพลังจากค่ายกลหน้าประตูเริ่มสั่นไหวกระเพื่อมไปทันใด

หลังจากนั้นไม่นานม่านพลังที่กระเพิ่มดังกล่าวก็เริ่มสลายตัว ก่อนที่ผ่านไปสักพักเสียงเปิดประตูจะดังขึ้นเบาๆ เผยให้เห็นร่างหนึ่งค่อยก้าวเดินออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน

เป็นร่างชายยหนุ่มในชุดสีม่วง อันมีลักษณะท่าทางไม่ธรรมดา เรียกว่าให้ไปยืนท่ามกลางฝูงชนก็โดดเด่นและเป็นจุดสนใจไม่น้อย

“ไปกันเถอะ”

ชายหนุ่มชุดม่วงผู้นี้ก็คือต้วนหลิงเทียน ที่ได้ปิดด่านบ่มเพาะมาตลอดทั้งเดือน หลังจากก้าวออกมาจากห้องหับแล้ว ก็หันไปมองทักชายวัยกลางคนหน้าประตูเล็กน้อย ค่อยพากันเดินออกไปจากโรงแรม

ชายวัยกลางคนที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาอย่างใกล้ชิด ก็คือหลิวก่วงหลินนั่นเอง และมันก็ได้กระทำตามคำกำชับของต้วนหลิงเทียนก่อนหน้าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

“คนเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”

พระราชวังหลวงของประเทศฝูชิวนั้น ตั้งอยู่ส่วนตะวันออกของเมืองหลวง ซึ่งกินอาณาบริเวณส่วนตะวันออกไปหมดสิ้น พอต้วนหลิงเทียนเดินมาถึงพื้นที่ใกล้เคียง มองไปก็เห็นฝูงชนอันเนืองแน่น ที่มาออกันหน้าประตูทางเข้าพระราชวัง

“ถึงแม้จักมีผู้คนมากันหนาตา แต่ผู้ที่จักเข้าไปในพระราชวังหลวงวันนี้ได้…นอกจากตัวผู้ที่ลงทะเบียนประลองแล้ว ก็มีแต่ผู้ติดตามของผู้ที่ลงทะเบียนเท่านั้น…”

หลิวก่วงหลินกล่าว “และผู้ที่ลงทะเบียนประลอง ก็สามารถนำผู้ติดตามเข้าไปได้คนเดียวขอรับ”

ต้วนหลิงเทียนได้ฟังรายละเอียดปลีกย่อยจากหลิวก่วงหลินก็พยักหน้ารับทราบเบาๆ จากนั้นก็เดินนำหลิวก่วงหลินไปยังประตูหน้าประราชวัง สุดท้ายจึงพบว่าคนที่เดินไปยังด่านตรวจหน้าทางเข้าจริงๆ ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

“นายท่าน นี่คือป้ายของท่าน”

ขณะเดียวกันกับที่ต้วนหลิงเทียนเดินมาเข้าแถวรอตรวจเข้าววังนั้นเอง หลิวก่วงหลินก็หยิบยื่นป้ายหนึ่งให้ต้วนหลิงเทียน เป็นมันได้มาหลังลงทะเบียนเข้าร่วมการประลองให้ต้วนหลิงเทียน

จากนั่นแถวก็ร่นมาถึงต้วนหลิงเทียนในเวลาอันสั้น เพียงเขายื่นป้ายให้องครักษ์ที่ตรวจตราชมดูปราดหนึ่ง ก็สามารถพาหลิวก่วงหลินเข้าสู่พระราชวังหลววงได้อย่างไร้ปัญหา

เมื่อเข้ามาในพระราชวังแล้ว ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินก็ไม่ต้องกลัวจะหลงทางแต่อย่างไร เพราะมีผู้คนที่ทำหน้าที่บอกทาง ยืนประจำตามจุด คอยบอกทางเป็นระยะๆ

“ในเมื่อแค่ลงทะเบียนประลองก็เข้ามาได้แล้ว…งั้นไม่ใช่ว่าแค่ลงทะเบียนอย่างขอไปทีก็เข้ามาดูได้แล้วไม่ใช่รึไง?”

ต้วนหลิงเทียนที่ฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็หันไปเอ่ยถามหลิวก่วงหลินที่มาลงทะเบียนประลองแทนเขา

“มิผิดนายท่าน หากแต่อย่างน้อยๆผู้ที่จะลงทะเบียนประลองจำต้องอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะเท่านั้น…หากไม่ได้อยู่ในด่านพลังยอดเซียนอมตะแต่คิดจะเข้าร่วมชมดูการประลอง ก็มีแต่ต้องไปหายอดเซียนอมตะมาอ้างชื่อลงประลองสักคน ถึงจะเข้ามาได้”

หลิวก่วงหลินกล่าวถึงจุดนี้ ก็หยุดลงเล็กน้อย ค่อยขมวดคิ้วกล่าวสืบต่อว่า “ทว่าผู้ที่ลงทะเบียนประลองนั้น จำต้องขึ้นประลองทุกคน นอกจากนั้นแม้ในการประลองสวรรค์ใต้จะมีกฏว่าห้ามสังหารผู้อื่นด้วยเจตนา…แต่หมัดเท้าดาบกระบี่ล้วนไร้นัยน์ตา ยามลงมือจริงจังก็มิใช่ว่าจะหยุดยั้งกันได้ง่ายๆ บางทีอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่คิดฝัน สุดท้ายก็อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังส่งผลกระทบต่ออนาคต…”

“เช่นนั้นแล้ว เว้นเสียแต่จะเป็นยอดเซียนอมตะที่มีพลังฝีมือพอตัว ย่อมไม่มีผู้ใดหาญกล้าลงทะเบียนประลองเด็ดขาด เพราะเมื่อขึ้นสังเวียนประลองสววรรค์ใต้ไปแล้ว มีระบุไว้ตอนลงทะเบียนว่า จำต้องประมือกับอีกฝ่ายให้รู้สูงต่ำจริงๆ มิอาจกล่าวยอมรับความพ่ายแพ้ได้ในทันที!”

“เว้นเสียแต่คู่ต่อสู้ที่พบเจอนั้นจะเป็นยอดเซียนอมตะที่มีชื่อเสียงและทรงพลังมากจนทุกคนรู้จัก เช่นนั้นถึงจะยอมแพ้ได้โดยไม่ต้องสู้…”

หลิวก่วงหลินกล่าวสืบต่อ

ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

ไม่นานภายใต้การบอกทางของคนในพระราชวังหลวง ต้วนหลิงเทียนก็พาหลิวก่วงหลินมาถึงสถานที่จัดการประลองสวรรค์ใต้ของพระราชวังหลวง

บริเวณที่จัดงานนั้น ยังอยู่ในส่วนลานด้านหน้าของพระราชวัง พื้นที่ส่วนนี้นับว่ากว้างขวางนัก มองไปก็พบสังเวียนประลองวงกลม 9 สังเวียน ตั้งอยู่ในลานอย่างไม่แออัด

อย่างไรก็ตามสังเวียนประลองวงกลมทั้ง 9 นั้นต่างจากสังเวียนประลองที่ต้วนหลิงเทียนเคยพบเจออยู่บ้าง

เพราะเหนือสังเวียนแต่ละแห่งปรากฏวงเวทย์อาคมหนึ่งสลักค้างไว้กลางหาว พุ่งยิงลำแสงลงมาปานไฟฉายสว่างจ้า เรียกว่าลานประลองทั้ง 9 ก็เกิดจากพื้นที่หน้าตัดของลำแสงที่ตกกระทบพื้นเป็นวงนั่นเอง

แน่นอนว่าพื้นที่หน้าตัดลำแสงแต่ละสายนั้นไม่ใช่เล็กๆเลย เพียงดูก็รู้ว่ามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 300 หมี่

ลำแสงที่ก่อเกิดสังเวียน 9 สังเวียน ยังมีสีสันต่างกันถึง 9 สี

นอกจากสีรุ้งพื้นฐานทั้ง 7 อันได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดงแล้ว ยังมีสีขาวกับสีเทาอีกด้วย

รวมกันจึงเป็น เวที 9 สีสัน

นอกจากนั้นทั้ง 4 ทิศรอบลานอันมีสังเวียนทั้ง 9 ตั้งอยู่ ก็ปรากฏอัฒจันทร์ใหญ่โต 4 หลังปลูกสร้างเอาไว้

อัฒจันทร์ด้านซ้ายกับขวานั้นแลดูหรูหรามีระดับไม่ธรรมดา ไม่พ้นต้องมีไว้ให้แขกคนสำคัญของประเทศฝูชิวเป็นแน่ ส่วนอัฒจันทร์ที่หรูหราที่สุด ก็คืออัฒจันทร์ฝั่งในของพระราชวัง แลดูก็รู้ว่ามีไว้สำหรับคนในตระกูลราชวงศ์ของประเทศฝูชิวหรืออาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลราชวงศ์โดยเฉพาะ

ส่วนอัฒจันทร์ด้านสุดท้ายแลดูเรียบง่ายและธรรมดาที่สุด ไม่พ้นมีไว้ให้เหล่าผู้ลงทะเบียนประลองกับผู้ติดตามเป็นแน่

ต้วนหลิงเทียนที่สังเกตเห็นหมายเลขระบุไว้แน่ชัดบริเวณที่นั่ง จึงหยิบป้ายที่พึ่งเก็บไปขึ้นมาดู ก็พบว่ามีหมายเลขระบุไว้เรียบร้อย ซึ่งพอมองเทียบกับที่นั่งบนอัฒจันทร์แล้วก็พบว่าเป็นที่นั่งหลังๆ

และในอัฒจันทร์ธรรมดาหลังนี้ พอมองไปก็พบว่ามีผู้คนนั่งอยู่กว่าครึ่ง

“ชิงจื่อ…หลังจากทะลวงถึงยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดได้แล้วเจ้ามั่นใจหรือไม่…1 ใน 9 สิทธิ์ครานี้เจ้ามั่นใจกี่ส่วน?”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนพาหลิวก่วงหลินเดินมาถึงที่นั่งของพวกเขาได้ไม่ทันไร เขาก็ได้ยินเสียงเปี่ยมกังวลหนึ่งแว่วดังมาจากด้านข้าง

พอต้วนหลิงเทียนหันไปมอง ก็พบว่าถัดออกไปจากเขาไม่กี่ที่นั่ง มีชายชราผู้หนึ่งกำลังมองถามชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างๆด้วยสีหน้ากังวล

“ตรงๆเลยก็คือไม่มั่นใจสักส่วน…อย่างไรเสียวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังที่ข้าฝึกปรือก็เป็นแค่ระดับสวรรค์เท่านั้น”

ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกหาว่าชิงจื่อ ได้แต่ส่ายหน้ากล่าวตอบอย่างทอดถอนใจ “ซ้ำร้ายแม้ข้าจะแตกฉานวรยุทธ์อมตะระดับสวรรค์แล้ว แต่มีเวทย์พลังบางสายที่ข้ายังไม่แตกฉานที ไม่รู้ว่าอาศัยเท่าที่มีจะต่อยตีชนะผู้อื่นเขาหรือไม่”

“เฮ่อ…เช่นนั้นก็คงยากเย็นแล้วจริงๆ”

ชายชราที่เอ่ยถามชายวัยกลางคนนามชิงจื่อส่ายหัวไปมาเบาๆ “ช่างเถอะ ครานี้เจ้าเพียงพยายามให้เต็มที่ก็พอ แพ้ก็แพ้ไปเถอะ ไว้รอบหน้าค่อยเอาใหม่ก็ได้”

“ข้ารู้”

ชิงจื่อพยักหน้ารับ

‘รอบหน้าเอาใหม่?’

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะผงะไปวูบหนึ่ง จากนั่นมุมปากก็เริ่มยกยิ้มแหยๆออกมาอย่างอดไม่ไหว

เพราะเท่าที่เขาทราบมา…ไม่ใช่ว่าการประลองสวรรค์ใต้นี่มันจะถูกจัดขึ้นทุกๆ ร้อยปีหรือไร?

ชายชราที่กล่าวบอกชิงจื่อผู้นั้นว่ารอบหน้าค่อยเอาใหม่ ไม่ใช่เป็นการสาปแช่งชิงจื่อผู้นั้นทางอ้อมหรอ ว่าให้ติดแหง็กอยู่ในด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดไปอีกร้อยปี?

‘เจ้าชิงจื่อผู้นั้น ทั้งๆที่ผู้อื่นกล่าวเชิงสาปแช่งให้มันติดแหง็กอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดเป็นร้อยปี ไฉนยังแลดูเห็นดีเห็นงามได้เล่า นี่มันไปโดนลาเตะหัวมารึยังไง?’

ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงกับเรื่องนี้จริงๆ

“นายท่าน มีเรื่องอันใดหรือ?”

หลิวก่วงหลินที่สังเกตเห็นสีหน้าเหรอหราคล้ายสับสนอะไรบางอย่างของต้วนหลิงเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงผ่านพลังถามไถ่ออกไป

จนเมื่อต้วนหลิงเทียนเล่าต้นสายปลายเหตุออกมา ว่าเกิดจากบทสนทนาของ 2 คนตรงนู้น หลิวก่วงหลินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาแห้งๆด้วยสีหน้าขื่นขม

“นายท่าน…ตัวท่านเป็นดั่งลูกรักสวรรค์ ไหนเลยจะเข้าใจความลำบากปุถุชนคนนธรรมดาเช่นพวกเราเล่า…ท่านที่มีพรสวรรค์อาจเห็นว่าเรื่องนี้มันน่าขบขัน แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวตนเช่นท่านที่อายุไม่ถึงร้อยปีแต่ประสบความสำเร็จได้ถึงขนาดนี้นั้น กระทั่งในเขตปกครองคฤหาสน์เฉวียนโยว ข้าว่ายังไม่พ้นเป็นชนชั้นอัจฉริยะระดับแนวหน้า! ตัวข้าเองหากมิได้ท่านช่วยเหลือวันนั้น เกรงว่าหากคิดจะทะลวงไปให้ถึงขอบเขตขุนนางอมตะ อย่างต่ำๆก็ต้องมีหลายร้อยปี!”

“เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ของข้าที่ตกตายไปวันนั้น…มันติดอยู่ในขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดมาหลายพันปี กว่าจะสามารถทะลวงจากขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดถึงขอบเขตขุนนางอมตะ 1 ต้นกำเนิดได้…”

กล่าวจบคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวก่วงหลินก็ฉายชัดถึงความขื่นขมระทมใจหนักข้อ

ต้วนหลิงเทียนพอได้ฟังคำของหลิวก่วงหลินก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมา จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่า เขาดันเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานไปเสียได้…

ถึงแม้เขาจะลดมาตรฐานลงแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลดลงไปมากมายอะไร

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิวก่วงหลินนั่งรอคอยบนอัฒจันทร์ได้พักหนึ่ง ผู้คนก็เริ่มทยอยกันขึ้นมานั่งเต็มอัฒจันทร์ฝั่งเขาเรียบร้อยแล้ว

ส่วนอัฒจันทร์เบื้องหน้าซ้ายขวานั้น ก็เริ่มมีผู้คนทยอยกันมาถึงเรื่อยๆ

“นั่นเจ้าเมืองตู้อวิ๋นนี่!”

ผ่านไปสักพัก ก็ปรากฏร่างกลุ่มคน 5 คนก้าวอาดๆเดินขึ้นไปยังอัฒจันทร์ฝั่งซ้ายมือของอัฒจันทร์ที่ต้วนหลิงเทียนนั่งอยู่

และพอกลุ่มคน 5 คนดังกล่าวนั่งลงได้ไม่ทันไร ก็มีเสียงอุทานจากอัฒจันทร์ฝั่งเขาดังขึ้น

พอเขาหันไปมองผู้ที่อุทานออกมา ก็พบว่าสายตาของมันจับจ้องไปยังร่างกลุ่มคนทั้ง 5 ที่พึ่งมาถึง

ยังมองจ้องไปยังชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีทองเข้ม ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลา หว่างคิ้วให้ความรู้สึกไม่ดุร้ายแต่ก็ไม่อ่อนแอ ยังแผ่พุ่งความน่าเกรงขามออกมาประการหนึ่ง ดูท่าว่าจะไม่ใช่ชนชั้นธรรมดาสามัญ

“เจ้าเมืองตู้อวิ๋น? หวงเหยี่ยนเฟยผู้นั้นน่ะรึ!?”

“มิผิด เป็นมัน! ข้าเคยได้รับเกียรติให้เข้าพบเจ้าเมืองหวงครั้งหนึ่ง!”

“เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟย คนดังผู้นั้นน่ะรึ? ยอดฝีมืออันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะของประเทศฝูชิว ที่กล่าวขานกันว่าพลังฝีมือเป็นรองก็แต่ตัวตนขอบเขตราชาอมตะเท่านั้น ขุนนางอมตะด้วยกันไม่แพ้พ่าย!”

เมื่อมีเสียงบทสนทนาดังระงมขึ้นมา ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจว่าไฉนทุกคนแลดูให้ความสนใจอะไรกับเจ้าเมืองตู้อวิ๋นผู้นั้นนัก

ที่แท้เจ้าเมืองตู้อวิ๋น หวงเหยี่ยนเฟยที่ว่า ไม่ใช่ยอดฝีมือขอบเขตขุนนางอมตะ 10 ทิศธรรมดาๆ แต่ยังเป็นขุนนางอมตะ 10 ทิศที่ได้รับการยอมรับจากทั้งประเทศฝูชิวว่าเป็นอันดับ 1 ใต้ขอบเขตราชาอมตะ!

ขณะเดียวกันสายตาของต้วนหลิงเทียนก็เริ่มละออกจากร่างเจ้าเมืองตู้อวิ๋นผู้โด่งดังนั่น ไปตกยังร่างอีก 4 คนที่เหลือ จึงเห็นว่าเป็นชายชรา 2 คน กับชายหนุ่ม 2 คน

เค้าโครงใบหน้าของชายหนุ่มทั้ง 2 นั้น ละม้ายคล้ายคลึงหวงเหยี่ยนเฟยอยู่บ้าง คนหนึ่งมีตากับจมูกเหมือนหวงเหยี่ยนเฟยไม่มีผิด ส่วนอีกคนรูปปากกับคางนั้น ถอดพิมพ์เดียวกับหวงเหยี่ยนเฟยมาเลยก็ว่า

“พวกเจ้าเห็นชายหนุ่ม 2 คนนั่นไหม? ทั้งคู่ใช่ลูกชายประเสริฐทั้ง 2 ของเจ้าเมืองหวงที่ร่ำรือว่าเป็นอัจฉริยะมากพรสวรรค์หรือไม่?”

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเมืองหวงมีบุตรชายทั้งสิ้น 5 คน แต่ 2 คนสุดท้องนั้นมากล้นไปด้วยพรสวรรค์ที่สุด…ทั้งคู่ล้วนอายุแค่ร้อยปีกว่าๆ แต่กลับบรรลุถึงขอบเขตยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดแล้ว!”

“อีกทั้งร่ำลือกันว่ามีคนหนึ่งแตกฉานวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางทุกสายแล้วด้วย!”

“มิผิด! ที่แตกฉานทั้งวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางทุกสายก็คือลูกชายคนที่ 4 ของเจ้าเมืองหวง หวงเจียหลง!”

……