เล่ม 1 ตอนที่ 436-2 เจ้าตุ้ยนุ้ยแผลงฤทธิ์

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 436-2 เจ้าตุ้ยนุ้ยแผลงฤทธิ์

เฉียวเวยเชื่อเขา เมื่อเขาพูดว่าจะไม่ถูกจับได้ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องไม่ถูกจับได้อย่างแน่นอน “ข้าจะออกแรงมากหน่อย ท่านจะรับไหวใช่หรือไม่ ท่านปล่อยข้าก็ได้…”

จีหมิงซิวเอ่ยขัดนาง “แค่อุ้มเจ้า ข้าจะอุ้มไม่ไหวได้อย่างไรเล่า”

เฉียวเวยยิ้ม ไม่ดื้อดึงอีก นางใช้กริชเฟิ่นเทียนฟันแผ่นหินเขียวเหนือศีรษะจนเกิดเป็นช่องที่ใหญ่พอให้จีหมิงซิวหนึ่งคนลอดผ่านไปได้ จีหมิงซิวขึ้นไปก่อน จากนั้นจึงดึงนางขึ้นไป เพื่อหลบเลี่ยงไม่ให้ถูกคนสังเกตเห็น เฉียวเวยจึงใช้ก้อนหินอุดช่องเอาไว้

จีหมิงซิวสันนิษฐานได้ถูกต้อง ที่ตรงนี้อยู่ใกล้กับกับถนนเส้นหนึ่งจริงๆ แล้วยังบังเอิญอยู่ด้านในกำแพงเมืองอีกด้วย แต่เพราะว่าด้านหน้ามีคอกม้าที่ส่งกลิ่นเหม็นฉึ่งอยู่จึงไม่มีผู้ใดเดินมาทางนี้นัก

เมื่ออ้อมคอกม้าก็มาถึงถนนนเส้นใหญ่ที่มีผู้คนหลั่งไหลไม่ขาดสาย

ตอนนี้ทั้งสองคนไม่มีกะจิตกะใจจะชื่นชมบ้านเมืองและวิถีชีวิตของคนเมืองผู พวกเขารีบตามหาโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ที่สุด โยนก้อนเงินก้อนหนึ่งให้กับเสี่ยวเอ้อร์ ให้เขาไปซื้อเสื้อผ้าแห้งสะอาดมาสองชุด

เท้าแรกของทั้งสองคนเพิ่งจะก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยม เท้าหลังของแม่ทัพเสิ่นก็พาคณะเดินทางของชางจิวเดินผ่านประตูโรงเตี๊ยมไปอย่างเอิกเกริกพอดี

แม่ทัพเสิ่นผู้อยู่บนถนนเลื่อนสายตาไปจับรถม้าสามคันด้านหลังเป็นระยะ ทุกครั้งที่เขามองไปที่รถม้าคันที่สาม เขาล้วนรู้สึกเส้นขนลุกชัน

ชางจิวบังคับม้าก้าวเดินอยู่ด้านข้างเขาโดยไม่เหลือบแลมองด้านข้างทั้งสิ้น ราวกับไม่รับรู้ว่าแม่ทัพเสิ่นกำลังลอบมองประเมินอยู่

แม่ทัพเสิ่นอ้าปากอยากจะถามบางสิ่ง แต่ในที่สุดก็อดกลั้นไว้

หลังจากนั้นเกือบครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินทางมาถึงศาลาพักม้าแห่งหนึ่ง

แม่ทัพเสิ่นบอกกับชางจิวว่า “เชิญแขกผู้สูงศักดิ์พักรอที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะไปรายงานที่จวนเจ้าเมืองก่อนสักคำ หลังจากนั้นค่อยส่งคนเดินทางมาต้อนรับขบวนเสด็จของฮองเฮา”

ชางจิวค้อมกายเล็กน้อยตอบว่า “รบกวนแม่ทัพเสิ่นแล้ว”

แม่ทัพเสิ่นจึงบังคับม้าจากไป

ศาลาพักม้าแห่งนี้เป็นศาลาพักม้าของทางการ ยามปกติไม่มีผู้ใดพักอาศัย เจ้าพนักงานประจำศาลาพักม้าทั้งหลายนำทางไปยังห้องที่ดีที่สุดของศาลาพักม้า เจ้าพนักงานอยากจะอยู่ช่วยเหลือดูแลต่อ แต่ถูกชางจิวปฏิเสธ

ชางจิวเดินตามฮองเฮาเข้าไปในห้อง

หลังจากประตูปิดลง ฮองเฮาก็ปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้วจิบน้ำชาหนึ่งคำด้วยท่าทางเฉยชา “เตรียมของไว้พร้อมแล้วหรือยัง”

ชางจิวพยักหน้า ตอบว่า “เตรียมไว้เรียบร้อยแล้วขอรับ ผลสองภพหนึ่งหีบ ผลึกวารีสวรรค์หนึ่งคู่ น้ำอมฤตสองขวดกับเงินห้าพันตำลึง”

เงินนั่นรวบรวมมาได้ไม่ใช่ของหายากอะไร แต่สามสิ่งที่เหลือมีที่มาอยู่บ้าง ผลึกวารีสวรรค์เป็นหินแร่ชนิดหนึ่งที่มีเฉพาะในเยี่ยหลัว มันมีหน้าตางดงามและแข็งแกร่ง น้ำอมฤตเป็นยาวิเศษสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ ถูกขนานนามว่าเป็นผลสองภพแห่งเผ่าเยี่ยหลัว หนึ่งหยดมีค่าเท่าทองร้อยชั่ง นับว่าเป็นสิ่งที่ในระยะร้อยลี้ก็อาจจะหาไม่ได้สักชิ้น ส่วนผลสองภพยิ่งไม่ต้องพูดถึง สรรพคุณของมันยิ่งไม่ใช่สิ่งที่ผลึกวารีสวรรค์กับน้ำอมฤตจะเทียบได้

“นายท่าน จะมอบผลสองภพหนึ่งหีบให้จริงๆ หรือขอรับ” ชางจิวถามอย่างปวดใจ

แม้ผลึกวารีสวรรค์กับน้ำอมฤตจะเป็นของล้ำค่า แต่ล้วนเป็นของที่หาได้ในเยี่ยหลัว ทว่าผลสองภพต่างออกไป นอกจากที่ชนเผ่าลึกลับก็ไม่มีสถานที่ใดหาผลสองภพได้อีกแล้ว ผลไม้หนึ่งหีบนี้เป็นของที่เฮ่อหลันชิงเพิ่งจะนำมาจากชนเผ่าลึกลับไม่นาน ทั้งหมดมีจำนวนอยู่ไม่เท่าไร แต่นางก็มอบให้เฉียวเวยจนหมด

เฉียวเวยใช้สองผลไปรักษาอาการบาดเจ็บให้ยิ่นอ๋องกับอาจารย์ตาฮั่วจึงเหลือยี่สิบผล แล้วในยี่สิบผลนี้ ฮองเฮาก็เอาสองผลไปมอบให้คนผู้นั้นบนรถม้าแล้ว…

ใจเห็นแก่ตัวของชางจิวหวังว่าตนเองจะได้รับแบ่งผลสองภพมาบ้างสักผลสองผล

ฮองเฮามองความปรารถนาเล็กๆ ในใจของเขาออกอย่างชัดเจน นางแค่นเสียงดังเหอะออกมาคำหนึ่งแล้วว่า “รอวันหน้ายึดชนเผ่าลึกลับมาได้แล้ว เจ้าจะต้องการผลไม้กี่ผลก็ย่อมได้ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ”

“นายท่านพูดถูกที่สุด” ชางจิวก้มหน้าตอบ

ฮองเฮาตอบเรียบเฉย “อีกอย่างเจ้าคิดว่าเจ้าเมืองผูโน้มน้าวง่ายปานนั้นเชียวหรือ เจ้าจงดีใจเสียเถิดที่เขาไม่ลงรอยกับราชสำนัก มิเช่นนั้นไม่ต้องพูดถึงผลไม้สิบกว่าผลเลย ต่อให้หนึ่งร้อยผล ก็ไม่แน่ว่าเขาจะยอมหวั่นไหว”

บนโลกใบนี้ยังมีผู้ใดไม่หวั่นไหวกับผลสองภพด้วยหรือ

ชางจิวลอบสงสัยในใจ

ฮองเฮาจิบน้ำชาเงียบๆ หนึ่งคำ “คนผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้าง”

ชางจิวมองผ่านช่องประตูไปยังรถม้าคันที่สามที่จอดอยู่ในลาน แล้วตอบเสียงเบาว่า “เขาใกล้แล้วขอรับ นับจากวันนี้เป็นต้นไปเพิ่มปริมาณยาอีกหนึ่งเท่า ไม่เกินหนึ่งเดือนก็จะมีราชันอสูรคนใหม่”

ริมฝีปากของฮองเฮาเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่คล้ายมีแต่ก็เหมือนไม่มีอย่างช้าๆ “คุณสมบัติเป็นเช่นไร”

ชางจิวตอบว่า “แข็งแกร่งกว่าคนก่อนมาก”

ราชันอสูรคนก่อนนับว่าเป็นอัจฉริยะด้านวรยุทธ์ที่ในระยะหมื่นลี้จะหาได้สักคน ดังนั้นเขาถึงโดดเด่นขึ้นมาจากนักรบมรณะมากมายจนกลายเป็นราชันอสูรที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาในรอบร้อยปีของเยี่ยหลัว แต่พลังของนักรบมรณะคนนี้เห็นชัดว่าเหนือกว่าคนผู้นั้น หากบอกว่าคนก่อนเป็นได้เพียงราชันอสูรระดับต้น ถ้าเช่นนั้นหลังจากเขาคนนี้เลื่อนระดับ อย่างน้อยเขาก็จะบรรลุถึงระดับสามขึ้นไป

ต้องรู้ว่าแม้แต่บรรพบุรุษของราชครูเองก็เคยฝึกราชันอสูรออกได้ถึงระดับสองเท่านั้น หลังจากบรรพบุรุษของราชครู เผ่าเยี่ยหลัวก็ไม่มีผู้ใดฝึกราชันอสูรที่แข็งแกร่งเช่นนั้นออกมาได้อีก

ระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา ถึงขั้นไม่มีราชันอสูรปรากฏตัวให้เห็นเลยด้วยซ้ำ

ชางจิวคำนับแบบเยี่ยหลัว “ข้าน้อยขอแสดงความยินดีกับนายท่านล่วงหน้า ณ ที่นี้”

ฮองเฮาวางถ้วยลงแล้วบอกว่า “ถ้อยคำแสดงความยินดีไว้ถึงเวลาแล้วค่อยพูดเถิด ก่อนอื่นไปตรวจนับของสักหน่อย คนของจวนเจ้าเมืองคงใกล้มาถึงแล้ว”

“ขอรับ”

ชางจิวเพิ่งหมุนตัวหันหลังให้ก็ถูกฮองเฮาเรียกไว้อีก “เจ้าเมืองผูไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ เหมือนที่เห็นภายนอก อย่าประมาทล่วงเกินเขา”

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”

ชางจิวกล่าวจบก็ก้าวเท้าออกจากห้อง ให้คนขนของบนรถม้าไปที่ห้องเก็บของชั่วคราว จากนั้นส่งคนมาเฝ้าโดยเฉพาะ ส่วนตนเองแวะเข้าไปในเมืองสอดส่องสถานการณ์ล่าสุดในเมืองผู

หลังจากที่ชางจิวเดินออกไปได้ไม่นานประตูห้องที่ปิดสนิทบานหนึ่งก็เปิดออกดังแกรก ศีรษะน้อยๆ กลมดิกศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านใน บนศีรษะน้อยนั้นมีดวงตาคู่โตดำขลับเป็นประกายมองออกมาอย่างลับๆ ล่อๆ เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังยุ่งกับงานของตนเอง ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นนาง นางจึงเบียดร่างกายเล็กจ้อยที่อ้วนตุ้ยนุ้ยออกมาจากช่องว่างระหว่างประตู

ช่องประตูเล็กเกินไปแล้วจริงๆ นางเบียดออกมาลำบากยิ่งนัก!

พี่ชายหลับอยู่ พี่ฟู่ก็ไปห้องน้ำ นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดพี่ฟู่ถึงต้องฉิ้งฉ่องบ่อยขนาดนั้น!

ท้องของนางหิวมากๆ แต่ไม่มีใครทำอาหารให้นางกินเลย

ก็ได้ ความจริงพวกเขาทำแล้ว แต่นางกินไม่อิ่มนี่นา!

นางผอมหมดแล้วเนี่ย!

วั่งซูตัวน้อยผู้อ้วนขึ้นสองชั่งคิดอย่างปวดใจยิ่งนัก

เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้กำลังปวดใจเริ่มตระเวนไปรอบด้านเพื่อตามหาของกิน

“หมีกู่!” (ภาษาเยี่ยหลัวแปลว่า มาทางนี้หน่อย)

องครักษ์ที่เฝ้าห้องเก็บของถูกพรรคพวกเรียกออกไป

วั่งซูแอบเข้ามาในห้อง นางได้กลิ่นหอมรวยรินชวนให้คนเพลิดเพลินใจสายหนึ่งลอยมาเป็นอย่างแรก นางกระพือปีกจมูกน้อยๆ ของตนเอง สูดดมแล้วสูดดมอีกในที่สุดก็ดมกลิ่นตามมาจนถึงหีบใบใหญ่ใบหนึ่ง

หีบใบใหญ่ใบนั้นใส่แม่กุญแจไว้ แต่แม่กุญแจเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรเมื่อต้องเจอกับนาง

มืออ้วนป้อมบิดทีเดียว มันก็หลุดออกมา

วั่งซูเปิดหีบออก แล้วก็พบผลไม้เนื้อขาวอวบอ้วนหนึ่งร้อยลูก (สิบแปดลูก) นอนแอ้งแม้งอยู่ด้านใน!

นี่มันผลไม้น้อยรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ที่นางเคยกินไม่ใช่หรอกหรือ

วั่งซูน้ำลายไหลยืดหยดลงมาแหมะๆ นางหยิบผลไม้น้อยลูกหนึ่งขึ้นมางับคำโต

ผลไม้น้อยสิบกว่าลูกนี่จะพอให้นางกินเสียที่ไหน นางกัดหงุบหงับกินจนหมด

นางกินหมดแล้วก็โยนแกนผลไม้กลับเข้าไปข้างในด้วยความเคยชิน

กินผลไม้เสร็จแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่พอ นางได้กลิ่นหอมหวนที่แตกต่างออกไปอีกกลิ่นหนึ่ง นางเปิดหีบอีกหนึ่งใบ ด้านในมีขวดที่ทำจากหยกวางอยู่สองใบ นางดึงจุกขวดออก กลิ่นหอมหวานอ่อนๆ โชยเข้ามาในจมูก

นางอุ้มขวดขึ้นมาจากนั้นแนบริมฝีปากน้อยสีแดงระเรื่อเข้ากับปากขวดแล้วกระดกดื่มอึ้กๆ

น้ำอมฤตสองขวดถูกดื่มจนหมดในชั่วพริบตา

นางลูบท้องกลมป่องของตนเอง อืม ในที่สุดก็อิ่มเก้าส่วนแล้ว

เจ้าตุ้ยนุ้ยวางขวดกลับลงไป จากนั้นก็ใส่แม่กุญแจกลับไปที่เดิม ก่อนจะเดินเมามายออกไปจากประตูห้อง

ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น แม่ทัพเสิ่นก็พาพ่อบ้านจากจวนเจ้าเมืองมาเยือน

พ่อบ้านคารวะฮองเฮาอย่างนอบน้อม หลังจากนั้นจึงนำคณะของฮองเฮารวมถึงของขวัญชิ้นใหญ่ที่ฮองเฮาเตรียมไว้ให้เจ้าเมืองผูกลับไปที่จวนด้วยความยินดีปรีดา!