ตอนที่ 437-1 นี่มันพวกสวะนักต้มตุ๋นนี่นา
เมืองผูเป็นเมืองที่ดีแห่งหนึ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนปลูกต้นท้อไว้เต็มไปหมด แม้แต่บนถนนใหญ่ที่มีรถม้าแล่นผ่านไปมา ทอดสายตามองไปก็ยังมองเห็นป่าต้นท้อสุดสายตา
หากเดินทางมาทันช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ทั่วทั้งเมืองจะงดงามราวกับวังสวรรค์
น่าเสียดายยามนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง นอกจากกิ่งโล่งเตียนก็ไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว
เฉียวเวยทราบประวัติความเป็นมาของป่าต้นท้อทั่วเมืองผูจากปากของจีหมิงซิว เมืองผูแต่เดิมเคยเป็นชนเผ่าเล็กๆ แห่งหนึ่งใต้อาณัติของเผ่าซยงหนีว์ที่หันมาเข้ากับต้าเหลียง ชนเผ่าเล็กๆ แห่งนี้นับถือควาฟู่[1] พวกเขานับถือควาฟู่เป็นเทพของพวกเขา แล้วคิดว่าพวกเขาเป็นทายาทของควาฟู่
ควาฟู่ไล่ตามดวงตะวัน กระหายน้ำจนขาดใจตาย ไม้เท้าที่หล่นตกข้างกายกลายเป็นผืนป่าเติ้งหลิน
ป่าเติ้งหลินที่ว่านี้ก็คือป่าท้อที่ผู้คนบนโลกเห็นนั่นเอง
เมืองผูมีผู้คนที่เดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ผ่านทางไม่น้อย ชาวเมืองดั้งเดิมแทบทั้งหมดของเมืองแห่งนี้ล้วนเข้าใจทั้งภาษาฮั่นกับภาษาซยงหนีว์ เฉียวเวยกับจีหมิงซิวรูปโฉมงดงามมาก กิริยาท่าทางก็ดีเกินไป ยามเดินอยู่บนถนนจึงสะดุดตาเหลือจะกล่าว โชคยังดีที่จีหมิงซิวพูดภาษาซยงหนีว์ได้คล่องแคล่วจึงจัดการไล่ทหารที่เข้ามาสอบถามพวกนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด
“ท่านพูดภาษาซยงหนีว์ได้ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน” เมื่อก่อนไม่เห็นจะเคยรู้!
จีหมิงซิวตบหัวไหล่ของเฉียวเวยเบาๆ ริมฝีปากยกยิ้มอ่อนโยนสุขุมแต่น่าหมั่นไส้อยู่ไม่น้อย “พรสวรรค์ ช่วยไม่ได้จริงๆ”
เฉียวเวยอยากตีเขา!
เฉียวเวยจำเป็นต้องยกนิ้วโป้งให้พรสวรรค์ในด้านภาษาของจีหมิงซิวด้วยความนับถืออย่างแท้จริง ไม่ว่าเขาไปเยือนที่ใดก็เลียนแบบสำเนียงของท้องที่นั้นได้ ตัวอย่างเช่นภาษาซยงหนีว์ของเมืองผูกับภาษาซยงหนีว์แท้ๆ ที่องค์ชายรองพูดไม่ค่อยเหมือนกันนัก ทว่าแม้แต่ความแตกต่างเล็กน้อยนั่นเขาก็ยังจับจุดได้อย่างแม่นยำไม่พลาดสักนิด เพราะแบบนี้ถึงหลอกคนแล้วผ่านด่านมาได้อย่างปลอดภัย
ดีเลวเมื่อชาติก่อนเฉียวเวยก็เป็นเด็กเนิร์ดคนหนึ่ง ถึงเธอจะเป็นนักเรียนสายวิทย์ แต่เธอก็สอบวัดระดับภาษาอังกฤษระดับหกมาแล้ว เคยสอบเข้าเรียนปริญญาโทมาแล้วด้วย!
แต่…หากจะให้เธอสนทนากับคนต่างชาติ…ลิ้นของเธอเหมือนจะผูกเป็นปม…สำเนียงที่พูดออกมาทำให้ใบหูที่ตั้งท้องอยู่ของตนเองแท้งได้ในพริบตา!
“มั่วซี่ผี่ไล่!”คุณป้าคนหนึ่งหิ้วตะกร้าสองใบเดินเข้ามา บนตะกร้ามีผ้าปิดอยู่ ไม่รู้ว่าด้านในใส่สิ่งใดไว้
จีหมิงซิวตอบอย่างมีมารยาท “เอินมั่ว”
คุณป้าแค่นเสียงดังเหอะแล้วเดินจากไป
เฉียวเวยถามเสียงเบา “พวกท่านคุยอะไรกัน”
จีหมิงซิวตอบว่า “นางอยากให้ข้าซื้อของ ข้าบอกว่าไม่ซื้อ” ด้านในตะกร้าใบนั้นดูแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของดีอะไร ตั้งใจมาหลอกคนต่างถิ่นโดยเฉพาะ ทว่าพอเขาเปิดปาก ท่านป้าก็ทราบแล้วว่าตนเองเล็งเป้าหมายผิด ดังนั้นจึงเดินจากไปอย่างว่าง่าย
เฉียวเวยไม่ทราบเรื่องนี้ นางเพียงทึ่งกับสำเนียงการพูดอันลื่นไหลของเขาเท่านั้น “ภาษาซยงหนีว์อีกแล้วหรือ”
“ภาษาเมืองผู”
ภาษาเมืองผูก็พูดได้ด้วย…
นางยังจะพูดอะไรได้อีก
โชคยังดีที่เฉียวเวยยังจำลูกน้อยที่ตนเองต้องตามหาได้ นางไม่มีอารมณจะไปทอดถอนใจกับระดับไอคิวของตนเองที่ถูกบดขยี้อย่างโหดร้ายจนแทบทนมองไม่ได้ นางมองถนนที่มีรถม้าแล่นผ่านไปมาเป็นสาย แล้วถามเสียงเบาว่า “ท่านว่าพวกเขาเข้าเมืองมาแล้วหรือยัง”
จีหมิงซิวลูบศีรษะของนางแล้ววิเคราะห์ว่า “พวกเขาจะเข้าไปในดินแดนซยงหนีว์ย่อมมีเพียงสามเส้นทาง ไม่เดินทางผ่านเมืองเหลียวกับเมืองหยวนอันก็ต้องผ่านเมืองผู หากพวกเขายังมาไม่ถึงก็คงอยู่ระหว่างทาง ไม่ว่าทางใดสุดท้ายพวกเขาก็จะต้องไปยังสถานที่แห่งหนึ่งอย่างแน่นอน”
“สถานที่ใด” เฉียวเวยถาม
จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “จวนเจ้าเมือง”
“ท่านรู้ได้อย่างไร” เฉียวเวยสงสัยขึ้นไปอีก
จีหมิงซิวมองท้องของนางแวบหนึ่ง ในดวงตามีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏขึ้นมา
เฉียวเวยเหมือนเห็นตัวอักษรห้าตัวผุดขึ้นมาในดวงตาของเขา…ท้องหนึ่งหนโง่สามปี
ในใจของเฉียวเวยหัวเราะเหอะๆ รอก่อนเถอะ รอหัวหน้าพรรคคนนี้ว่างก่อนแล้วท่านจะได้ลิ้มรสชาติของการถูกตบหน้าเองบ้าง!
แน่นอนว่าสุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าผู้ใดจะเป็นคนถูกตบหน้ากันแน่
จีหมิงซิวอธิบายอย่างอดทน “เมืองหยวนอันเป็นเมืองหน้าด่านที่คณะทูตจากต่างแดนต้องผ่าน ทว่าการเดินทางผ่านเมืองผูไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ นอกเสียจากว่าเจ้าเมืองผูจะยินยอมแบกรับความเสี่ยงนี้ เช่นนั้นพวกเขาย่อมต้องจ่ายค่าแลกเปลี่ยนสักเล็กน้อยไม่ใช่หรือ”
หากสิ่งที่แลกเปลี่ยนมีค่ามากพอ เจ้าเมืองถึงจะยอมปล่อยให้ผ่านไป หากสิ่งแลกเปลี่ยนไม่มากพอ…เจ้าเมืองก็จะขูดรีดจนกว่าจะพอ
สรุปก็คือเจ้าเมืองไม่ยอมถูกราชสำนักใช้ประโยชน์ แต่ก็ไม่คิดจะขายชีวิตให้คนเยี่ยหลัวโดยไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลยเช่นกัน
…
ครึ่งชั่วยามให้หลัง พ่อบ้านที่มานำทางให้ขบวนร่วมกับแม่ทัพเสิ่นก็นำคณะของคนเยี่ยหลัวเข้ามาในป่าท้อผืนใหญที่สุดในเมืองผู หลังจากเดินตัดผ่านป่าท้อผืนนี้ก็จะถึงจวนเจ้าเมือง
บนรถม้าคันตรงกลาง ฟู่เสวี่ยเยียนนั่งอยู่ข้างเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนอย่างนิ่งสงบ การเดินทางผ่านเมืองผูเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเกรงว่าจะเกิดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นอะไรเข้า ทั้งสองคนจึงถูกรมเครื่องหอมนิทรา เครื่องหอมชนิดนี้ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย แต่จะทำให้คนง่วงนอนอย่างไม่อาจฝืนได้ แต่นางรู้ดีว่าปริมาณเท่านี้ไม่มีผลต่อเจ้าตุ้ยนุ้ยตัวน้อยสักนิด
[1]ควาฟู่ หนึ่งในบุคคลในตำนานโบราณ เขาต้องการไล่ตามดวงตะวันเพื่อค้นหาวายามค่ำคืนดวงตะวันไปหลบเร้นอยู่ที่ใด เพราะหวังว่าหากเขาตามหาที่ซ่อนของดวงตะวันพบ เขาจะจับดวงตะวันมาไว้กลางท้องฟ้า ให้มนุษย์มีแต่กลางวันอันสว่างไสวไม่มีค่ำคืนอันมืดมิด แต่หลังจากเขาไล่ตามดวงตะวันจากตะวันออกไปตะวันตกสองพันลี้ ตอนที่เขากำลังจะเอื้อมคว้าดวงตะวันได้นั่นเองเขาก็คอแห้งกระหายน้ำมาก จนแม้แต่แม่น้ำสองสายก็ยังไม่อาจดับกระหาย เขาพยายามไปตามหาแหล่งน้ำอื่น แต่สุดท้ายก็กระหายน้ำจนขาดใจตายเสียก่อน ไม้เท้าที่เขาพกติดตัวร่วงหล่นอยู่ด้านข้างกลายเป็นป่าท้อ