ตอนที่ 438-1 จิ่งอวิ๋นน้อยผู้ชาญฉลาด (1)
ตอนแรกใต้เท้าเจ้าเมืองคิดว่าคนเยี่ยหลัวเอาแกนผลไม้มาหลอกเขา แต่เมื่อเขาเห็นขวดที่ว่างเปล่าสองใบนั้นก็ตระหนักได้แล้วว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นที่ตนเองคิด หากคิดจะหลอกลวงเขา บรรจุของอะไรมาสักหน่อยย่อมดีกว่า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่เคยเห็นน้ำอมฤตของจริง แต่การส่งขวดเปล่ามาสองใบ บ่งชัดว่านี่ไม่อยู่ในแผนการของคนเยี่ยหลัว
อาการตกใจและความตระหนกลนลานของคนเยี่ยหลัวมิใช่สิ่งที่เสแสร้งออกมา แต่นั่นแล้วอย่างไรเล่า
เขาไม่สนใจหรอกว่าระหว่างกระบวนการจะยากเย็นเพียงใด เขาสนใจแต่ผลลัพธ์ และผลลัพธ์ก็คือผลสองภพกับน้ำอมฤตที่แต่เดิมควรจะได้มาไว้ในมือกลับติดปีกบินหายไปแล้ว
ผลึกวารีสวรรค์แต่เดิมเป็นของขวัญที่เอามาเสริมเพิ่มเท่านั้น แต่ตอนนี้แม้แต่ของขวัญชิ้นหลักก็ไม่มีแล้ว ของขวัญเสริมชิ้นนี้ยังจะมีประโยชน์อันใด เอาไปทำสิ่งใดได้อีก
ใต้เท้าเจ้าเมืองโกรธมาก ไม่ว่าอีกฝั่งจะอธิบายเช่นไรเขาก็ไม่ฟัง ล้อเล่นอะไรกัน เขาเป็นเจ้าเมือง ไม่ใช่คนทำบุญทำทาน ต้องสนใจว่าเจ้าเผลอเลินเล่ออะไรด้วยหรือ
“แม่ทัพเสิ่น ส่งแขก!”
ใต้เท้าเจ้าเมืองออกคำสั่งไล่แขกอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ตอนนั้นเององครักษ์คนหนึ่งก็เดินเข้ามารายงานเสียงเบาริมหูชางจิวหลายประโยค ชางจิวกล่าวกับฮองเฮาว่า “ค้นพบร่องรอยของจีหมิงซิวกับเฉียวซื่อ พวกเขาเข้าเมืองมาแล้ว พวกเราต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด”
ฮองเฮายกมือขึ้นโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย นางมองไปยังใต้เท้าเจ้าเมืองแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าเจ้าเมืองต้องการสิ่งใดจึงจะยอมปล่อยพวกเราออกจากเมือง เชิญเสนอมาเถิด ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้ามอบให้ได้ ข้าย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียวอย่างแน่นอน”
ใต้เท้าเจ้าเมืองเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้านพลางลูบคาง ดวงตาทอประกายคมกริบ
แม่ทัพเสิ่นก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วกระซิบอะไรบางอย่างเสียงเบา ใต้เท้าเจ้าเมืองยกมุมปากขึ้น “ผู้ใดนั่งอยู่บนรถม้า”
ชางจิวหน้าถอดสีในพริบตา!
สีหน้าของฮองเฮาไม่เปลี่ยนไปมากมายนัก นางเอ่ยตอบอย่างนิ่งสงบและเยือกเย็น “ทูตจากเยี่ยหลัวติดโรคฝีดาษมา เกรงว่าจะแพร่ติดต่อไปยังใต้เท้าเจ้าเมืองจึงไม่ให้เขาลงจากรถ”
“จริงหรือ” ใต้เท้าเจ้าเมืองมองฮองเฮาอย่างไร้เจตนาดี
โบราณกล่าวไว้ดีนัก แม้แต่มังกรร้ายก็มิอาจข่มงูเจ้าถิ่น หากอยู่ที่เยี่ยหลัว เจ้าเมืองตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่งย่อมไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา ทว่าเมื่อเข้ามาในอาณาเขตของผู้อื่น เบื้องหน้ามีมังกรเบื้องหลังมีพยัคฆ์ หากไม่ข่มกลั้นกับเรื่องเล็กน้อยก็อาจจะเสียการใหญ่
ฮองเฮาเอ่ยตอบอย่างไม่รีบร้อน “หากใต้เท้าเจ้าเมืองไม่กลัวติดโรค จะไปดูด้วยตาตนเองก็ย่อมได้”
เจ้าเมืองจะหลอกได้ง่ายดายปานนั้นเสียที่ไหน เขาหัวเราะหยันตอบว่า “ฝีดาษนับเป็นอะไรกัน ที่เมืองแห่งนี้ของข้ามีหมอที่รักษาฝีดาษได้อยู่ ท่านทิ้งเขาไว้ ข้าจะปล่อยท่านผ่านด่านไป”
ใบหน้าของชางจิวปรากฎจิตสังหารเลือนรางออกมาทันควัน!
แม่ทัพเสิ่นสังเกตเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปรอบตัวเขาได้อย่างฉับไว แววตาจึงเย็นยะเยือก มือวางลงบนกระบี่ชั้นดีข้างเอว
ฮองเฮากุมแขนเสื้อกว้างเบาๆ จากนั้นคลี่ยิ้มอ่อนโยนบอกว่า “คนผู้นี้เป็นขุนนางคนสำคัญของฝั่งเยี่ยหลัวของพวกเรา เกรงว่าคงจะมอบให้ไม่ได้ ไม่ทราบว่าเจ้าเมืองเคยได้ยินเกี่ยวกับนักรบมรณะของเยี่ยหลัวหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าเมืองตอบว่า “นักรบมรณะของเยี่ยหลัวทำให้ผู้กล้าทั่วหล้าสดับนามพลันขวัญหาย”
“ถ้าเช่นนั้นแม่ทัพเสิ่นเล่า” จู่ๆ ฮองเฮาก็หันไปมองแม่ทัพเสิ่นที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าหวาดกลัวนักรบมรณะของเยี่ยหลัวด้วยหรือไม่”
แม่ทัพเสิ่นแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน “ข้าผู้เป็นแม่ทัพจะหวาดกลัวสิ่งที่เป็นคนก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิงพวกนั้นได้อย่างไรกัน”
“ท่านแม่ทัพยินดีจะลองสักหนหรือไม่ หากท่านแม่ทัพชนะ คนบนรถม้าก็เป็นของพวกท่าน แต่หากท่านแม่ทัพแพ้…” กล่าวถึงตรงนี้ ฮองเฮาก็ยิ้มเรียบๆ “แพ้แล้วค่อยว่ากันเถิด”
ใต้เท้าเจ้าเมืองตกปากรับคำแล้วส่งแม่ทัพเสิ่นออกศึก เยี่ยหลัวส่งนักรบมรณะผู้ถือดาบยาวคนหนึ่งออกมา ทั้งสองคนประมือกันในลานด้านนอกห้องโถงรับรอง แม่ทัพเสิ่นทราบดีว่าอีกฝ่ายใช่ว่าจะจัดการได้ง่ายๆ ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้นเขาจึงไม่ให้ช่องว่างอีกฝ่ายหยั่งเชิงหรือพักหายใจแม้แต่น้อย เปิดฉากเขาก็ใช้กระบวนท่าสังหารทันที!
นักรบมรณะดาบยาวกลับไม่ขยับ ในตอนที่กระบี่ชั้นเลิศของแม่ทัพเสิ่นกำลังจะฟันลงกลางหว่างคิ้วของมันนั่นเอง นักรบมรณะดาบยาวก็ยกมือขึ้นจับกระบี่ของเขาเอาไว้ เขาอยากชักกระบี่กลับ แต่น่าเสียดายมันถูกจับไว้จนไม่อาจกระดิกได้สักนิด นักรบมรณะดาบยาวเงื้อฝ่ามือขึ้นตบหนึ่งฉาด เขากระเด็นลอยออกไปทั้งตัว
ใต้เท้าเจ้าเมืองสะบัดแขนเสื้อกว้าง ส่งกำลังภายในไปรับร่างของเขา ไม่เช่นนั้นเขาคงกระแทกกำแพง กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งอย่างแน่นอน
ฮองเฮาเชิดคางวางมาดสูงส่งหันไปมองใต้เท้าเจ้าเมือง “นักรบมรณะเช่นนี้ เจ้าเมืองชอบใจหรือไม่”
ดวงตาของเจ้าเมืองฉายแววครุ่นคิด
ฮองเฮาเสนอขึ้นมาว่า “ข้าจะมอบให้เจ้าเมืองสี่คน เจ้าเมืองคิดเห็นเช่นไร”
“สิบห้าคน” ใต้เท้าเจ้าเมืองต่อรอง
ฮองเฮาตอบเรียบๆ “ข้ามีอยู่ทั้งหมดสิบหกคน เจ้าเมืองจะเอาไปสิบห้าคน ไม่คิดว่ามากเกินไปหน่อยหรือ”
“ถ้าเช่นนั้นก็สิบคน” ใต้เท้าเจ้าเมืองคลี่ยิ้ม
ฮองเฮายิ้มเย็นชา “แปดคน หากเจ้าเมืองยังไม่พอใจ ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องบุกฝ่าออกจากเมืองแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าเมืองก้าวออกมาข้างหน้าหลายก้าวจนมาหยุดอยู่เบื้องหน้าฮองเฮา เขาจ้องนางนิ่งๆ คล้ายอมยิ้มแต่ก็คล้ายข่มขู่ “ข้ายอมรับว่านักรบมรณะของท่านร้ายกจ แต่ท่านคิดว่าพวกเขาจะต่อกรกับทหารนับพันอาชานับหมื่นได้หรือ”
ฮองเฮายิ้มอย่างดูแคลน “ในลานนี่มีทหารนับพันอาชานับหมื่นด้วยหรือ ข้าออกคำสั่งคำเดียว ด้วยพลังของนักรบมรณะ เจ้าเมืองจะรอจนกว่าทหารกองหนุนจะมาถึงได้หรือ กำลังภายในของเจ้าเมืองล้ำลึกเพียงพอปกป้องตนเองก็จริง แต่คุณชายน้อยทั้งสามคนเล่า”
เด็กหนุ่มสามคนชักกระบี่ชั้นเลิศออกมาในพริบตา!
ใต้เท้าเจ้าเมืองกดมือลงเบาๆ สายตาเย็นยะเยือกหันไปมองฮองเฮา ไม่ทราบว่าจ้องอยู่นานเท่าใด จู่ๆ เขาก็แค่นเสียงขึ้นจมูก หัวเราะออกมา “ฮองเฮาเป็นคนฉลาด ข้าชอบคบหากับคนฉลาดเป็นที่สุด แปดคนก็แปดคน ตกลง!”
แม่ทัพเสิ่นขยับเข้ามาชิดริมหูเขาแล้วว่า “ท่านเจ้าเมือง พวกเขาก็แค่แสร้งขู่เท่านั้น อีกประเดี๋ยวสู้กันจริงๆ ขึ้นมา ให้องครักษ์คุ้มกันพวกคุณชายไปยังห้องลับก่อน พวกเราต้องต้านไว้จนกองทัพใหญ่เร่งมาถึงได้แน่ ถึงตอนนั้นก็สังหารพวกเขาให้ไม่เหลือสักคนได้แล้ว!”
ใต้เท้าเจ้าเมืองเอ็ดเสียงเบา “สังหาร เจ้าก็รู้จักแต่สังหาร สังหารพวกเขาจนหมดแล้วข้าเจ้าเมืองคนนี้ได้ประโยชน์อะไร”
หากเจรจายังได้นักรบมรณะมาแปดคน แต่หากสะบั้นสัมพันธ์จะไม่ได้แม้แต่คนเดียว แม้จะชนะสนามรบตรงหน้า แต่นับว่าพ่ายศึกใหญ่ การกระทำโง่เขลาเช่นนี้ เขาย่อมไม่ทำ
แม้แม่ทัพเสิ่นคิดว่าเจ้าเมืองพูดมีเหตุผลอย่างยิ่ง แต่ในฐานะแม่ทัพคนหนึ่ง เขายินดีแหลกลาญย่อยยับทั้งสองฝ่ายดีกว่าต้องยอมก้มหัวขอปรองดอง เพียงแต่ว่าเจ้าเมืองออกปากแล้ว เขาย่อมทำอันใดมิได้
เจ้าเมืองถึงจะเป็นผู้ที่ฉลาด มีความทะเยอทะยานและเจ้าเล่ห์อย่างแท้จริง เขารู้จักชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย รู้จักรามือเมื่อสมควร
สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็บรรลุข้อตกลงแลกเปลี่ยนโดยที่ฝ่ายเยี่ยหลัวต้องมอบนักรบมรณะดาบยาวให้แปดคน การแลกเปลี่ยนหนนี้เผ่าเยี่ยหลัวเหมือนจะได้สมดั่งใจแต่ความจริงคั่งแค้นจนแทบกระอักเลือด
นักรบมรณะดาบยาวล้ำค่าไม่เป็นรองผลสองภพกับน้ำอมฤต มิเช่นนั้นด้วยนิสัยละโมบของเจ้าเมืองผู คงไม่มีทางปล่อยพวกเขาเดินทางผ่านไปอย่างแน่นอน
ออกจากห้องโถงรับรองได้ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นชารอบตัวฮองเฮา แม้แต่หายใจก็ยังไม่กล้าหายใจแรง
ในตอนที่ฝ่ายแม่ทัพเสิ่นกำลังจะนำทางทุกคนออกจากเมืองนั่นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงประหลาดดังขึ้นมาจากรถม้าคันที่สาม
ฮองเฮาชะงักเท้า ชางจิวรีบเลิกม่านรถมองผ่านรอยแหวกเส้นน้อยเข้าไป จากนั้นเขาก็ลอบร้องในใจว่าแย่แล้ว เขาย้อนกลับไปข้างกายฮองเฮาแล้วบอกว่า “เขาจะเลื่อนขั้นแล้วขอรับ”
“เร็วถึงเพียงนี้เชียว” ฮองเฮาประหลาดใจเล็กน้อย
ชางจิวกระซิบ “น่าจะเป็นคืนนี้ อย่างช้าที่สุดก็พรุ่งนี้ พรสวรรค์ของเขายอดเยี่ยมยิ่งกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้มากนัก”
ฮองเฮาตอบว่า “นี่เป็นเรื่องดี”
ชางจิวลอบคิดในใจว่า บอกว่าเป็นเรื่องดีก็เป็นเรื่องดี แต่มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะ ระหว่างเลื่อนขั้นจะให้กระทบกระเทือนเหมือนตอนเดินทางไม่ได้ เพราะจะกระเทือนจนเกิดเรื่องขึ้นได้ง่าย นี่หมายความว่าตอนนี้พวกเขาออกเดินทางไม่ได้แล้ว แต่หากยังไม่ไป จีหมิงซิวกับเฉียวซื่อก็เข้าเมืองมาแล้ว รั้งรอเพิ่มแม้แต่หนึ่งเค่อก็เป็นผลเสียกับพวกเขาอย่างยิ่ง
แววตาของฮองเฮาวูบไหว นางคลี่ยิ้มเล็กน้อยแล้วหมุนตัวกลับมา “จู่ๆ ข้าก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย มิทราบว่าจะขอยืมจวนเจ้าเมืองค้างแรมสักคืนแล้วพรุ่งนี้ค่อยจากไปได้หรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าเมืองหัวเราะอย่างมีไมตรี “แน่นอน! เชิญด้านนี้!”
พ่อบ้านนำทางทุกคนเข้ามาในจวน จากนั้นเขาก็หาห้องพักที่ห่างไกลที่สุด มีคนผ่านไปมาน้อยที่สุดให้พวกเขาตามที่ฮองเฮาร้องขอ
การจะไปที่เรือนหลังนั้นต้องเดินผ่านทะเลสาบน้อยแห่งหนึ่ง ทะเลสาบแห่งนี้มีทางน้ำไหลอยู่ครึ่งหนึ่ง เชื่อมต่อไปถึงแม่น้ำที่ไหลผ่านเมืองผู เหนือทะเลสาบมีสะพานโค้งอยู่หนึ่งแห่ง
พ่อบ้านนำพวกบ่าวรับใช้ข้ามสะพานโค้งมาก่อน เพื่อให้พวกเขาไปเก็บห้องหับให้เรียบร้อย
คณะเดินทางเดินข้ามสะพานโค้งอย่างไม่รีบร้อน ตอนที่เดินมาถึงครึ่งทางนั่นเอง จู่ๆ ฮองเฮาก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากด้านในตัวรถม้าแล้วทำสัญลักษณ์ให้หยุด
ขบวนหยุดลง
ฮองเฮาเดินลงมาจากรถม้าคันแรก มาถึงเบื้องหน้ารถม้าคันที่สอง
ซิ่วฉินกระโดดลงมาที่พื้น นางคำนับจากนั้นก็คุกเข่าหมอบบนพื้นอย่างนอบน้อม
ฮองเฮาเหยียบแผ่นหลังของนางก้าวขึ้นรถม้าไปอย่างสง่างาม
มือนวลขาวเรียวยาวของนางเลิกเปิดผ้าม่าน แสงจ้าแสบตาลอดส่องเข้ามา กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้คนรื่นรมย์ลอยเข้าในจมูก
จิ่งอวิ๋นตื่นแล้ว เขากำลังกินขนมที่ฟู่เสวี่ยเยียนส่งมาให้ กลับกันวั่งซูที่กิน ‘อะไรๆ’ มามากเกินไปหน่อยยังคงนอนหลับเนื่องจากอาการเมามาย
เมื่อเห็นนางเข้ามา ฟู่เสวี่ยเยียนก็วางกล่องลงแล้วค้อมกายคำนับ
สายตาของฮองเฮาจับบนตัววั่งซูตัวจ้อยที่เมามายอยู่ วั่งซูตัวน้อยไม่รู้ว่าตนเองถูกผู้อื่นมองสำรวจอยู่ นางนอนหลับฝันหวานยิ่งนัก
จิ่งอวิ๋นขยับร่างกายเล็กๆ มาบังสายตาของนางโดยที่ไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด
ฮองเฮารั้งสายตากลับมามองเขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าตัวน้อย ทำความผิดย่อมต้องชดใช้”
จิ่งอวิ๋นมองนางด้วยสีหน้าราบเรียบ
นางพูดด้วยภาษาเยี่ยหลัว
ชางจิวหิ้วกรงขนาดเล็กสามอันออกมาจากรถม้าคันที่สาม ในแต่ละกรงมีสัตว์เลี้ยงตัวน้อยตัวหนึ่งถูกขังอยู่
จิ่งอวิ่นมองต้าไป๋ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ที่อยู่ในกรง แล้วหันไปมองนาง
รอยยิ้มอันอ่อนโยนของนางหุบฉับ “โยนลงไป!”
ชางจิวโยนกรงทั้งสามลงไปในทะเลสาบ
ใบหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นซีดเผือดทันควัน
นางยื่นมือเย็นเฉียบออกมาลูบใบหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นช้าๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยิ่ง “หากไม่เฝ้าน้องสาวของเจ้าไว้ให้ดีๆ อีก คนที่จะถูกโยนลงไปคนต่อไปก็คือเจ้า”
มือน้อยของจิ่งอวิ๋นกำแน่นจนกลายเป็นกำปั้น