เล่ม 1 ตอนที่ 438-2 จิ่งอวิ๋นน้อยผู้ชาญฉลาด (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 438-2 จิ่งอวิ๋นน้อยผู้ชาญฉลาด (1)

ฮองเฮากลับไปบนรถม้าของตนเอง ขบวนรถม้าทยอยวิ่งเข้าไปในเรือน

หลังจากกรงทั้งสามถูกโยนลงไปในน้ำ เริ่มแรกสัตว์เลี้ยงทั้งสามยังพออาศัยท่าตะกุยน้ำลอยตัวได้อยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ค่อยๆ ไร้ประโยชน์

กรงจมหายลงไปใต้น้ำ

เสี่ยวไป๋ตัวเบาที่สุด มันจึงจมลงไปช้าที่สุด

ทันใดนั้นเองอินทรีทองผู้ทรงพลังตัวหนึ่งก็ถลาลงมาจาฟ้าโฉบกรงของเสี่ยวไป๋บนผิวน้ำขึ้นมาประหนึ่งสายฟ้าแลบ

ทว่าเมื่ออินทรีทองวกกลับมาตามหากรงของต้าไป๋กับจูเอ๋อร์อีกครั้ง มันก็หาไม่พบแล้ว…

ช่วงเวลาของการเปิดประตูเมือง พ่อค้าและประชาชนที่รอคอยมาเนิ่นนานทยอยกันตบเท้าเข้ามาในเมือง

นายพรานคนหนึ่งหิ้วกระต่ายป่าที่เพิ่งล่ามาได้ใหม่ๆ มุ่งหน้าไปยังตลาดที่ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำของเมืองผู ผู้คนคลาคล่ำ เขาเดินอยู่ริมตลิ่งอย่างเคย จากนั้นเขาก็บังเอิญมองลงไปในแม่น้ำเห็นกรงอันหนึ่งติดอยู่ริมตลิ่ง

ริมตลิ่งตรงนั้นมีกิ่งไม้อยู่พุ่มหนึ่ง พุ่มไม้ครึ่งหนึ่งจมอยู่ในน้ำ กรงอันนั้นติดอยู่กับกิ่งไม้เหล่านั้น

ภายในกรงเหมือนจะมีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่

นายพรานคว้าตะขอกับเชือกเกี่ยวที่อยู่ในกรง แล้วลากกรงขึ้นมา

จวนเจ้าเมืองตั้งอยู่ทางเหนือของเมืองผู เมื่อเทียบกับประตูเมืองทิศใต้ มันอยู่ใกล้กับประตูเมืองทิศเหนือมากกว่าอยู่บ้าง

ทั้งสองคนซื้อม้าสองตัว จากนั้นใช้เวลาสองชั่วยามเดินทางมาได้เกือบครึ่งทางโดยที่ไม่กระโตกกระตากให้ทหารในเมืองรู้

หลังจากผ่านตลาดที่อยู่ใกล้แม่น้ำเมืองผู ขี่ม้าไปอีกสิบลี้ก็ถึงจวนเจ้าเมืองแล้ว

ขณะที่ทั้งสองคนผ่านตลาดนั่นเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น คนทั้งหมดจึงวิ่งไปรวมกันที่ทิศทางหนึ่งของตลาด เด็กหนุ่มคนหนึ่งวิ่งอย่างรีบร้อนเกินไปจนเกือบจะชนม้าของเฉียวเวย

เฉียวเวยรั้งสายบังเหียนได้ทันเวลาจึงไม่ไปคร่าชีวิตใครเข้า

แต่ผู้คนก็ยังแห่แหนรุมล้อมเข้าไปจนเส้นทางถูกขวางจนหมด ทั้งสองคนจำใจต้องลงจากม้ารอให้คลื่นฝูงชนระลอกนี้เคลื่อนไปข้างหน้าต่อก่อน

ช่วงเวลาที่รออยู่นั่น ไม่รู้ว่าเทพผีตนใดดลใจจู่ๆ เฉียวเวยก็เหลือบมองไปยังตลาด หลังจากนั้นนางก็ตกตะลึงนิ่งไปทั้งตัว “นั่นจูเอ๋อร์หรือเปล่า”

ภายในกรงมีลิงน้อยสีดำตัวหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าที่หยิบมาจากไหนก็ไม่ทราบ (อยู่ในกรงแท้ๆ ยังจะฉกผ้าเช็ดหน้ามาได้อีกนะ) มือหนึ่งกุมหน้าอก มือหนึ่งเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงป้อยๆ ท่าทางเศร้าปานจะขาดใจนั่นดึงผู้คนเมืองผูมาได้เกือบจะครึ่งค่อนเมือง!

เฉียวเวยพลิกตัวลงจากหลังม้า นางส่งสายบังเหียนให้จีหมิงซิว จีหมิงซิวจับมือนางไว้ จากนั้นส่งสายบังเหียนของตนเองกับของนางไปไว้ในมือนางพร้อมกันแทน “ข้าไปจัดการเอง”

เขาพูดภาษาเมืองผูได้ แล้วยังแสร้งทำเป็นคนเผ่าซยงหนีว์ได้ เหมาะไปจัดการมากกว่าตนเองจริงๆ

เฉียวเวยพยักหน้าพลางกำสายบังเหียนไว้แน่นอย่างเชื่อฟัง

จีหมิงซิวเบียดเข้าไปในฝูงชน

เรื่องนี้จะว่าไปแล้วก็จัดการง่าย นายพรานเก็บลิงน้อยมาได้เปล่าๆ ก็เพียงอยากจะขายให้ได้สักตำลึงสองตำลึงเงินเท่านั้น เริ่มแรกเถ้าแก่ของเหลาสุราคนหนึ่งเห็นแล้วถูกใจอยากจะซื้อกลับไปทำน้ำแกงสมองลิง จูเอ๋อร์กลัวจนเข่าอ่อน ร้องไห้สะอึกสะอื้นขึ้นมาทันที

มันร้องไห้เช่นนี้ ผู้คนก็ล้อมเข้ามามุงดูมากมาย ทุกคนต่างรู้สึกว่าแปลกประหลาดจึงเริ่มให้ราคาสูงเพื่อจะซื้อ

ตอนที่จีหมิงซิวเดินมาถึงตรงนั้น ราคาก็ปั่นขึ้นไปถึงหนึ่งพันตำลึงแล้ว

ไม่มีคนให้สูงกว่านั้น

เถ้าแก่เหลาสุรากำลังจะควักเงิน แต่จีหมิงซิวยึดข้อมือของเขาไว้เบาๆ จากนั้นใช้ภาษาเมืองผูที่เหมือนคนท้องถิ่นทุกประการพูดขึ้นมาว่า “เจ้าดูไม่ออกหรือไร ลิงตัวนั้นติดโรคร้าย เหมือนจะเป็นโรคระบาด ใกล้จะตายอยู่แล้ว”

“อะไรนะ โรคระบาดหรือ” เถ้าแก่เหลาสุราหันขวับไปมองลิงน้อยสีดำ แล้วก็เห็นลิงน้อยสีดำที่พริบตาก่อนหน้านี้ยังคึกคักมีกำลังวังชาอย่างยิ่งอยู่ เวลานี้กลับนอนพังพาบอยู่ในกรง ตาเหลือกขาว ทั่วร่างชักกระตุก ลิ้นห้อยออกมาจากปาก

นี่มันติดโรคระบาดอะไรมาจริงๆ หรือ!

ทุกคนหวาดผวาจนถอยหลังออกไปหลายก้าว

สุดท้ายจีหมิงซิวไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะก็หิ้วจูเอ๋อร์น้อยกลับบ้านมาได้

คนเยี่ยหลัวพักแรมอยู่ที่จวนเจ้าเมือง ฟู่เสวี่ยเยียนห้องหนึ่ง จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูห้องหนึ่ง วั่งซูยังคงเมามายอยู่เล็กน้อย นางกินผลสองภพไปรวดเดียวสิบแปดผล แล้วยังดื่มน้ำอมฤตไปสองขวด ปริมาณเท่านี้หากเป็นยอดฝีมือในยุทธภพคนอื่นไม่รู้ว่าจะสิ้นใจไปแล้วกี่หน นางจะได้รับผลกระทบไม่ดีมาบ้างก็เป็นเรื่องสมควร รอเมื่อนางซึมซับพลังจนสมบูรณ์แล้วก็จะมีสติแจ่มชัดขึ้นมาเอง

ภายในจวนคุ้มกันเข้มงวดอย่างยิ่ง

อินทรีทองกระพือปีกร่อนลงในลานกว้างของเรือน ทุกคนทราบว่ามันเป็นอินทรีทองของฟู่เสวี่ยเยียนจึงไม่สนใจมันเท่าไรนัก มันเดินอาดๆ เข้าไปยังห้องของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู จากนั้นจึงกระพือปีกปิดบานประตูดังปัง

หลังจากนั้นมันจึงใช้เท้าที่สมบูรณ์ดีข้างหนึ่งกับเท้ากลไกอีกข้างหนึ่งเดินเตาะแตะไปถึงตรงหน้าจิ่งอวิ๋น มันมองจิ่งอวิ๋นผู้กำลังเศร้าหมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็อ้าปากออกกว้างสำรอกเสี่ยวไป๋ออกมา!

ภายในห้องส่วนตัวที่อยู่ติดกัน ฮองเฮาปลดผ้าปิดหน้าออก

เฉี่ยวหลิงยกน้ำร้อนอ่างหนึ่งเข้ามา จากนั้นจึงคุกเข่าลงอย่างระมัดระวังแล้วประคองอ่างน้ำขึ้นเหนือศีรษะ

ฮองเฮาล้างมืออย่างแผ่วเบา

เฉี่ยวหลิงลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะยกอ่างน้ำออกจากห้องไปโดยไม่เหลือบแลสิ่งใดทั้งสิ้น

ไม่นานชางจิวก็มาเคาะประตูห้อง

ฮองเฮาสวมผ้าปิดหน้ากลับแล้วตอบว่า “เข้ามา”

ชางจิวผลักประตูเข้ามาแล้วปิดประตู ก่อนจะเดินมาถึงตรงหน้านาง “นายท่าน”

“สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้างแล้ว” ฮองเฮาถาม

ชางจิวตอบว่า “จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ เหลือให้โอสถพิษหนสุดท้ายอีกหนก็คงเริ่มเลื่อนขั้นแล้ว”

ฮองเฮาส่งเสียงขานตอบในลำคอเบาๆ “ราชันอสูรคนนี้สำคัญกับพวกเรามาก มีเขาอยู่ก็ไม่ต้องหวั่นกลัวเฮ่อหลันชิงอีกต่อไปแล้ว คืนนี้เจ้าจงไปคุ้มกันเขาด้วยตนเอง จะให้เกิดสิ่งผิดพลาดอะไรขึ้นมาไม่ได้”

“ขอรับ!”

ฮองเฮาโบกมือ “ไปเตรียมโอสถพิษก่อนเถิด เพิ่มปริมาณให้มากขึ้นอีก กินลงไปก่อนหนึ่งเม็ด อีกหนึ่งชั่วยามให้หลังก็ให้กินอีกหนึ่งเม็ด”

“ทราบแล้วขอรับ”

อีกฝั่งหนึ่งของกำแพง จิ่งอวิ๋นกำลังเอาใบหูแนบอยู่กับก้นของถ้วยเปล่าใบหนึ่ง ปากถ้วยแนบติดอยู่บนกำแพง เมื่อฟังจบเขาก็เอาถ้วยลง

เขาเดินไปที่ประตูจากนั้นก็ออกแรงเปิดประตูห้อง องครักษ์หน้าประตูหันมามองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเอ่ยภาษาเยี่ยหลัวอย่างคล่องแคล่วด้วยน้ำเสียงโอนอ่อน “พี่ชายองครักษ์ ข้าอยากฉิ้งฉ่อง ข้ากลั้นไม่ไหวแล้ว”

องครักษ์มองใบหน้าน้อยใสซื่อไร้อันตรายดวงนี้ แม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยน แต่เขาก็ไม่คิดว่าเด็กน้อยจะทำเรื่องที่ ‘ผิดต่อสวรรค์’ อะไรได้ เขาชี้ตรงมุมทางเลี้ยวแล้วตอบด้วยภาษาเยี่ยหลัว “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น!”

“ขอบคุณพี่ชายองครักษ์มากขอรับ” จิ่งอวิ๋นกล่าวอย่างมีมารยาทอย่างยิ่งจบก็วิ่งไปยังห้องน้ำอย่าง ‘กลั้นไม่ไหว’

เขาย่อมไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำ แต่อ้อมด้านหลังจนมาถึงใต้หน้าต่างห้องของชางจิว จากนั้นก็ยื่นศีรษะน้อยๆ ครึ่งหนึ่งมองลอดผ่านช่องหน้าต่างเข้าไปเห็นขวดยาขวดหนึ่งที่ชางจิวถือออกมา เขาเทยาลูกกลอนสีน้ำตาลเม็ดหนึ่งออกมาก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้องไป

ก่อนเดินออกไปชางจิวลงกลอนประตูกับหน้าต่าง แต่ไม่ได้สนใจช่องแมวลอดเล็กๆ ที่ตรงมุมผนัง

เสี่ยวไป๋มุดออกมาจากแขนเสื้อของจิ่งอวิ๋น มันลอดผ่านช่องแมวลอดอย่างคล่องแคล่วจากนั้นก็คว่ำขวดยาใบนั้นแล้วกลิ้งผ่านช่องแมวลอดออกมาให้จิ่งอวิ๋น

จิ่งอวิ๋นเทยาลูกกลอนออมาแล้วใช้นิ้วบี้กับแผ่นหินเขียว “เสี่ยวไป๋ ฉี่”

เสี่ยวไป๋สาดฉี่ลูกเพียงพอนออกมาจนชุ่มโชกอย่างฉับไว

จิ่งอวิ๋นเห็นเนื้อยาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฉี่แล้วก็กลอกตาจนเห็นตาขาว ทำท่าแหวะลมออกมาสองหน จากนั้นจึงข่มกลั้นความรังเกียจปั้นเนื้อยาเหลวให้กลายเป็นเม็ดยาใหม่อีกรอบ

เมื่อชางจิวกลับห้องมาเอายาอีกเป็นหนที่สอง เขาก็ไม่รู้สักนิดว่ายาที่ตนเองมาหยิบไปกลายเป็นยาปัสสาวะตราเสี่ยวไป๋ไปแล้ว