ตอนที่ 439 จิ่งอวิ๋นน้อยผู้ชาญฉลาด (2)
ชาวเยี่ยหลัวเข้ามาจัดแจงที่พักในจวนเจ้าเมืองเรียบร้อยแล้ว แต่เวลานี้ยังไม่ทันถึงเวลาอาหารเย็น ทว่าท้องน้อยๆ ของวั่งซูหิวอีกแล้ว นางลุกขึ้นมาอย่างเมามายแล้วเดินไปที่ประตู น่าจะเป็นเพราะเมามากเกินไป นางจึงเดินตัวลอยๆ นางคิดว่าตนเองเชื่องช้ายิ่งนัก ทว่าในสายตาของผู้คนที่อยู่รอบด้านกลับไม่ใช่อย่างนั้นสักนิดเดียว
องครักษ์ที่เฝ้าประตูไม่คุ้นชินกับากาศของเมืองผูจึงหนาวจนจามออกมา
ชั่วพริบตาที่เขาจาม เขาหลับตาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เวลาเพียงชั่วพริบตานี่เอง เจ้าตุ้ยนุ้ยก็ขยับวูบเดียวเดินฉิวออกไปแล้ว
องครักษ์รู้สึกเหมือนข้างกายมีสายลมร้อนสายหนึ่งพัดผ่านเบาๆ ทว่าเมื่อเขาหันกลับไปมองก็ไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น
วั่งซูเองก็ไม่ทราบว่าตนเองต้องไปหาของกินจากที่ใด สุดท้ายตอนที่เดินผ่านเรือนน้อยหลังหนึ่ง นางก็ได้กลิ่นหอมของเป็ดทอดกรอบ น้ำลายนางไหลยืด เดินเตร็ดเตร่เข้าไป
ตอนที่เย่ว์หลิงซีกลับมาถึงห้อง นางก็เห็นภาพนี้…แม่นางน้อยรูปโฉมดั่งหยกสลักคนหนึ่งมัดผมมวยงดงามหนึ่งลูก สวมอาภรณ์สีชมพูอ่อนทั้งตัวกำลังถือน่องเป็ดอันน้อยนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารตัวใหญ่ แล้วใช้ฟันน้ำนซี่เล็กเหมือนเม็ดข้าวเหนียวแทะอย่างเอร็ดอร่อย
บนเนื้อเป็ดกรอบนอกนุ่มในมีงาขาวโรยอยู่ นางกัดลงไปคำหนึ่งน้ำกับน้ำมันก็ระเบิดออกมา ทำให้ริมฝีปากน้อยของนางที่แต่เดิมก็สีแดงระเรื่ออยู่แล้วถูกเคลือบจนเงาวับ น่ามองอย่างยิ่ง
เย่ว์หลิงซีไม่ได้เดินเข้ามาในห้องคนเดียว สาวใช้กับหญิงรับใช้ด้านหลังนางต่างก็เห็นแม่นางน้อยที่ไม่รู้โผล่มาจากที่ใดคนนี้ด้วย พวกนางตกใจจนสูดหายใจดังเฮือก ขณะที่คิดจะเข้ามาไล่แม่นางน้อยที่บุกรุกห้องของคุณหนูตามอำเภอใจคนนี้ออกไปก็ได้ยินเสียงเย่ว์หลิงซีหัวเราะออกมาดังพรืด
ทุกคนหันไปมองเย่ว์หลิงซีตาค้าง
เย่ว์หลิงซีไม่สนใจพวกนาง นางยกชายกระโปรงก้าวข้ามธรณีประตูแล้วไปนั่งข้างๆ แม่นางน้อยคนนั้น
เมื่อเข้ามาใกล้ถึงพบว่านางกำลังหลับตากินอยู่
หรือว่านางยังไม่ตื่นกันนะ
เย่ว์หลิงซียิ่งอยากจะหัวเราะมากกว่าเดิม
วั่งซูแทะน่องเป็ดข้างหนึ่งจนหมดเกลี้ยง จากนั้นมือน้อยอ้วนป้อมก็ยื่นออกมาคลำคว้าของสิ่งอื่น นางคว้าอยู่ตั้งนานก็คว้าอะไรไม่ได้ ท่าทางน่ารักน่าชังตอนสะลึมสะลือเช่นนี้ทำให้เย่ว์หลิงซีถูกความน่ารักเล่นงานจนแทบหงายหลัง
เย่ว์หลิงซีฉีกน่องเป็ดอีกข้างหนึ่งส่งให้นาง
วั่งซูรับน่องเป็ดหอมฉุยมาได้ก็ไม่แม้แต่จะมอง นางเริ่มแทะทีละคำน้อยๆ
เย่ว์หลิงซียิ้มจนดวงตาแทบจะหายไป “อร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
ปกตินางไม่กินของพวกนี้ด้วยซ้ำ
แต่แม่นางน้อยคนนี้กลับกินได้ยั่วยวนผู้คนเหลือเกิน เย่ว์หลิงซีอดไม่ได้ฉีกเนื้อเป็ดออกมานิดหนึ่งแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวเบาๆ
สาวใช้กับหญิงรับใช้ทั้งหลายหันไปมองเย่ว์หลิงซีอย่างเป็นกังวล
เย่ว์หลิงซีร่างกายไม่แข็งแรงมาตั้งแต่เล็ก ต้องลมก็ไม่ได้ ต้องฝนก็ไม่ได้ สามวันดีสี่วันไข้ แล้วยังถูกคนทำนายเอาไว้ว่าจะอายุสั้นอีก จวบจนวันนี้นางใช้ชีวิตกระท่อนกระแท่นเติบใหญ่มาจนอายุแปดปีแล้ว แต่น่าเสียดายร่างกายก็ยังไม่ดีขึ้นแต่อย่างใด ทุกวันป่วยออดแอด ข้าวก็กินไม่ลง แต่ละวันพวกนางต้องพร่ำเกลี้ยกล่อมถึงจะพอขยับตะเกียบได้สักหนสองหน
วันนี้แปลกแล้ว พวกนางยังทันส่งเสียงสักแอะ นางก็เริ่มกินเอง
วั่งซูจัดการเป็ดเสร็จก็คลำหาอย่างอื่นต่อ เย่ว์หลิงซีหยิบชามกับตะเกียบขึ้นมาแล้วคีบเนื้อชิ้นหนึ่งป้อนนาง นางก็เคี้ยวแก้มตุ่ย
เย่ว์หลิงซีคีบผักขึ้นมาอีก นางก็กินหงุบหงับๆ
ป้อนสิ่งใดให้ก็กินสิ่งนั้น เชื่อฟังอย่างยิ่ง!
เย่ว์หลิงซีม้วนแผ่นแป้งห่อเนื้อพะโล้ให้นางหนึ่งชิ้น แล้วม้วนให้ตัวนางเองหนึ่งชิ้น ความจริงเย่ว์หลิงซีไม่หิว แต่พอเห็นนางกินก็รู้สึกว่าอยากจะกินสักคำ
วั่งซูกินจนน้ำมันไหลเยิ้มเต็มปาก
เย่ว์หลิงซีไม่เคยเห็นใครหลับตากินมาก่อน แถมยังกินได้มีความสุขถึงขนาดนี้ นางยิ้มตาหยีเช็ดปากให้อีกฝ่ายแล้วถามว่า “เจ้ามีนามว่าอันใดหรือ”
วั่งซูเรอออกมาสั้นๆ ครั้งหนึ่ง แล้วตอบอย่างเมามาย “วั่งซู…”
ตอบจบก็ร่วงดังตุ้บลงไปกระแทกกับแผ่นหินปูพื้น!
เย่ว์หลิงซีตกใจแทบแย่ สาวใช้กับหญิงรับใช้ทั้งหลายเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตระหนกลนลาน กินไปมากขนาดนั้น คงจะไม่ได้กินจนเกิดป่วยอะไรขึ้นมากระมัง
ในตอนที่ทุกคนตกใจแทบตายนั่นเอง เย่ว์หลิงวีก็ย่อตัวลงไปยื่นนิ้วจ่อดูลมหายใจของนาง จากนั้นก็ยิ้มอย่างโล่งอก “นางหลับไปแล้ว”
ทุกคนคิดในใจ โธ่เอ๋ย ท่าหลับนี่จะน่ากลัวเกินไปแล้ว…
เย่ว์หลิงซีกำลังคิดจะให้คนพาแม่นางน้อยผู้นี้ไปส่งบนเตียง เวลานี้เองฟู่เสวี่ยเยียนก็มาหาที่หน้าประตู
ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มวั่งซูผู้หลับสนิทขึ้นมา แล้วกล่าวขออภัยที่รบกวนกับเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็พาวั่งซูจากไป
เย่ว์หลิงซีมองแผ่นหลังของคนทั้งคู่หายลับไป จากนั้นถามขึ้นมาเบาๆ “พวกนางคือใครกันหรือ”
สาวใช้ประจำตัวตอบว่า “ดูเหมือนจะเป็นแขกของนายท่าน มาค้างแรมหนึ่งคืน วันพรุ่งนี้ก็จะไปแล้วเจ้าค่ะ”
ในใจของเย่ว์หลิงซีรู้สึกผิดหวัง
ตอนนั้นเองนางก็ก้มหน้าลงมาเห็นสร้อยข้อมือลูกปัดที่ร้อยด้วยเชือกสีแดงเส้นหนึ่งตกอยู่บนพื้น นางเก็บสร้อยข้อมือขึ้นมา คิดจะตามไปคืนให้วั่งซู แต่กลับไม่เห็นเงาของพวกนางแล้ว
ตอนที่ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มวั่งซูกลับมาถึงห้อง จิ่งอวิ๋นก็เพิ่งจัดการภารกิจอันชั่วร้ายเสร็จกลับมาถึงห้องพอดี เขาจึงยังไม่ทันล้างคราบยาออก
ฟู่เสวี่ยเยียนมองเขาเพียงแวบเดียว สายตาก็จับบนมือน้อยสีดำปิดปี๋ของเขา แล้วถามว่า “เจ้าไปที่ใดมา”
…
วันนี้ต้องตัดใจสละนักรบมรณะดาบยาวไปแปดคน ฮองเฮาอารมณ์ไม่ดีนัก แต่เมื่อนึกถึงราชันอสูรผู้แข็งแกร่งที่กำลังจะถือกำเนิด ก็รู้สึกว่าการสละนักรบมรณะดาบยาวแปดคนเหมือนจะไม่ใช่เรื่องยากจะทานทนขนาดนั้น
เฉี่ยวหลิงยกสำรับเย็นเข้ามา
ฮองเฮาพะวงถึงแต่เรื่องราชันอสูร จึงกินได้ไม่กี่คำก็ให้เฉี่ยวหลิงเก็บไป
นับเวลาดู โอสถพิษเม็ดที่สองคงถูกกินลงไปแล้ว ชางจิวเริ่มคุ้มกันเขาแล้ว การเลื่อนขั้นมีอันตรายอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มาถึงการเลื่อนขั้นแล้วจะก้าวข้ามขอบขั้นที่ตนเองต้องการสำเร็จแน่นอน แต่คนผู้นี้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม มีโอกาสเก้าส่วนที่จะกลายเป็นราชันอสูรสำเร็จ
ฮองเฮาจิบชาคำหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง นางมองดวงจันทร์สว่างที่เคลื่อนคล้อยขึ้นมาบนท้องนภา ความหงุดหงิดในอกลดทอนลงทีละน้อย
ในตอนที่นางลบความหงุดหงิดก้อนสุดท้ายในอกออกไปได้ จู่ๆ เสียงฝีเท้าเร่งร้อนก็ดังมาจากทางเดิน นางขมวดคิ้วฉับ แล้วสวมผ้าปิดหน้า ชั่วพริบตาต่อมาชางจิวก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับสีหน้าลนลาน
ฮองเฮามองเขาอย่างเย็นชา “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
ชางจิวหน้าซีดเผือด เขาตอบอย่างเศร้าเสียใจและไม่อยากจะเชื่อ “คนผู้นั้น…คนผู้นั้นท่าไม่ดีแล้วขอรับ!”
สีหน้าของฮองเฮาเปลี่ยนไปในพริบตา “ท่าไม่ดีแล้วหมายความว่าอะไร เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ”
ชางจิวขมวดคิ้วตอบว่า “เมื่อครู่ยังดีอยู่จริงๆ แต่หลังจากกินโอสถพิษเม็ดที่สองลงไป เขาก็…”
“เขาเป็นอะไร” ฮงอเฮาถามเสียงเย็นชา
ชางจิวฝืนใจตอบ “เริ่มวิ่งไปเข้าห้องน้ำ”
ฮองเฮาผ่อนคลายสีหน้าตึงเครียดลง “ไม่ใช่แค่ท้องเสียหรอกหรือ กินยานิดหน่อยก็ใช้ได้แล้ว”
ปัญหาก็คือ ยาไม่มีผลกับเขาน่ะสิขอรับ!
ตัวเขาเองก็ไม่ทราบว่ากินสิ่งใดไม่สะอาดเข้าไปจึงได้ทั้งลงทั้งราก ทำเอาทั้งร่างไร้เรี่ยวแรง ไม่เพียงเท่านี้ พิษร้ายในร่างของเขาก็ไหลหายออกไปจำนวนมาก สำหรับนักรบมรณะที่อาศัยการกินยาพิษเพื่อเพิ่มกำลังภายในแล้ว การที่พิษร้ายหลั่งไหลหายไปย่อมหมายความว่ากำลังภายในลดน้อยถอยลง
เพียงเวลาสั้นๆ ครึ่งชั่วยาม กำลังภายในของเขาก็ถดถอยจากขีดสูงสุดลงมาเหลือเพียงไม่ถึงเจ็ดส่วน สภาพเช่นนี้หากอยากจะเลื่อนขั้นสำเร็จแทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว สิ่งที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าก็คือสภาพของเขายังเลวร้ายลงเรื่อยๆ…
ฮองเฮาทุบกำปั้นลงบนโต๊ะ “เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน!”
ชางจิวก็ฉงนเช่นกัน ตอนกินโอสถพิษเม็ดแรกยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เลยแท้ๆ แต่เหตุไฉนพอกินโอสถพิษเม็ดที่สองกลับ…
หรือว่าจะกินเกินขนาด
หรือว่า…มีคนเล่นตุกติกกับยาของเขา
ดวงตาของชางจิวทอประกายเย็นเยียบ เขาหมุนตัวกลับไปที่ห้องของตนเอง
ใต้หน้าต่างเสี่ยวไป๋กลิ้งขวดยาออกมาจากช่องแมวลอด
ฟู่เสวี่ยเยียนเทยาลูกกลอนที่จิ่งอวิ่นปั้นเข้ามาในกระเป๋าของตนเองแล้วหยิบยาลูกกลอนใหม่ขวดหนึ่งเทเข้าไปแทน
หูของนางกระดิกเบาๆ แล้วส่งขวดให้เสี่ยวไป๋
เสี่ยวไป๋หมุนตัวเข้าไปในช่องแมวลอดแล้วนำขวดกลับไปวางที่เดิม
แกรก!
ประตูเปิดออก
เสี่ยวไป๋เผ่นแผล็วมุดเข้าไปใต้เตียง!
ชางจิวตวัดสายตาเย็นชามา “ผู้ใด!”
เสี่ยวไป๋ “จี๊ดๆ!”
ชางจิวคลายความเคร่งเครียดลง “ที่แท้ก็หนูตัวหนึ่ง”
สุดท้ายก็ไม่ได้ไปตรวจดูใต้เตียง
ชางจิวเปิดจุดขวดเทยาลูกกลอนออกมา ตรวจสอบดูอยู่นานก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเพราะให้ยาเกินขนาดจริงๆ หรือ
ฤทธิ์ของฉี่ลูกเพียงพอนของเสี่ยวไป๋น่าตกตะลึงยิ่งนัก เมื่อถึงเที่ยงคืนกำลังภายในของคนผู้นั้นก็ถดถอยลงมาต่ำกว่าห้าส่วน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าแม้แต่นักรบมรณะดาบยาว เขาก็คงสู้ไม่ได้
ฮองเฮาจนหนทางทำได้แต่สละนักรบมรณะดาบยาวสี่คน ใช้กำลังภายในของพวกเขารักษากำลังภายในห้าส่วนของเขาไว้
นักรบมรณะดาบยาวสิบหกคนจนบัดนี้เหลืออยู่เพียงสี่คนแล้ว
สิ่งที่ต้องเสียไปหนนี้ ไม่อาจไม่พูดว่ามากมายมหาศาลจริงๆ
ฮองเฮาข่มเพลิงโทสะที่โหมซัดอยู่ในหัวใจแล้วบีบนิ้วมือแน่น “เก็บข้าวของ เตรียมออกเดินทาง”
ชางจิวพยักหน้า แต่เดิมที่เสี่ยงอยู่ต่อก็เพื่อที่คนผู้นั้นจะได้เลื่อนขั้นเป็นราชันอสูรอย่างราบรื่น แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเลื่อนขั้นไม่ได้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องรออีกต่อไป หากพลาดพลั้งปล่อยให้พวกจีหมิงซิวกับเฉียวซื่อไล่ตามมาทัน พวกเขาที่เหลือนักรบมรณะดาบยาวเพียงสี่คนไม่แน่ว่าจะผละหนีได้อย่างปลอดภัย
พวกเขาเก็บสัมภาระและออกเดินทางทั้งที่เป็นเวลากลางคืน
ใต้เท้าเจ้าเมืองไม่พูดอันใด เขาส่งป้ายเจ้าเมืองให้กับแม่ทัพเสิ่นแล้วออกคำสั่งให้พาคนเยี่ยหลัวออกจากเมือง
อีกด้านหนึ่งหลังจากเฉียวเวยกับจีหมิงซิวตามหาเสี่ยวไป๋กับต้าไป๋ตามริมฝั่งแม่น้ำแต่ไม่พบ พวกเขาก็พาจูเอ๋อร์ปีนเข้าไปในจวนเจ้าเมือง
—————————————–