ตอนที่ 440-1 แม่ลูกพานพบ
จูเอ๋อร์ถูกคนโยนทิ้งกลางทาง มันจึงไม่รู้ว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูอยู่ในเรือนหลังใดกันแน่ แต่พอมันเข้ามาในเรือนก็ได้กลิ่นของวั่งซูลอยมาจากทางเดินเส้นน้อยเส้นหนึ่ง
จูเอ๋อร์วิ่งฉิวเข้าไป
จีหมิงซิวกับเฉียวเวยเห็นเช่นนั้นก็รีบสาวเท้าตามไป
ประตูเมืองของเมืองผูมีทหารเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา เข้าออกยากเย็น เมื่อเทียบกันแล้วการเตรียมพร้อมเฝ้าระวังของจวนเจ้าเมืองไม่แน่นหนาถึงเพียงนั้น
ระหว่างทางทั้งสองคนเห็นองครักษ์ลาดตระเวนอยู่สองทาง พวกเขาหลบได้อย่างยอดเยี่ยม
จูเอ๋อร์ปีนป่ายต้นท้อต้นหนึ่ง แล้วกระโดดจากบนกิ่งไม้เข้าไปในเรือนอันเงียบสงบหลังหนึ่ง
เที่ยงคืนยามสามคนในเรือนต่างพักผ่อนกันหมดแล้ว ทั้งสองคนปีนกำแพงเข้าไปอย่างแผ่วเบา แล้วตามจูเอ๋อร์ไปถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง
“ที่นี่หรือ” เฉียวเวยถามเสียงเบา
จูเอ๋อร์พยักหน้า
เฉียวเวยล้วงกล่องใบน้อยกล่องหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ภายในกล่องบรรจุเข็มเหล็กที่สั้นยาวหนาบางต่างกันเอาไว้ เฉียวเวยใช้เข็มเหล็กที่บางที่สุดและยาวที่สุดเล่มหนึ่งแทรกเข้าไปตรงรอยต่อประตู จากนั้นสะกิดให้กลอนประตูด้านในเปิดออก
ชั่วพริบตาที่กลอนประตูร่วงลงมา เฉียวเวยก็ยื่นมือผ่านช่องประตูเข้าไปรับไว้ได้อย่างแม่นยำ
ภายในห้องมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์โชยรวยริน ชั่วพริบตานั้นทั้งสองคนก็ตระหนักได้ว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นห้องของแม่นางผู้หนึ่ง
จีหมิงซิวรออยู่ด้านนอกห้องอย่างรู้กาลเทศะ เฉียวเวยกับจูเอ๋อร์เข้าไปด้านใน หนึ่งคนหนึ่งลิงอ้อมฉากกันลมมาถึงหน้าเตียง จากนั้นเลิกม่านสีเหลืองนวลให้เปิดออก ใช่วั่งซูเสียที่ไหน นี่มันแม่นางน้อยอายุแปดเก้าปีคนหนึ่งชัดๆ!
จูเอ๋อร์กระโดดขึ้นไปบนเตียงแล้วมุดเข้าไปขยับยุกยิกอยู่ใต้ผ้าห่มอยู่พักหนึ่ง เมื่อมันมุดออกมาจากผ้าห่มในมือก็มีเชือกสีแดงเส้นน้อยอันประณีตเพิ่มมาหนึ่งเส้น
นี่เป็นเชือกแดงที่สือชีมอบให้กับวั่งซูในคืนวันสิ้นปีที่ปราสาทเฮ่อหลัน ได้ยินว่าซื้อมาจากเมืองเฟยอวี๋
วั่งซูสวมมันไว้ตลอด เหตุใดจึงมาอยู่ในมือของแม่นางน้อยคนนี้ได้
แม่นางน้อยคนนี้คือผู้ใดกัน
ระหว่างที่เฉียวเวยครุ่นคิด เย่ว์หลิงซีที่อยู่บนเตียงจู่ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ทว่าไม่ทันที่นางจะเห็นสภาพภายในห้องชัด มือเรียวยาวประหนึ่งหยกข้างหนึ่งก็เอื้อมมาจากด้านหลังของเฉียวเวยแล้วสกัดจุดหลับของนาง
เย่ว์หลิงซีตกสู่ห้วงนิทรา
เฉียวเวยเอี้ยวศีรษะกลับไปมองจีหมิงซิวที่ปรากฏตัวด้านหลังได้อย่างทันเวลา แล้วส่งเชือกสีแดงให้เขา “ของวั่งซู”
จีหมิงซิวรับเชือกสีแดงมาไว้ในมือแล้วลูบเบาๆ สองสามหน อารมณ์เข้มข้นทะลักขึ้นมาในหัวใจ เขาข่มกลั้นมันลงไปเงียบๆ แล้วเหลือบมองเย่ว์หลิงซีที่อยู่บนเตียง บอกว่า “นางคือคุณหนูตระกูลเย่ว์ มีนางอยู่ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถามหาที่อยู่ของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไม่ได้แล้ว”
มาถึงขั้นนี้ วิญญูชนอันใด คุณธรรมอันใด โยนมันลงนรกไปให้หมดเสียเถิด ขอเพียงทวงบุตรชายกับบุตรสาวกลับมาได้ ไม่ว่าวิธีการใดเขาก็ยินดีทำทั้งนั้น!
…
“ใต้เท้า! ใต้เท้า! ท่านรีบตื่นเร็วขอรับ! แย่แล้ว! คุณหนูเกิดเรื่องแล้ว!”
ใต้เท้าเจ้าเมืองกำลังโอบกอดฮูหยินท่องอยู่ในนิทรา จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเอะอะ เขาคิดว่าพวกคนเยี่ยหลัวกลุ่มนั้นเป็นอันใดไปอีก จึงถีบม้านั่งหน้าเตียงล้มคว่ำอย่างหมดความอดทน ฮูหยินในอ้อมแขนของเขาสะดุ้งตื่น เมื่อเงี่ยหูฟังให้ดี นางก็กรีดร้องออกมาแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง “หลิงซี…หลิงซีเกิดเรื่องแล้ว!”
ตอนที่ใต้เท้าเจ้าเมืองสวมเสื้อคลุมตัวหนึ่งแล้วรีบเร่งไปถึงเรือนของลูกสาว ทั่วทั้งเรือนก็จุดโคมไฟสว่างแล้ว บ่าวรับใช้ทั้งหมดยืนตัวสั่นระริกอยู่บนสนามหญ้า องครักษ์สองกลุ่มถือหอกยาวจ่อไปที่ห้องนอนอของเย่ว์หลิงซี พูดให้ถูกก็คือจ่อไปยังบุรุษที่ยืนอยู่หน้าห้องนอนของนาง
บุรุษผู้นั้นสวมอาภรณ์สีขาวเรียบๆ ตัวหนึ่ง เป็นพวกอาภรณ์ชนิดที่ราคาถูกที่สุดที่ขายอยู่ตามแผงขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปแถวประตูเมือง ทว่าแม้จะเป็นเนื้อผ้าราคาถูกเช่นนี้ก็ยังไม่อาจบดบังความสูงส่งและความสง่างามประหนึ่งหยกที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของบุรุษผู้นี้
บุรุษผู้นี้สวมหน้ากากหยกชิ้นหนึ่ง มือวางไพล่อยู่ด้านหลัง แววตาเย็นชา ทั่วทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของความหยิ่งทะนงประหนึ่งดูแคลนทั้งใต้หล้าออกมา
ในอาณาเขตของเขายังจะกล้าเหิมเกริมเช่นนี้…ใต้เท้าเจ้าเมืองรู้สึกว่าอำนาจของตนเองถูกท้าทายอย่างรุนแรง เขาหรี่ตาลงอย่างเย็นชา “เจ้าคือผู้ใด ถึงกล้าวิ่งมาก่อเรื่องที่จวนเจ้าเมือง”
บุรุษผู้นั้นยืนอยู่ใต้หลังคาของทางเดิน ก้มมองเขาจากบนที่สูง จากนั้นเอ่ยตอบด้วยสำเนียงเมืองหลวงอย่างคล่องแคล่ว “ยืนมิเปลี่ยนนาม นั่งมิเปลี่ยนแซ่ จีหมิงซิว”
สมองของใต้เท้าเจ้าเมืองระเบิดดังบึ้มทันที ต่อจากนั้นในสมองก็มีเสียงวิ้งๆ ก้องกังวานไปมา เขาตกตะลึงนิ่งอึ้งครู่ใหญ่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นมาเหมือนไม่อยากจะเชื่อ “ท่านก็คือ…จีหมิงซิวหรือ”
อัครมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจอันดับหนึ่งในต้าเหลียง นายน้อยของตระกูลจี โหราจารย์แห่งชนเผ่าลึกลับ…จีหมิงซิวคนนั้นน่ะหรือ!
จีหมิงซิวเห็นทุกแววตาของเขา จากนั้นแสร้งถามทั้งที่ทราบอยู่แล้ว “ดูท่าเจ้าเมืองเย่ว์คงจะเคยได้ยินเกี่ยวกับตัวข้ามาบ้างสินะ”
เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ทั่วทั้งต้าเหลียง มีผู้ใดไม่เคยได้ยินนามของจีหมิงซิวบ้างเล่า นามของบุรุษผู้นี้โด่งดังยิ่งกว่าฮ่องเต้เสียอีก เขาชาญฉลาดมากเล่ห์ ลงมืออำมหิต ทำสิ่งใดล้วนเด็ดขาด…สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขายังเยาว์วัยยิ่งนัก คนมากมายตอนอายุเท่าเขาแม้แต่ตำแหน่งรองเจ้ากรมก็เป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เขากลับเป็นอัครมหาเสนาบดีมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว
ใต้เท้าเจ้าเมืองไม่คิดว่าการที่อีกฝ่ายก้าวเดินมาจนถึงวันนี้ได้อาศัยโชคเพียงอย่างเดียว
แต่จะว่าไปแล้วด่านเมืองผูเข้มงวดยิ่งกว่าวังหลวง กำแพงล้อมรอบด้วยคูเมือง เขาเข้าเมืองมาได้อย่างไรกัน
ช่างเถิด เข้ามาได้อย่างไรก็ช่าง ในเมื่อมาแล้วจะไล่คนออกไปก็คงไม่ได้แล้ว โบราณว่าไว้ดีนัก แม้แต่มังกรร้ายก็มิอาจข่มงูเจ้าถิ่น เขาเป็นอัครมหาเสนาบดีแล้วอย่างไร ที่แห่งนี้คือเมืองผู เขาเป็นเจ้าเมืองผู้ทรงอำนาจต้องกลัวขุนนางเมืองหลวงคนหนึ่งด้วยหรือ
เมื่อความคิดผุดขึ้นมาเช่นนี้ เสียงวิ้งอื้ออึงในสมองของใต้เท้าเจ้าเมืองก็ค่อยๆ เงียบลง ในหัวใจมีความกล้าผุดขึ้นมาเล็กน้อย จึงมองเขาอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยอย่างไม่รักษามารยาทนัก “ที่แท้ก็อัครมหาเสนาบดี มิทราบว่าอัครมหาเสนาบดีให้เกียรติมาเยือนจึงมิได้ออกไปต้อนรับ เสียมารยาทแล้วๆ มิทราบว่าอัครเสนาบดีมาเยือนยามค่ำมืดดึกดื่นด้วยเรื่องใด”
“เรื่องส่วนตัว” จีหมิงซิวตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
ผู้อื่นมักจะชอบแอบอ้างเรื่องส่วนรวมเพื่อทำเรื่องส่วนตัว แต่เขากลับกัน ไม่ปิดบังว่าเป็นเรื่องส่วนตัวสักนิด นี่ไม่ใช่เขาเห็นหน้าของตนเองใหญ่กว่าหน้าของราชสำนักหรือไร
แน่นอนว่าต่อให้เป็นหน้าของราชสำนัก เขาเย่ว์สิงซานคนนี้ก็ไม่ไว้หน้า เรื่องส่วนตัวหรือ เหอะ ญาติผู้น้องของฮ่องเต้แล้วอย่างไร เขายิ่งไม่ไว้หน้า!
ใต้เท้าเจ้าเมืองเอ่ยเสียดสี “มิทราบว่าเรื่องส่วนตัวอันใดจึงต้องลำบากให้อัครมหาเสนาบดีบุกมายังจวนเจ้าเมืองยามค่ำมืด แล้วยังจับบุตรสาวของผู้แซ่เย่ว์ไว้อีก อัครมหาเสนาบดีผู้เที่ยงธรรมแห่งราชสำนัก ลับหลังไม่เลือกวิธีการถึงเพียงนี้เลยเชียวหรือ”
จีหมิงซิวเลิกคิ้ว “ยังมีที่ไม่เลือกวิธีการยิ่งกว่านี้อีก เจ้าเมืองเย่ว์อยากเห็นหรือไม่เล่า”
“เจ้า…” ไร้ยางอายโดยแท้!
ใต้เท้าเจ้าเมืองแอบมองประตูห้องที่แง้มปิดไว้อย่างไม่ให้ถูกจับได้ ลางสังหรณ์บอกเขาว่า ด้านในมีคนอยู่ เขากำหมัดแน่นแล้วถามอย่างเย็นชา “สัตบุรุษไม่พูดยอกย้อน เจ้าจะเอาอย่างไรก็ว่ามา”
จีหมิงซิวตอบ “ส่งตัวทูตเยี่ยหลัวมา”
ใต้เท้าเจ้าเมืองหัวเราะหยัน “การไล่ล่าคนเยี่ยหลัวเป็นเรื่องส่วนตัวของท่านอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่เมื่อใด”
จีหมิงซิวถามเรียบๆ “เจ้าจะส่งมาหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าเมืองแววตาวูบไหว
จีหมิงซิวแค่นเสียงดังเหอะ “ดูท่าเจ้าจะไม่ต้องการชีวิตบุตรสาวของเจ้าแล้ว เสี่ยวเวย ลงมือ”
นัยน์ตาของใต้เท้าเจ้าเมืองหดวูบ “จีหมิงซิวเจ้ากล้า! เจ้าเป็นอัครมหาเสนาบดี! เจ้าจะฆ่าผู้บริสุทธิ์ส่งเดชได้อย่างไร เจ้ายังคู่ควรเป็นขุนนางอยู่หรือไม่! เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่! หากเจ้ากล้าแตะบุตรสาวข้าแม้แต่เส้นขน ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้ก้าวออกไปจากเรือนหลังนี้!”
จีหมิงซิวไม่ถูกเขายั่วโทสะแม้แต่น้อย เขาก้าวลงบันไดมาอย่างเชื่องช้าจนมาถึงตรงหน้าเขา แววตาลึกล้ำจ้องมองเขา “จะส่งคนมาให้ หรือไม่ให้ อย่าท้าทายความอดทนของข้า คนที่เคยท้าต่างจ่ายค่าชดใช้กันมาหมดแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าเมืองถูกดวงตาลึกล้ำดุจทะเลสาบคู่นั้นมองจนลำคอตีบตัน ดูจากแรงกดดันที่บดขยี้ลงมานี่ อีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น เขาเป็นคนเด็ดเดี่ยวนัก ไม่ว่าสิ่งใดก็คงลงมือทำได้จริง ไม่รู้จริงๆ ว่าคนเยี่ยหลัวพวกนั้นไปล่วงเกินอัครมหาเสนาบดีคนนี้ได้อย่างไร!
“พวกเขาเอาป้ายคำสั่งเดินทางไปที่ด่านแล้ว ต่อให้ข้าออกคำสั่งตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าจะทัน”
“เดินทางไปนานเท่าไรแล้ว” จีหมิงซิวถาม
“สองเค่อ” ใต้เท้าเจ้าเมืองตอบ
จีหมิงซิวจ้องเขา “จากที่นี่เดินทางไปประตูเมืองทิศเหนือใช้เวลาเท่าใด”
ใต้เท้าเจ้าเมืองตอบว่า “หวดแส้เร่งม้าครึ่งชั่วยามก็พอ ทว่า…” ใต้เท้าเจ้าเมืองนึกถึงข้อมูลที่บ่าวรับใช้มารายงาน “ในหมู่พวกเขาเหมือนจะมีคนป่วยอยู่คนหนึ่ง คงเดินทางได้ไม่เร็วนัก ข้าจะลองขัดขวางดู แต่ข้ารับประกันไม่ได้ว่าจะขวางได้สำเร็จ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องมีตัวประกันสักคน หากเจ้ากล้าเล่นตุกติก…”
คำพูดต่อจากนั้น จีหมิงซิวไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ใต้เท้าเจ้าเมืองย่อมฟังเข้าใจ หากเขากล้าไม่ทุ่มเต็มกำลัง ชีวิตบุตรสาวของเขาก็จะอยู่ถึงแค่คืนนี้เท่านั้น
“ข้าจะเป็นตัวประกันของเจ้าเอง!”
เด็กหนุ่มดวงหน้าหล่อเหลาคนหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลังกลุ่มคน “น้องสาวข้าร่างกายอ่อนแอ ออกไปข้างนอกจะล้มป่วย พวกเจ้าจับตัวข้าไว้เถิด”
ใต้เท้าเจ้าเมืองเอ็ดเบาๆ “เจ้าใหญ่ เจ้าเลอะเลือนอะไร! รีบกลับไปเสีย!”
คุณชายใหญ่เย่ว์ตอบว่า “มีแต่ให้ข้าไปกับพวกเขา พวกเขาจึงจะเชื่อว่าท่านพ่อจะพยายามเต็มกำลัง”
พยายามเต็มกำลังแล้วอย่างไร หากไล่ตามไม่ทัน เจ้าก็ตกอยู่ในอันตรายสิ!
แม้จะเพิ่งได้พบหน้ากันเพียงหนเดียว แต่ใต้เท้าเจ้าเมืองก็ไม่คิดว่าจีหมิงซิวเป็นคนดี บางทีก่อนหน้านี้เขาอาจจะเป็น แต่คืนนี้ไม่รู้ว่าเขาถูกยั่วโทสะอย่างไร คนจึงมีแต่มวลความเย็นยะเยือกมหาศาลห้อมล้อมอยู่
“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็เจ้า” จีหมิงซิวเอ่ยตอบ
ใต้เท้าเจ้าเมืองส่งทหารม้าที่เก่งที่สุดออกเดินทางไปทันที เขาควบม้าไม่หยุดพักรีบเร่งไล่ตามคนเยี่ยหลัวกับแม่ทัพเสิ่นไป ส่วนตนเองพาขบวนคนกลุ่มหนึ่งอันได้แก่ นักรบมรณะสี่คน ทหารฝีมือเยี่ยมหกนาย ฉากหน้าเขาเหมือนจะคอยคุ้มกันจีหมิงซิวกับเฉียวเวยเดินทางไปยังประตูเมืองทิศเหนือ แต่ความจริงแล้วเขาทำเช่นนี้เผื่อว่าคนเยี่ยหลัวเกิดออกไปพ้นเมืองแล้ว พวกเขาโมโหจะสังหารบุตรชายของตนขึ้นมา ตนจะได้แย่งตัวบุตรชายกลับมาจากมือของพวกเขาได้
ส่วนหลังจากแย่งกลับมาแล้ว…
ควรจะชำระหนี้แค้นอย่างไรก็ต้องชำระหนี้แค้นเช่นนั้น!
…
—————————————–