ตอนที่ 440-2 แม่ลูกพานพบ
Ink Stone_Romance
หลังเดินทางออกมาจากจวนเจ้าเมืองเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดชาวเยี่ยหลัวก็มาถึงประตูเมืองทิศเหนือ ขอเพียงผ่านประตูบานนี้ไปก็จะเข้าเขตแดนของเผ่าซยงหนีว์แล้ว พูดถึงความคุ้นเคยกับเผ่าซยงหนีว์ จีหมิงซิวย่อมสู้พวกเขาไม่ได้ ถึงตอนนั้นพวกเขาย่อมเหมือนปลาได้น้ำ
หลังเที่ยงคืน ประตูเมืองปิดสนิท
แม่ทัพเสิ่นแสดงตราเจ้าเมือง ออกคำสั่งให้ทหารที่เฝ้าประตูเมืองเปิดประตูแล้วทอดสะพาน
ในตอนที่ทหารรักษาการณ์ทั้งหลายกำลังร่วมแรงกันเปิดประตูเมืองนั่นเอง ทหารม้าที่ใต้เท้าเจ้าเมืองส่งมาก็มาถึง
ทหารม้าคนนี้เป็นคนสนิทของเจ้าเมือง ดึกดื่นเที่ยงคืนเดินทางมาถึงที่นี่คงไม่ใช่ว่าเจ้าเมืองมีคำสั่งด่วนอันใดหรอกกระมัง
แม่ทัพเสิ่นกระตุกสายบังเหียนบังคับม้าเข้าไปหา ทหารม้ารั้งสายบังเหียนแล้วค้อมกายคำนับแม่ทัพเสิ่นทั้งที่นั่งอยู่บนหลังม้า หลังจากนั้นจึงกระซิบรายงานข้างหูแม่ทัพเสิ่นหลายประโยค
ชางจิวมองทั้งสองคนด้วยความสงสัย หัวคิ้วขมวดมุ่นอย่างห้ามไม่ได้
ทันใดนั้นแม่ทัพเสิ่นก็กระตุกม้าวิ่งกลับมา “ช้าก่อน…”
ทหารที่กำลังเปิดประตูเมืองหยุดชะงัก
ฮองเฮาที่หลับตาพักผ่อนอยู่ปรือตาขึ้นมาน้อยๆ
ชางจิวขี่ม้าเข้าไปถามแม่ทัพเสิ่นว่า “ท่านแม่ทัพ นี่หมายความว่าอย่างไร”
แม่ทัพเสิ่นตอบอย่างรักษามารยาท “ใต้เท้าเจ้าเมืองมีเรื่องด่วนต้องการพบพวกท่าน ขอพวกท่านรอก่อนสักครู่”
ชางจิวเหลือบมองฮองเฮาที่อยู่ด้านในรถม้าอย่างไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็น
ฮองเฮาเลิกม่านรถม้าขึ้นแล้วส่ายหน้าน้อยๆ
ชางจิวตอบว่า “พวกข้ากำลังรีบเดินทางจริงๆ ท่านก็เห็นแล้ว ขุนนางคนสำคัญของพวกข้าป่วยอยู่ ต้องการหมอรักษา ในเขตของเผ่าซยงหนีว์ฝั่งนั้นมีหมอชื่อดังอยู่คนหนึ่ง พวกข้าตั้งใจว่าจะไปพบเขา มิสู้เอาเช่นนี้ ข้าจะทิ้งคนไว้ที่นี่สักคน เจ้าเมืองมีสิ่งใดต้องการสั่งก็บอกกับเขาไว้ เขาจะนำคำพูดของท่านเจ้าเมืองกลับไปบอกอย่างไม่ตกหล่น หากต้องการให้พวกข้ากลับมา รอให้ตรวจรักษาเสร็จแล้ว พวกข้าก็จะย้อนกลับมาคารวะเจ้าเมืองที่เมืองผูใหม่อีกหน ท่านแม่ทัพคิดเห็นเช่นไร”
แม่ทัพเสิ่นยิ้ม “แต่ใต้เท้าเจ้าเมืองบอกว่าเรื่องนี้หาใช่เรื่องเล็ก จำเป็นต้องรายงานต่อหน้าฮองเฮา ได้โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย”
น้ำเสียงของชางจิวเริ่มเย็นชาแล้ว “ท่านแม่ทัพหมายความว่าคืนนี้คิดจะรั้งพวกเราไว้ที่นี่หรือ”
แม่ทัพเสิ่นเห็นน้ำเสียงของเขาเย็นชาขึ้นมาแล้ว ท่าทีของตนเองจึงเย็นชาขึ้นบ้างสามส่วน “รอเจ้าเมืองมาถึง กล่าวสิ่งที่ต้องกล่าวจบแล้ว ย่อมปล่อยพวกท่านเดินทางออกไป”
ชางจิวแค่นเสียงหยันดังเหอะ “เงินพวกเจ้าก็เอาไปแล้ว นักรบมรณะก็ไปอยู่ในมือแล้ว จะกลับคำเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าของแม่ทัพเสิ่นหายไปจนหมดสิ้น “คำพูดเหล่านี้เจ้าเก็บไว้กล่าวกับเจ้าเมืองเถิด ข้าเพียงรับหน้าที่มารั้งพวกเจ้าไว้ที่นี่นั้น”
“หากพวกเราดึงดันจะออกไปเล่า” ชางจิวตอบ
“ถ้าเช่นนั้นก็อย่าโทษผู้แซ่เสิ่นลงมือไร้ไมตรี” แม่ทัพเสิ่นกล่าวจบ ดวงตาพลันทอประกายดุดัน มือหนึ่งแตะบนด้ามกระบี่ ส่วนอีกมือหนึ่งชูขึ้น “ปิดประตูเมือง…”
สิ้นคำพูดของเขา ชางจิวก็เงื้อฝ่ามือซัดผ่านอากาศ กระแทกทหารทั้งหมดที่พยายามจะปิดประตูเมืองกระเด็นลอยไปฟุบอยู่บนพื้น
สีหน้าของแม่ทัพเสิ่นถมึงทึงในพริบตา เขาชักกระบี่เล่มงามออกมาประมือกับชางจิว
ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินเสียงเอะอะจึงทยอยรีบเร่งมาสมทบ ทั้งสองฝ่ายจึงสู้กันอุตลุด
พวกแม่ทัพเสิ่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชางจิวกับนักรบมรณะทั้งหลาย แต่ความที่พวกเขามีคนมาก จึงยังถ่วงเวลาได้อยู่พักใหญ่ เมื่อพวกจีหมิงซิวรีบเร่งเดินทางมาถึง ชาวเยี่ยหลัวก็เพิ่งจะฝ่าออกจากประตูเมืองไปได้
ใต้เท้าเจ้าเมืองเห็นสภาพระเนระนาดกับแม่ทัพเสิ่นที่นอนเจ็บปวดจนเหงื่อกาฬแตกพลั่กอยู่กลางแอ่งเลือด ก็พลิกกายลงจากม้าเดินเข้าไปถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ท้องของแม่ทัพเสิ่นถูกกระบี่แทงทะลุ โลหิตทะลักออกมา เขากุมปากแผลตอบอย่างยากลำบากว่า “ข้าน้อยไร้ความสามารถ…ขวางพวกเขาเอาไว้ไม่ได้…”
ใต้เท้าเจ้าเมืองขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”
นักรบมรณะกลุ่มนั้นวรยุทธ์สูงส่งอย่างยิ่ง แม่ทัพเสิ่นจะสู้ชนะได้อย่างไร หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตนเองระมัดระวังไม่พอ หากให้แม่ทัพเสิ่นพานักรบมรณะมาด้วยสักสองสามคน บางทีอาจรั้งพวกเขาเอาไว้สำเร็จก็ได้
ความจริงแล้วคืนนี้ใต้เท้าเจ้าเมืองไม่ได้คิดจะขายคนเยี่ยหลัวจริงๆ เขาเพียงต้องการจะตะล่อมพวกจีหมิงซิวให้ใจเย็นลงก่อน รอจนพบคนเยี่ยหลัว ช่วยบุตรชายของตนมาได้แล้ว ค่อยร่วมมือกับคนเยี่ยหลัวสังหารพวกจีหมิงซิวทั้งหมดเสีย แต่เขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าคนเยี่ยหลัวกลุ่มนี้จะเหี้ยมถึงเพียงนี้ สังหารทหารของพวกเขาไปมากมายขนาดนี้!
เฉียวเวยมองซากศพบนพื้น จริงๆ แล้วพวกเขาจะไม่ระแวงเจ้าเมืองเย่ว์ได้อย่างไร นางอุตส่าห์ปั้นแต่งคำโกหกเหมาะๆ ทำนองว่า ‘ข้าวางยาพิษบุตรสาวของเจ้าไว้แล้ว ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ยิงธนูใส่หลังของข้า ไม่เช่นนั้นหากไม่มียาแก้พิษของข้า บุตรสาวของเจ้าจะไม่มีวันได้เห็นดวงตะวันของวันพรุ่งนี้’ ไว้แล้ว แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้า เหมือนจะ…ไม่จำเป็นต้องใช้แล้วกระมัง
ใต้เท้าเจ้าเมืองมีเพลิงโทสะสุมเต็มอก ไม่จำเป็นต้องให้จีหมิงซิวกับเฉียวเวยสุมอะไรเข้าไปอีกแล้ว เขาพาทหารชั้นยอดกองหนึ่งกับนักรบมรณะดาบยาวสี่คนไล่ตามไปพร้อมกับไอสังหารที่พวยพุ่ง!
เฉียวเวยล้วงห่อกระดาษน้ำมันกันน้ำห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วหยิบยาขวดหนึ่งออกมาโยนให้แม่ทัพเสิ่น “ห้ามเลือดไว้ แล้วให้คนพาคุณชายบ้านเจ้ากลับไปด้วย”
กล่าวจบก็ทิ้งคุณชายใหญ่เย่ว์เอาไว้ ก่อนจะควบอาชาออกจากประตูเมืองไปด้วยกันกับจีหมิงซิว
ใต้เท้าเจ้าเมืองไล่ตามชาวเยี่ยหลัวทันแล้ว นักรบมรณะดาบยาวสี่คนของเขาเข้าโรมรันกับนักรบมรณะดาบยาวสี่คนของอีกฝ่าย ชั่วขณะหนึ่งยากจะตัดสินแพ้ชนะ
องครักษ์ของเยี่ยหลัวต่อกรกับทหารชั้นยอดหกคน ตัวใต้เท้าเจ้าเมืองเองก็ประมือกับชางจิว
ตอนนี้ฟู่เสวี่ยเยียนกับฮองเฮานั่งนิ่งสงบอยู่นรถม้า แต่ความนิ่งสงบนี้แตกละเอียดในชั่วพริบตาที่จีหมิงซิวกับเฉียวเวยมาถึง
“ท่านแม่!” จิ่งอวิ๋นมองเห็นเฉียวเวยแล้ว
เฉียวเวยหัวใจสั่นระริก น้ำตาเกือบจะไหลออกมา!
ครึ่งเดือนแล้ว…
นางไม่ได้พบหน้าพวกเขามาครึ่งเดือนแล้ว…
“น้องสาวของเจ้าเล่า”
เฉียวเวยชักกริชแล้วกระโดดลงมา
จิ่งอวิ๋นตอบ “น้องก็อยู่ขอรับ!”
อยู่ก็ดี อยู่ก็ดีแล้ว…
พวกเจ้ารอก่อน ตอนนี้แม่มาช่วยพวกเจ้าแล้ว
เฉียวเวยพุ่งไปทางรถม้าคันที่สอง ทว่าชั่วพริบตานั้นผ้าแดงผืนหนึ่งพลันพุ่งมาจากในตัวรถม้าคันแรกแล้วรัดเอวของเฉียวเวยเอาไว้ เฉียวเวยวิ่งต่อไม่ได้ นางจึงตวัดกริชฟันใส่ผืนผ้าสีแดง!
แต่คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งจะลงมือ ผ้าแดงอีกผืนหนึ่งก็พุ่งเข้ามารัดมือขวาของนางไว้
ฟิ้วๆ!
ลูกดอกของจีหมิงซิวพุ่งเข้ามาแทงทะลุผืนผ้าสีแดงปานสายฟ้าแลบ
ในที่สุดเฉียวเวยก็ขยับได้ นางวิ่งมาจนถึงหน้ารถม้าจากนั้นพลิกมือคว้าหน้าต่างรถ ออกแรงกระชากเพียงหนเดียว ฝาผนังของตัวรถก็หลุดออกมาทั้งแถบ!
“ท่านแม่!” จิ่งอวิ่นโถมเข้ามาหาเฉียวเวย
เฉียวเวยเอื้อมมือออกไปหมายจะอุ้มเขา แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่ายังไม่ทันได้สัมผัส จิ่งอวิ๋นก็ถูกผ้าสีแดงผืนหนึ่งรัดฉกตัวไป
มือของเฉียวเวยคว้าได้แต่ความว่างเปล่า
วั่งซูที่นอนหลับอุตุอยู่ก็ถูกผืนผ้ารัดเอาตัวไปด้วยเช่นกัน
ฮองเฮาส่งเด็กทั้งสองคนให้ชางจิวกับฟู่เสวี่ยเยียน แล้วยิ้มเย็นชาบอกว่า “พวกเจ้าไปก่อน”
ชางจิวอุ้มจิ่งอวิ๋นหนีไปแล้ว
แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหว สุดท้ายก็อุ้มวั่งซูจากไปตามทางเส้นน้อยอีกเส้นหนึ่ง
ฮองเฮาคว้าธนูจันทร์โลหิตที่อยู่ด้านหลังขึ้นมาถือ
นี่คือธนูของราชครูคันนั้น หนนี้นางลักพาตัววั่งซูมาก็ถือโอกาสฉกหีบร้อยสมบัติของวั่งซูมาด้วย ด้านในมีธนูจันทร์โลหิตคันนี้อยู่
“เจ้าไปก่อน” จีหมิงซิวเอ่ยบอกด้วยสายตาจริงจัง
เฉียวเวยละล้าละลัง “แต่ท่าน…”
ธนูจันทร์โลหิตจะกระตุ้นพิษฝ่ามือที่อยู่ในร่างกายของเขา นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเหตุใดตอนนั้นพวกเขาจึงใช้ฝ่ามือเก้าสุริยันจัดการกับองค์หญิงเจาหมิง เพราะว่าหากต้องพิษฝ่ามือไปแล้วก็จะไม่มีวันแตะธนูจันทร์โลหิตได้อีกต่อไป
จีหมิงซิวหันไปมองฮองเฮาด้วยสายตาเย็นชา เขายืนบังหน้าเฉียวเวยอย่างไม่หวั่นเกรงแม้สักนิด “เชื่อข้า เจ้าตามลูกไป”
—————————————–