ตอนที่ 441-2 ได้รับการช่วยเหลือ สังหารราชันอสูร
ทว่ากำลังพลหนึ่งร้อยคนนี้ ฟาดฟันกันไม่กี่หนก็ล้มตายใต้เงื้อมมือของนักรบมรณะดาบยาวเหล่านั้นไปมากกว่าครึ่ง
ใต้เท้าเจ้าเมืองโกรธจนกัดฟันกรอด!
ในที่สุดเขาก็มองออกแล้ว แม้จะเป็นนักรบมรณะดาบยาวเหมือนกัน แต่พวกที่นางปีศาจเฒ่าคนนั้นมอบให้ตนเองมาวรยุทธ์ไม่สูงนัก พวกที่วรยุทธ์สูงที่สุด นางเก็บไว้ใช้เองทั้งหมด!
“เอาตัวนางมาให้ข้า!”
ใต้เท้าเจ้าเมืองออกคำสั่ง ทหารทั้งหลายที่เดิมทีกำลังต่อสู้โรมรันกับพวกนักรบมรณะอยู่รีบเปลี่ยนทิศทาง บุกโจมตีไปทางฮองเฮา
ฮองเฮาขึงตา ริมฝีปากใต้ผ้าปิดหน้าบิดโค้งน้อยๆ เป็นรอยยิ้มเหยียดหยัน นางง้างคันธนูเบาๆ เพียงหนึ่งหน ผู้คนก็ล้มลงเกลื่อนกลาดเต็มพื้น
ใต้เท้าเจ้าเมืองตาโตอ้าปากค้างมองคันธนูที่ไม่มีแม้แต่ลูกศรคันนั้น “นี่…หรือว่านี่คือ…ธนูจันทร์โลหิตในตำนาน”
ฮองเฮาไม่เห็นพวกลูกกระจ๊อกเหล่านี้ในสายตาแม้แต่น้อย นางอมยิ้มหันไปมองจีหมิงซิวต่อ “ยังไม่ยอมแพ้แต่โดยดีอีกหรือ”
มุมปากของจีหมิงซิวมีเลือดไหลรินลงมา เขาเช็ดออกนิ่งๆ แล้วมองนางด้วยสีหน้าเย็นชา “ที่แท้เจ้าก็มีความสามารถเพียงเท่านี้ คิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าพระสนมอานเฟยเสียอีก ที่แท้ก็มีดีแค่นี้”
รอยยิ้มของฮองเฮาเย็นชาขึ้นกว่าเดิม “เจ้ารังเกียจที่ตนเองมีชีวิตยืนยาวเกินไปใช่หรือไม่”
จีหมิงซิววางท่าไม่ยี่หระ “เช่นกัน”
ฮองเฮาไม่เสียเวลาพร่ำพูดกับเขาอีก นางง้างสายธนูกว้าง ยิง ‘ลูกธนู’ ออกมาอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ฟึบ!
จีหมิงซิวบังลูกธนูแทนเฉียวเวยไปหนึ่งดอกแล้ว หากรับอีกหนึ่งดอก ไม่ตายก็คงต้องเสียหนังไปสักชั้น
คิดไม่ถึงว่าชั่วพริบตาที่นางง้างธนู ร่างตุ้ยนุ้ยเล็กจ้อยก็ลอยมาจากด้านหลังของตน นางลอยเป็นเส้นโค้งอันงดงามกลางอากาศ ก่อนจะร่วงมาอยู่ในอ้อมแขนของจีหมิงซิวอย่างเหมาะเจาะพอดี
เจ้าตุ้ยนุ้ยถูกมารดาบังเกิดเกล้าโยนมาทั้งที่ดวงตายังหลับอยู่
จีหมิงซิวเห็นเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขน หัวใจก็พลันบังเกิดความรู้สึกอ่อนโยนสายหนึ่ง
วั่งซูกับเฉียวเวยหน้าตาเหมือนกัน เห็นก็ทราบทันทีว่าเป็นแม่ลูกกัน ใต้เท้าเจ้าเมืองกะพริบตาอย่างฉงนงงงวย รู้สึกว่าตรงไหนไม่ถูกต้องสักอย่าง!
ฮองเฮาหรี่ตาลง สายตาจับบนร่างของวั่งซู แล้วไม่รู้ว่าคิดอะไร นางจึงง้างธนูจันทร์โลหิตอีกหน
หลังจากนั้น ภาพอันแปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้นแล้ว
ใต้เท้าเจ้าเมืองมองเห็นจีหมิงซิวยกร่างกลมป้อมน้อยๆ ร่างนั้นขึ้นบัง ข้าบัง ข้าจะบัง บัง บัง!
ในที่สุดใต้เท้าเจ้าเมืองก็รู้แล้วว่าตรงไหนไม่ถูกต้อง มารดามันเถอะ! นี่เป็นลูกแท้ๆ จริงหรือไม่!
เจ้าตุ้ยนุ้ยตัวน้อยหลับอย่างสบายอกสบายใจ
แต่ฮองเฮาโกรธจนจะอกแตกตายแล้ว
มีเจ้าตุ้ยนุ้ยตัวน้อยอยู่ ธนูจันทร์โลหิตก็เป็นได้แค่ของประดับเท่านั้น
เฉียวเวยเห็นเจ้าตุ้ยนุ้ยหยุดธนูจันทร์โลหิตไว้ได้แล้วก็ชักกริชออกมาอย่างเงียบๆ การลอบโจมตียอดฝีมือย่อมไร้ประโยชน์ แต่นั่นก็แล้วแต่จังหวะ เมื่อคนผู้หนึ่งจิตใจสับสนว้าวุ่น ลมปราณไม่สงบ โอกาสที่จะลอบโจมตีสำเร็จก็เพิ่มขึ้นมาก
เฉียวเวยอ้อมรถม้า หมายจะอาศัยรถม้าบดบัง ลอบโจมตีอีกฝ่ายให้ถึงชีวิตในคราวเดียว คิดไม่ถึงว่าในตอนที่นางเพิ่งจะเข้าใกล้รถม้า นางก็ได้ยินเสียงหอบหายใจหนักๆ ดังออกมาจากด้านในรถ
เสียงหอบหายใจนั่นฟังคล้ายเสียงครางของคนป่วย ทว่ากลับมีกลิ่นอายที่ขวนให้คนขนลุกชันทั้งที่อากาศไม่หนาวแฝงอยู่ด้วย ขนอ่อนของเฉียวเวยลุกซู่
นางหันไปมองหน้าต่างรถม้า แม้จะกั้นด้วยผ้าม่านหนา แต่นางก็ได้ยินเสียงสูดหายใจหนักๆ ที่ฟังดูทุ้มต่ำและอันตรายของอีกฝ่าย
โลกทั้งใบเหมือนหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงของเขา
ชั่วขณะที่ยังตั้งสติไม่ได้ เฉียวเวยรู้สึกเหมือนในรถมีสัตว์ร้ายขนาดยักษ์ตัวหนึ่งนอนหลับใหลอยู่ สัตว์ยักษ์จวนเจียนจะตื่นแล้ว หากเขาตื่นขึ้นมา ทุกคนคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
เฉียวเวยตัดสินใจเลิกล้มการลอบโจมตีทันที นางวิ่งกลับไปด้านหลังจีหมิงซิวแล้วบอกว่า “แย่แล้ว พวกเขายังมียอดฝีมืออยู่อีกคนหนึ่ง!”
ยอดฝีมือ…
สายตาของจีหมิงซิวหันไปมองรถม้าคันนั้น ตอนที่มาถึงที่แห่งนี้เขาก็รู้สึกถึงลมปราณอันแข็งแกร่งไม่ธรรมดาสายหนึ่งแล้ว แต่เขาคิดว่ามันเป็นลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวของฮองเฮา ทว่าดูจากที่เสี่ยวเวยพูด เหมือนว่าจะเป็นของคนผู้นั้นด้านในรถม้า…
“คนที่เจ้าบอกว่าป่วยคนนั้นก็คือเขาหรือ” จีหมิงซิวหันไปมองเจ้าเมือง สายตากวาดไปทางรถม้าคันที่สาม
ตอนนี้ใต้เท้าเจ้าเมืองหันมาเป็นพวกเดียวกับจีหมิงซิวแล้ว เขาไม่ปิดบังซ่อนเร้นอะไรทั้งสิ้น เขาสงบใจลองสัมผัสลมปราณของอีกฝ่ายอยู่พักหนึ่ง ก็เอ่ยอย่างฉงน “ใช่เขา…แต่ก็เหมือนไม่ใช่เขา…เมื่อกลางวันลมปราณของเขาแข็งแกร่งมาก ตอนนี้…ดูเหมือนจะอ่อนแอลงไม่น้อย”
เฉียวเวย อะไรนะ
นี่คือสภาพที่อ่อนแอลงไม่น้อยแล้วหรือ
แต่นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลมปราณของอีกฝ่ายใกล้จะแตะถึงขั้นราชันอสูรแล้วนะ
“อ่อนแอลงมาครึ่งหนึ่ง” ใต้เท้าเจ้าเมืองว่าต่อ
อ่อนแอลงมาครึ่งหนึ่ง ไยไม่เท่ากับว่าตอนนี้เขามีกำลังภายในเพียงห้าส่วน กำลังภายในเพียงห้าส่วนก็ใกล้จะแตะถึงระดับลมปราณของราชันอสูรแล้ว หากอยู่ในสภาพสมบูรณ์เต็มที่…เรื่องหลังจากนั้น เฉียวเวยไม่กล้าแม้แต่จะคิด
พลังของราชันอสูรไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้
แผนการตอนนี้คงทำได้เพียงถอยหนีแล้ว
เฉียวเวยหันไปมองจีหมิงซิว แต่จีหมิงซิวกลับหรี่ตาลงแล้วส่งวั่งซูให้เฉียวเวย ก่อนจะบรรจุลูกดอกใส่หน้าไม้พิฆาตเทวาหลายดอก
“ท่านคิดจะทำอะไร” เฉียวเวยแววตาสั่นไหว
แววตาของจีหมิงซิวฉายประกายลุ่มลึก “ฉวยโอกาสที่เขาป่วย เอาชีวิตเขาเสีย”
จะปล่อยให้เขาเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูรไม่ได้ พลังของคนผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป เหนือกว่าพระสนมอานเฟยที่พวกเขาสู้ด้วยอยู่มาก หากเขาเลื่อนขั้นขึ้นมา เกรงว่าบนโลกใบนี้คงไม่มีผู้ใดทำอันใดเขาได้แล้ว
เฉียวเวยรู้ว่าจีหมิงซิวไม่เคยเหลือทางรอดไว้ให้ศัตรู เรื่องอย่างการสังหารศัตรูหนึ่งพัน ตนเองเสียกำลังพลแปดร้อยคือเรื่องที่เขาจะทำ เขายินดีเสี่ยงเพื่อจะเหยียบย่ำศัตรูทีเดียวให้แหลกลาญ!
ตัวเฉียวเวยเองไม่มีความกล้าหาญเท่าเขา แต่ในเมื่อเขาเลือกเดินก้าวนี้ออกมาแล้ว นางก็มีแต่ต้องร่วมมือกับเขาเท่านั้น “ข้าจะไปถ่วงเวลานางไว้ ท่านไปจัดการนักรบมรณะคนนั้น“
จีหมิงซิวพยักหน้า จากนั้นเดินมุ่งหน้าไปยังรถม้าพร้อมกับแววตาลุ่มลึก
ฮองเฮาเหมือนจะค้นพบแผนการของทั้งสองคนแล้ว นางเปลี่ยนทิศพุ่งมาหาจีหมิงซิว
เฉียวเวยอุ้มเจ้าตุ้ยนุ้ยก้าวพรวดไปขวางหน้านางไว้ “ไม่พบกันนานนะเจ้าคะ ท่านน้า”
ตอนที่จีหมิงซิวเดินผ่านรถม้าคันที่สอง เขาหิ้วตะเกียงน้ำมันติดมือมาด้วย เขาราดน้ำมันตะเกียงลงบนหัวลูกดอกแล้วจุดไฟ ยิงไปยังรถม้าคันที่สาม ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!
รถม้าคันที่สามติดไฟอย่างรวดเร็ว!
“อ้ากกก”
เสียงคำรามแผ่วเบาทุ้มต่ำดังออกมาจากในรถม้า เสียงนี้ไม่นับว่าดังมาก แต่มันกลับแฝงกำลังภายในเอาไว้เต็มเปี่ยม ทุกคนล้วนวางอาวุธงแล้วยกมือปิดหู พวกเขารู้สึกราวกับว่าแก้วหูกำลังจะถูกอัดกระแทกจนฉีกขาด…
จีหมิงซิวยิงลูกดอกติดกันอีกสามดอก หนนี้ไม่เพียงแต่ตัวรถม้า แม้แต่หลังคารถก็ติดไฟด้วยแล้ว
ในที่สุดคนผู้นั้นก็ถูกยั่วจนโมโห