เล่ม 1 ตอนที่ 442-1 ชนะศึก (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 442-1 ชนะศึก (1)

ชั่วพริบตาที่ตัวรถระเบิด คนผู้นั้นก็ทะยานออกมาราวกับเงาภูตผี เขาสวมหน้ากากสีดำกับอาภรณ์สีดำสนิทแทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับรัตติกาล แม้แต่ยามที่แสงเปลวเพลิงตกต้องบนร่างเขาก็ประหนึ่งส่องถูกความมืดมิด

นับตั้งแต่พริบตาที่เขาปรากฏตัว เฉียวเวยก็รู้แล้วว่าพวกเขาไร้หนทางชนะ

ตอนที่เขาหลับใหลลมปราณก็แข็งแกร่งมากแล้ว หลังจากตื่นลมปราณยิ่งเพิ่มพูนขึ้นอีกหลายเท่าตัว

นี่คือคนป่วยที่กำลังภายในลดเหลือห้าส่วนคนหนึ่งจริงหรือ

เฉียวเวยอยากขยับตัว แต่กลับพบว่าตนเองขยับไม่ได้แม้แต่น้อย

อีกแล้ว นางถูกผู้อื่นใช้กำลังภายในข่มไว้เช่นนี้อีกแล้ว

หนก่อนตอนอยู่ในวังหลวง ราชันอสูรคนนั้นใช้นิ้วเพียงนิ้วเดียวกดนางตรึงไว้กับกำแพง

แต่นักรบมรณะคนนี้ที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นราชันอสูรหรือไม่ เขาก็ครอบครองพลังที่ทัดเทียมกับราชันอสูรแล้ว…

หมิงซิวพูดไม่ผิด จะปล่อยให้เขาเลื่อนขั้นไม่ได้

มิเช่นนั้น ต่อให้มารดาของนางออกโรงเองก็ไม่แน่ว่าจะทำอันใดเขาได้

แต่จะหยุดเขาอย่างไรเล่า

ตนเองถูกตรึงเอาไว้นิ่งสนิท ไม่ใช่เพียงนางเท่านั้น นางใช้ปลายหางตากวาดมองก็พบว่าใต้เท้าเจ้าเมืองก็ถูกสะกดไว้กับที่เฉกเช่นเดียวกัน ใต้เท้าเจ้าเมืองกุมกระบี่เล่มงาม ทว่าแขนกลับสั่นเทาขยับอย่างยากลำบาก ประหนึ่งว่าพยายามจะดิ้นหลุดจากการตรึงสะกดของอีกฝ่ายแล้ว แต่มิว่าจะพยายามเช่นไรก็ไร้ประโยชน์

เมื่อหันไปมองทหารเหล่านั้น พวกเขาทนรับกำลังภายในอันแข็งแกร่งสายนี้ไม่ไหว ร่วงลงไปนอนครวญครางกับพื้นกันเป็นทิวแถวนานแล้ว

ส่วนนักรบมรณะดาบยาวแปดคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นของเจ้าเมืองหรือของชาวเยี่ยหลัว ทั้งหมดราวกับถูกผีเข้า ยืนนิ่งงันอย่างพร้อมเพรียง

สถานการณ์ตอนนี้สองคนที่ยังขยับได้อยู่ก็คือฮองเฮากับจีหมิงซิว

ทว่าทุกชั่วลมหายใจที่จีหมิงซิวฝืนต้าน พิษฝ่ามือในร่างก็จะถูกกระตุ้นขึ้นมาหนึ่งส่วน เขาต้านไว้ไม่ง่ายนัก

ทว่าเมื่อไม่มีเฉียวเวยคอยขัดขวางฮองเฮา ฮองเฮาก็เข้ามาร่วมวงจัดการเขาด้วย

เฉียวเวยอยากจะฆ่าคนยิ่งนัก ต้องรังแกคนอื่นขนาดนี้เชียวหรือ ต้องขนาดนี้เชียวหรือ!

ในตอนที่ฟันขาวแวววาวของเฉียวเวยแทบจะขบกันจนแหลกนั่นเอง เจ้าตุ้ยนุ้ยในอ้อมแขนก็ขยับตัว นางยกมือน้อยอ้วนป้อมขึ้นมาเกาศีรษะ จากนั้นก็สะลึมสะลือหลับต่อ

เฉียวเวยตะลึงนิ่งไปทันที เจ้าตุ้ยนุ้ยตัวน้อยคนนี้ยังขยับตัวได้หรือ

นี่เจ้าตุ้ยนุ้ย รีบตื่นเร็วเข้า! ไปตีเจ้าคนเลวนั่นเร็ว!

ไม่สิ

ถึงปกติเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้จะนอนหลับลึกชนิดที่ฟ้าผ่าๆ ก็ไม่ตื่นก็จริง แต่คืนนี้เหมือนจะต่างจากปกติอยู่บ้าง ลมปราณของนาง…ดูประหลาดอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ไม่เหมือนว่าป่วย บนร่างของนางมีกลิ่นหอมประหลาดอย่างยิ่งสายหนึ่งแผ่ออกมา พอลองดมดูรู้สึกว่าคล้ายผลสองภพ แต่เมื่อดมอีกครั้งก็เหมือนจะยังมีสิ่งอื่นด้วย

สรุปก็คือเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้ไม่เหมือนกำลังหลับอยู่ แต่เหมือนกำลัง…เมาอยู่มากกว่า

ถ้าแบบนี้ก็ลำบากแล้ว

เจ้าอาจจะปลุกคนที่แกล้งหลับได้ แต่จะปลุกคนที่เมาอยู่จริงๆ ย่อมทำไม่ได้

ด้านนี้เฉียวเวยกำลังร้อนใจดั่งไฟเผา อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวก็เผชิญหน้ากับคนผู้นั้น

พอจีหมิงซิวหลุดออกมาจากการข่มสะกดของเขาได้ เขาก็ฟันฝ่ามือใส่จีหมิงซิวไวปานสายฟ้าแลบอย่างไร้ไมตรี

จีหมิงซิวประจันหน้ากับสายลมจากฝ่ามือของเขา

เฉียวเวยไม่กล้าดูแล้ว นางหลับตาลง ได้ยินเสียงเลือนลั่นดังสนั่นขึ้นเบื้องหน้า เมื่อลืมตาขึ้นมองไปยังจุดที่ทั้งทั้งสองประมือกันอีกหน ก็เห็นหลุมขนาดใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดของกำลังภายในของทั้งสองคนอยู่ตรงนั้น

ทั้งสองคนยืนอยู่นอกหลุมอย่างอหังการ

สายลมราตรีพัดชายแขนเสื้อของจีหมิงซิวดังพรึ่บพรั่บ ชายเสื้อสะบัดเริงระบำ แววตาลึกล้ำดุจทะเลสาบ

เฉียวเวยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจีหมิงซิวจะรับกระบวนท่านี้ของเขาได้ นางรู้มาตลอดว่าเขาเก่งกาจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเก่งกาจถึงขนาดสู้กับราชันอสูรได้ นี่ไยไม่เท่ากับว่าพลังของเขาก็แข็งแกร่งจนน่าหวาดกลัวเช่นกัน

เพียงแต่พิษฝ่ามือในร่างของเขา ส่งผลกระทบมากเกินไป…

เกรงว่า…คงจะต้านไว้ได้อีกไม่นานเท่าไร…

อีกฝ่ายไม่ได้มีเพียงราชันอสูรคนเดียว แต่ยังมีฮองเฮาอีกคนหนึ่งด้วย

ฮองเฮาง้างธนูจันทร์โลหิต ทว่าหนนี้นางกลับไม่ได้เล็งมาที่จีหมิงซิว แต่กลับใช้วิชาตัวเบาอ้อมมาที่ด้านหลังของเฉียวเวย

คิ้วของเฉียวเวยดีดผึง จะใช้วิธีการนี้มาทำลายสมาธิของหมิงซิวหรือ! ต่ำช้าจริงๆ!

ฮองเฮายกมุมปากเป็นรอยยิ้มเหยียดหยัน

สิ่งใดเรียกว่าเนื้อบนเขียง ก็เช่นนี้อย่างไรเล่า

เฉียวเวยขยับไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้นางยิงตามใจ

นางง้างธนูสุดสาย…

เฉียวเวยเหมือนได้ยินเสียงสายธนูดีดดังอื้ออึ้ง หัวใจบีบรัดอย่างฉับพลัน

ไม่มีใครคาดคิดว่าในช่วงเวลานี้เอง กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพลันลอยเข้ามากระแทกคันธนูของฮองเฮา

ธนูยิงเบี่ยงออกไป

เฉียวเวยกลอกลูกตาไปมอง สือชีหรือ!

สือชีใช้วิชาตัวเบาเหาะต้านกำลังภายในมหาศาลเข้ามาหาเฉียวเวย เท้าเขาแตะพื้นแทบจะเพียงชั่วพริบตาเดียวก็โอบเอวเฉียวเวยแล้วพาเฉียวเวยกับวั่งซูออกไปห่างร้อยก้าว ก่อนจะวางทั้งคู่ลงบนก้อนหินที่ค่อนข้างราบเรียบก้อนหนึ่ง

เฉียวเวยตระหนักได้ในพริบตาว่าตนเองขยับได้แล้ว นางมองไปยังทิศทางของประตูเมือง ไม่เห็นจีอู๋ซวง ไม่รู้ว่าเขาตามสือชีมาไม่ทันหรือสือชีมาเองตามลำพัง

ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาว้าวุ่นกับเรื่องนี้ สถานการณ์ตอนนี้มีคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งสองคน ต้องคิดว่าจะจัดการพวกเขาเช่นไรถึงจะถูก

ทันใดนั้น เฉียวเวยก็เห็นคันธนูในมือสือชี

นี่ย่อมเป็นธนูจันทร์โลหิตอีกคันหนึ่ง เป็นคันที่จิ่งอวิ๋นออกหน้ายืมมาจากมือของแม่ชีน้อยทั้งสาม ต่อมาก็ตกมาอยู่ในมือของฟู่เสวี่ยเยียน แล้วก็ถูกนางแย่งกลับมาอีก

เดินทางขึ้นเหนือหนนี้ พวกเขาย่อมพกมันมาด้วย ทว่าพวกเขาไม่ได้พกมันเข้ามาในเมืองผู แต่ทิ้งไว้กับองครักษ์ที่เมืองฉีสุ่ย คิดไม่ถึงว่าสือชีจะนำมาด้วย

นำมาด้วยย่อมดีแล้ว เพียงแต่ตอนนี้เจ้าตุ้ยนุ้ยยังเมามายอยู่ ธนูคันนี้…คงมีไว้ประดับเท่านั้น…

ระหว่างที่เฉียวเวยครุ่นคิด เบื้องหน้าก็พลันมีประกายแสงสีดำสว่างวาบ เงยหน้าขึ้นมาอีกหน ก็เห็นเงาร่างของสือชีเหินออกไปแล้ว

เขาไม่ได้เหินไปหาฮองเฮาและไม่ได้เหินไปหาราชันอสูรที่กำลังจะเลื่อนขั้น แต่ต้านกำลังภายในที่แทบจะทำให้อากาศจับตัวเป็นของแข็ง เหินข้ามฟ้าไปอยู่เหนือศีรษะของจีหมิงซิวจากนั้นโยนธนูจันทร์โลหิตให้เขา…

จีหมิงซิวรับธนูจันทร์โลหิตไว้อย่างแม่นยำ

หัวใจของเฉียวเวยสั่นสะท้าน ตกใจจนผุดลุกขึ้นมายืน

หมิงซิวคิดจะทำสิ่งใด….

จีหมิงซิวกำธนูไว้ในมือซ้ายอย่างมั่นคง นิ้วเย็นเฉียบประหนึ่งหยกของมือขวายกขึ้นน้าวสายธนู แววตาเย็นยะเยือกประหนึ่งบึงน้ำแข็งจ้องเขม็งบนร่างของคนผู้นั้น คล้ายกับว่าจะแช่แข็งพลังอำนาจของเขาในพริบตา

ทุกสิ่ง ณ ที่นั่น…นิ่งสนิท

แต่นิ่งอยู่ได้ไม่นานเท่าใด เสียงสายลมสลาตันก็หอบพัด เพียงชั่วพริบตาฝุ่นฟุ้งกระจายก้อนหินดีดกระเด็นจนมืดฟ้ามัวดิน สายลมโหมพัดจนทุกคนลืมตาไม่ขึ้น

มือข้างหนึ่งของเฉียวเวยกอดวั่งซูที่อยู่ในอ้อมแขนแน่น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งบังพายุทรายที่พัดมารุนแรงราวกับจะทิ่มแทงไปถึงกระดูก นางมองเห็นจีหมิงซิวน้าวสายธนูผ่านร่องนิ้ว