ตอนที่ 442-2 ชนะศึก (1)
ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา เมื่อเฉียวเวยกะพริบตาอีกหนแล้วมองไปยังฝั่งตรงข้าม สิ่งที่นางได้เห็นก็คือบุรุษที่ใกล้จะเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูรผู้นั้นถูกพลังอันน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งซัดปลิวออกไป ทั้งร่างเหมือนว่าวขาดสาย ควบคุมตนเองไม่ได้อีกต่อไป ก่อนจะโคลงเคลงร่วงดิ่งลงมา
ฮองเฮารับเขาเอาไว้ได้ทัน แล้วหันมามองจีหมิงซิวอย่างโหดเหี้ยม ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาเหาะเข้าไปในภูเขา
เจ้าเมืองขยับตัวได้แล้ว ทหารทั้งหลายหยุดร้องครวญคาง นับรบมรณะดาบยาวสี่คนของเยี่ยหลัวในที่สุดก็ฟื้นกลับมาได้สติ แต่ไม่ทันที่จะสูดอากาศบริสุทธิ์ได้สักเฮือกก็ถูกสือชีแทงทะลุหว่างคิ้วในหนึ่งกระบี่
“โอ้ ท่านเก่งกาจนักเชียว! แม้แต่คนผู้นั้นก็ยังสู้ชนะ!” เจ้าเมืองหัวเราะฮ่าๆ เดินเข้ามาตบฝ่ามือลงบนหัวไหล่ของจีหมิงซิว
จีหมิงซิวสะท้านวูบกระอักเลือดออกมา
เจ้าเมืองตกใจแทบแย่ เขามองมือของตนเอง “ข้า…ข้าไม่ได้ใช้แรงเลยนะ…”
เฉียวเวยส่งวั่งซูให้สือชี จากนั้นพยุงจีหมิงซิวขึ้นไปบนรถม้าคันหนึ่ง รถม้าคันนั้นแต่เดิมเป็นพาหนะของฮองเฮา มีเครื่องใช้ทุกสิ่งพร้อมสรรพ แล้วยังมีเตียงเรียบง่ายอีกหลังหนึ่งอีกด้วย
เฉียวเวยจับจีหมิงซิวนอนลง
เจ้าเมืองตามขึ้นมา แล้วอธิบายอย่างใจเสีย “ข้าไม่ได้ใช้กำลังภายในจริงๆ นะ ข้าสาบาน”
เฉียวเวยไม่สนใจเขา นางหยิบขวดยาใบหนึ่งออกมาจากในห่อกระดาษน้ำมันที่กันน้ำ ภายในขวดยายังเหลือยาลูกกลอนอีกสิบเม็ด เฉียวเวยป้อนเข้าไปในปากของจีหมิงซิวพรวดเดียว
นี่เป็นปริมาณยาสิบเท่า หากเป็นในยามปกติเขาคงจะลุกจากเตียงได้ทันที แต่คืนนี้จีหมิงซิวบาดเจ็บหนักเกินไปแล้วจริงๆ ธนูจันทร์โลหิตกระตุ้นพิษฝ่ามือให้โคจรรุนแรงกว่าเดิมมาก ตอนนี้เขาเหลือชีวิตไม่ถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
“มีสิ่งใดต้องการให้ข้าทำหรือไม่” เจ้าเมืองกระแอมเบาๆ แล้วถามขึ้นมา
คืนนี้หากไม่ได้จีหมิงซิว เขากับลูกน้องของเขาคงตายตกในมือของคนเยี่ยหลัวกลุ่มนั้นแล้ว เขาคนนี้มิใช่คนไม่รู้จักดีชั่ว เห็นแก่ที่เขาช่วยชีวิตของตนไว้ เรื่องก่อนหน้านี้ถือว่าจบกันไป
เขาไม่มีวันยอมรับว่าตนเองถูกพลังของคนในคณะเดินทางของจีหมิงซิวทำให้หวาดกลัว
เฉียวเวยไม่สนหรอกว่าเขาขอบคุณจากใจจริงหรือในใจกำลังหวาดกลัว นางบอกรายชื่อยาเป็นพรวนออกมาอย่างไม่เกรงใจ เขาจดไว้ทีละชื่อเพื่อที่พอกลับไปในเมืองแล้วจะได้ซื้อยาได้ทันที
“แล้วก็ คนของพวกเรากำลังจะมาถึง” เฉียวเวยเรียกเขาไว้
เขาเข้าใจความหมายทันทีจึงตอบว่า “ท่านวางใจได้ ข้าจะส่งคนไปยังประตูเมืองทิศใต้เดี๋ยวนี้ ขอเพียงพบว่าเป็นคนของพวกท่านก็จะพาตัวพวกเขามาทันที”
เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาก็ถามขึ้นมาด้วยท่าทางหงอๆ อีกหนึ่งประโยค “ว่าแต่พวกท่านเข้าเมืองมาได้อย่างไรกัน”
เฉียวเวยมองเขาอย่างเย็นชา เขาเป็นสาเหตุอ้อมๆ ให้ลูกชายของนางหายตัวไป สามีก็ล้มหมอนนอนเสื่อ เขายังจะสนใจว่าพวกนางเข้าเมืองมาได้อย่างไรอีกหรือ เฉียวเวยเริ่มอยากจะฆ่าคนขึ้นมาแล้ว!
ใต้เท้าเจ้าเมืองรู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดจึงกระแอมแล้วควบม้าจากไป
เมื่อเขากลับมาถึงจวนเจ้าเมืองก็พบกับองครักษ์ที่กำลังมุ่งหน้ามารายงานข่าวพอดี เขาจึงทราบว่าเด็กหนุ่มอายุน้อยสวมอาภรณ์สีดำสนิทที่สังหารนักรบมรณะดาบยาวคนนั้นใช้วิชาตัวเบาเหินข้ามกำแพงเมืองมาดื้อๆ
เขาเร็วเกินไปจนทุกคนไม่ทันตอบสนองสักนิด พวกเขายังคิดว่าอีกฝ่ายเป็นค้างคาวตัวโตสักตัวด้วยซ้ำ…
ต่อมาพอคิดทบทวนแล้วรู้สึกว่าไม่ถูกต้องจึงมารายงานจวนเจ้าเมือง
ใต้เท้าเจ้าเมืองกัดฟัน วิชาตัวเบาเช่นนี้…ทำเอาเขาอิจฉาแทบตายแล้วจริงๆ!
ตอนที่ใต้เท้าเจ้าเมืองซื้อยาเสร็จแล้วรีบเร่งกลับไปถึงประตูเมืองทิศเหนือ คนของจีหมิงซิวก็ได้องครักษ์ที่เขาส่งไปรับที่ประตูเมืองทิศใต้นำทางมาพอดี
สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือคนที่มาไม่ใช่เพียงองครักษ์ของจีหมิงซิวเท่านั้น แต่ยังมีราชครูเยี่ยหลัวกับศิษย์เอกของเขาด้วย
แต่เดิมพวกเขาจะเดินทางกลับเผ่าเยี่ยหลัวพร้อมกับคนส่วนใหญ่ ต่อมาทนรอไม่ไหวจึงเร่งฝีเท้าเดินทางมากับศิษย์เอกก่อน เริ่มแรกพวกเขาตั้งใจว่าจะเดินทางไปเมืองหยวนอันเพื่อผ่านด่านตามปกติ แต่ระหว่างทางพบนักรบมรณะคนหนึ่งเข้าจึงรู้สึกประหลาดใจ แล้วตัดสินใจสะกดรอยตามมาจนถึงเมืองฉีสุ่ย
เมื่อสือชีมาพบกับองครักษ์ของจีหมิงซิว พวกเขาจึงเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นลูกน้องของจีหมิงซิว
พวกเขานี่เองที่เป็นคนเตือนให้สือชีนำธนูจันทร์โลหิตติดไปด้วย แต่เดิมคิดว่าจะเอามาใช้รับมือธนูจันทร์โลหิตของฮองเฮา ผู้ใดจะคิดว่ากลับมีราชันอสูรคนใหม่ปรากฏตัวขึ้น นี่จะทำให้คนตกตะลึงเกินไปแล้วจริงๆ
เฉียวเวยบอกว่า “หมิงซิวบอกว่าเขายังไม่ทันเลื่อนขั้นจึงยังไม่นับว่าเป็นราชันอสูรที่แท้จริง”
แต่ก็มีพลังระดับเดียวกับราชันอสูรแล้ว คู่ต่อสู้เช่นนี้ถึงน่ากลัวที่สุด
ราชครูตกอยู่ในภวังค์
เฉียวเวยกล่าวต่อว่า “หมิงซิวยิงเขาไปหนึ่งหน แต่เขาดวงแข็งมากเหมือนจะยังไม่ตาย”
ราชครูกับศิษย์เอกคุยอะไรกันครู่หนึ่ง ศิษย์เอกก็กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่าต่อให้ไม่ตายเขาก็คงเจ็บหนัก แต่เดิมเขาป่วยอยู่แล้ว ต้องมาบาดเจ็บซ้ำอีก ในช่วงเวลาสั้นๆ คงไม่อาจเลื่อนขั้นได้แล้ว ขอเพียงพวกท่านรีบหาเขาให้พบก่อนหน้านั้น การสังหารเขาย่อมเป็นไปได้”
เจ้าหมอนั่นต้องสังหารแน่นอนอยู่แล้ว แต่เรื่องเร่งด่วนตอนนี้คือช่วยชีวิตหมิงซิว แล้วตามหาจิ่งอวิ๋นกลับมาให้ได้
ราชครูมองจีหมิงซิว จากนั้นมองวั่งซูที่ซุกตัวนอนหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของจีหมิงซิว แม้เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้กำลังหลับลึกขนาดที่ฟ้าผ่าก็ยังไม่ตื่น แต่ทุกคนก็สังเกตเห็นว่าหนังตาของราชครูกระตุกยิกๆ
ศิษย์เอกไม่สนใจความเป็นความตายของจีหมิงซิวขนาดนั้น ใจของเขากำลังคิดสิ่งอื่น เขาสูดจมูกแล้วถามอย่างฉงน “เอ๋ บนรถคันนี้ซ่อนน้ำอมฤตไว้ใช่หรือไม่”
“สิ่งใดคือน้ำอมฤต” เฉียวเวยถามเรียบๆ “รักษาอาการบาดเจ็บของหมิงซิวได้หรือไม่”
ศิษย์เอกตอบว่า “ได้สิ น้ำอมฤตคือยาวิเศษสำหรับรักษาการบาดเจ็บ! ก็เหมือนผลสองภพจากชนเผ่าลึกลับของพวกเจ้า! หอมมาก หอมมากจริงๆ!”
เขาดมๆ แล้วก็ดมมาจนถึงตัวของวั่งซู “เอ๋”
แววตาของเฉียวเวยวูบไหว “เจ้าจะบอกว่ากลิ่นหอมบนตัวลูกสาวข้าก็คือกลิ่นหอมของน้ำอมฤตหรือ”
ศิษย์เอกพยักหน้า “ใช่แล้ว นางเก็บไว้ตรงไหนกัน”
เฉียวเวยหลับตาลง “นางไม่ได้เก็บไว้ตรงไหนทั้งนั้น”
“ไม่ได้เก็บไว้ตรงไหนทั้งนั้นหรือ” ศิษย์เอกงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ ก็หันไปคุยกับราชครูด้วยภาษาเยี่ยหลัวอยู่หลายประโยค ไม่รู้ว่าพูดอะไรกันบ้าง แต่ปากของเขาอ้ากว้างจนยัดไข่ไก่ฟองหนึ่งเข้าไปได้ “พวกเจ้าให้นางดื่มไปเท่าไรกัน กลิ่นหอมถึงเข้มขนาดนี้ คงไม่ได้ดื่มไปทั้งแก้วใช่หรือไม่!”
น้ำอมฤตไม่ใช่เหล้า แต่หากดื่มไปมากก็จะเกิดอาการเมามายเช่นกัน แน่นอนว่า มากที่ว่านี้หมายถึงสิบหยด ยี่สิบหยด หรือทั้งแก้ว ไม่ใช่สองขวดใหญ่ๆ อย่างแน่นอน
เฉียวเวยเองก็ไม่ทราบว่าบุตรสาวดื่มไปมากเท่าใด แล้วเหตุไฉนจึงได้ดื่มยาที่ดีเช่นนี้ นางดูเหมือนไม่มีอาการบาดเจ็บอะไรมาก่อน นางจึงสงสัยอย่างยิ่งว่าเจ้าตุ้ยนุ้ยนนี้อาจจะเพียงตะกละ….
พอคิดอะไรขึ้นมาได้ เฉียวเวยก็ถามอีกว่า “จะมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่”
ผลข้างเคียงก็ตายอย่างไรเล่า แต่เจ้าตุ้ยนุ้ยน้อยคนนี้ไม่มีวี่แววเหมือนจะตายสักนิด นางกรนคร่อกดังกว่าเขาเสียอีก น่าจะซึมซับไปหมดไม่เป็นอะไรแล้ว
ศิษย์เอกหวนนึกถึงสมัยที่ตนเองเคยดื่มน้ำอมฤตลงไปสามหยดในหนเดียว ผลปรากฏว่าชีวิตน้อยๆ เกือบจะปลิดปลิว แล้วก็สะท้อนใจอย่างยิ่งโชคชะตาช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ…
เฉียวเวยเองก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเช่นกัน เจ้าดูสิเจ้าตุ้ยนุ้ยนี่แค่ตะกละก็มีให้ดื่ม แต่พ่อของนางรอให้ช่วยชีวิตอยู่แต่กลับไม่มีให้ดื่ม
แม้บนตัวราชครูจะไม่มีน้ำอมฤต แต่ก็มียารักษาอาการบาดเจ็บชั้นเยี่ยมไม่น้อย เขาเอาออกมาให้อย่างไม่ตระหนี่ถี่เหนียว น่าเสียดายมันไม่ถูกกับโรคจึงได้ผลน้อยยิ่งนัก
ศิษย์เอกยังคงพยายามดมสุดความสามารถอยู่ บางทีอาจเพราะเคยเป็นเด็กรับใช้ในร้านยามาก่อน ประสาทรับกลิ่นของเขาจึงเฉียบคมกว่าคนธรรมดาอยู่บ้าง เขาดมจนมาถึงกล่องใบหนึ่ง เขาเปิดกล่องออก แล้วหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากด้านใน
เฉียวเวยแววตาชะงักนิ่ง กล่องใบนี้คือสิ่งที่กงซุนฉางหลีมอบให้นางก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองหลวง เขาบอกว่าทะเลทรายอันตราย ของในกล่องไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์บ้าง แต่ตอนนี้…ยังไม่ทันถึงทะเลทราย…
“เอ๋ เหตุไฉนจึงเปิดไม่ออก” ศิษย์เอกแงะอยู่นานก็เปิดไม่ออก
กงซุนฉางหลีบอกว่าถึงเวลาใช้ค่อยเปิด
แต่นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลาใดจึงจะสมควรใช้มัน
แววตาของเฉียวเวยวูบไหว “ข้าเอง”
ศิษย์เอกส่งกล่องให้นาง
เฉียวเวยแงะด้วยสองมือก็เปิดออกในที่สุด
ภายในกล่องใส่ของไว้สองสิ่ง น้ำอมฤตหนึ่งขวดน้อยกับผลสองภพหนึ่งผล