เล่ม 1 ตอนที่ 443-1 ชนะศึก (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 443-1 ชนะศึก (2)

ศิษย์เอกหยิบขวดกระเบื้องใบน้อยมาดึงจุกขวดออกแล้วดมฟุดฟิด จากนั้นจึงบอกว่า “แล้วไหนว่าไม่มีน้ำอมฤตอย่างไรเล่า นี่ไม่ใช่หรือ”

เฉียวเวยมองของในกล่องอย่างประหลาดใจ ชั่วขณะนั้นนางไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี ความเป็นมาของผลสองภพนางเหมือนจะเดาได้ มันคงจะเป็นผลสองภพผลนั้นที่ตนเองมอบให้กงซุนฉางหลีนั่นเอง ผู้ใดจะคิดว่าเขายังไม่ได้กิน แต่เก็บรักษาไว้มาตลอด แล้วยังส่งคืนให้นางอีกด้วย

ไม่เพียงส่งผลสองภพคืนมาให้เท่านั้น เขายังแถมน้ำอมฤตของเผ่าเยี่ยหลัวมาให้อีกขวดหนึ่ง น้ำอมฤตไม่ใช่สิ่งของที่มีอยู่ในต้าเหลียง อีกทั้งในตลาดของเยี่ยหลัวก็ไม่มีขาย ชาวต้าเหลียงคนหนึ่งอยากจะหามันมาไว้ในมือ ยากเย็นแสนเข็ญสักเพียงใดลองจินตนาการดูก็รู้

เจ้าหมอนี่…แอบรักนางหรืออย่างไรกัน

หากไม่ใช่ ถูกนางถีบตกหลุมส้วมขนาดนั้นแล้วยังจะมอบของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ให้โดยไม่คิดแค้นเรื่องราวก่อนหน้าได้อีกหรือ

แต่น่าเสียดายตนเป็นบุปผาที่มีเจ้าของ ชะตาลิขิตให้มิอาจตอบรับความรักของเขา

เฉียวเวยดึงความคิดกลับมา ก่อนจะหยิบครกบดยากับชามไม้ออกมาจากในสัมภาระที่พวกองครักษ์นำมาให้ จากนั้นฝานเนื้อของผลสองภพลงไปตำจนแหลก รินน้ำอมฤตไปสามหยด แล้วป้อนให้จีหมิงซิวกิน

ผลสองภพกับโลหิตของเสี่ยวไป๋กดพิษฝ่ามือได้ ส่วนน้ำอมฤตช่วยฟื้นฟูเส้นลมปราณกับลมปราณที่เสียไปได้ ผ่านไปครึ่งชั่วยามเมื่อเฉียวเวยจับชีพจรให้จีหมิงซิวอีกหนก็พบว่าชีพจรที่เคยเต้นกระหน่ำของเขาค่อยๆ กลับมาสงบแล้ว

บางทีเรื่องราวในคืนนี้คงจะชวนให้ตระหนกตกใจมากเกินไป พวกเขาจึงไม่มีความง่วงนอนสักนิด

ศิษย์เอกขอคำชี้แนะอะไรบางอย่างจากราชครูเสียงเบา

สือชีนั่งอยู่บนเตียงหยาบๆ หลังหนึ่งอย่างนิ่งสงบ เขาเฝ้ามองวั่งซูที่หลับสนิทกับจีหมิงซิวที่ยังหมดสติด้วยสีหน้ามึนงง

ราชครูตอบคำถามของศิษย์เอกอย่างอดทน ทว่าดวงตากลับเหลือบมองไปบนร่างสือชีเป็นระยะ เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ติดอยู่ที่สถานการณ์ไม่เหมาะนักจงกล้ำกลืนคำพูดลงไป

อีกด้านหนึ่งใต้เท้าเจ้าเมืองนำลูกน้องมาเก็บกวาดสนามรบจนเรียบร้อย

พวกคนเยี่ยหลัวรีบร้อนหนีไปอย่างฉุกละหุกจึงทิ้งรถม้ากับข้าวของไว้ทั้งหมด แต่ไม่มีสิ่งมีค่าเท่าใดนัก สิ่งมีค่าที่สุดตอนนี้ลงไปอยู่ในท้องน้อยๆ ของวั่งซูหมดแล้ว แต่ยังพอมีจานชาม เสื้อผ้า เครื่องประดับอาวุธและยาเหลืออยู่บ้าง

ใต้เท้าเจ้าเมืองไม่เข้าใจเรื่องยา แต่สิ่งที่คนในวังหลวงของเยี่ยหลัวพกติดตัวก็คงไม่ใช่ของคุณภาพแย่ไปถึงไหน เขาหยิบขวดยาใบน้อยไม่กี่ขวดนั่นเดินไปหาเฉียวเวยบนรถม้า รถม้าคันนี้เดิมเป็นของฮองเฮา จึงกว้างขวางและสบายที่สุด แม้รวมเขาแล้วมีคนอยู่ด้านในทั้งหมดเจ็ดคนก็ยังไม่รู้สึกว่าเบียดแม้แต่น้อย

เขาส่งขวดยาให้เฉียวเวย “เพิ่งค้นเจอ ท่านลองดูซิว่ามีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของอัครมหาเสนาบดีหรือไม่”

เฉียวเวยรับขวดมา ภายในขวดนี้บรรจุยาลูกกลอนสีน้ำตาลชนิดหนึ่งเอาไว้ทั้งหมด ดมดูแล้วกลิ่นแปลกๆ ไม่เหมือนของดีอะไร นางหยิบเข็มเงินเล่มหนึ่งแทงลงไปในยาลูกกลอนเม็ดนั้น เพียงพริบตาเดียวเข็มเงินก็เปลี่ยนเป็นสีดำ

ใต้เท้าเจ้าเมืองอึ้งงัน เขาตบหัวไหล่อัครเสนาบดีเพียงฝ่ามือเดียว อัครมหาเสนาบดีก็กระอักเลือด เขาหายามามอบให้อัครมหาเสนาบดี ยาก็ดันกลายเป็นยาพิษอีก…หากตอนนี้บอกว่าเขาไม่มีเจตนาคิดร้ายกับอัครมหาเสนาบดี ตัวเขาเองยังไม่เชื่อเลย…

เขาต้องโชคร้ายขนาดนี้เลยหรือ…ต้องขนาดนี้เลยหรือไม่…

ดวงตาคมกริบประหนึ่งคมมีดของเฉียวเวยทิ่มแทงศีรษะของเขาดัง ฉึก! ฉึก! ฉึก!

เขาทำใจดีสู้เสือตอบว่า “ข้า ข้า ข้า…ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ! ของสิ่งนี้ข้าหาพบจากในสัมภาระของชางจิว!”

สือชีมองมาอย่างสงสัยใคร่รู้ เขามองยาลูกกลอนในมือของเฉียวเวยแล้วแววตาเป็นประกาย กลืนน้ำลายดัง เอื๊อก!

เฉียวเวยหันไปมองเขาแล้วปรามว่า “นี่เป็นยาพิษ กินไม่ได้”

สือชีทำหน้าผิดหวัง

ราชครูมองสือชี จากนั้นก็มองยาลูกกลอนในมือเฉียวเวย เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้จึงยื่นมือมาหาเฉียวเวย

เฉียวเวยเข้าใจความหมายจึงส่งยาลูกกลอนให้เขา

เขาบี้เม็ดยาแล้วป้ายผงจำนวนเล็กน้อยขึ้นมาดมและลองชิม หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าพูดบางสิ่งกับศิษย์เอก

ศิษย์เอกพูดอย่างตกตะลึง “นี่คือยาพิษของนักรบมรณะอย่างนั้นหรือ พวกเขาพกของพรรคนี้ไว้ได้อย่างไร ของสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าถูกห้ามไปแล้วหรือ”

“ห้ามอะไร” เฉียวเวยมองไปหาศิษย์เอกอย่างไม่เข้าใจ

ด้วยเหตุนี้ศิษย์เอกจึงเล่าที่มาของยาพิษชนิดนี้ให้ฟัง เรื่องที่เผ่าเยี่ยหลัวฝึกฝนนักรบมรณะเป็นสิ่งที่ใต้หล้ารู้กันทั่ว เพียงแต่ว่าผู้ที่ได้รับอนุญาตจากราชวงศ์อย่างถูกต้องมีเพียงตำหนักราชครูเท่านั้น กระบวนการฝึกนักรบมรณะทั้งยากเย็นและเชื่องช้า ใช้เวลาแปดปีสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะฝึกฝนนักรบมรณะที่ฝีมือร้ายกาจออกมาได้สักกี่คน ต่อมาผู้คนที่รีบร้อนอยากสร้างผลงานจึงคิดค้นยาพิษชนิดหนึ่งที่เพิ่มกำลังภายในให้นักรบมรณะได้ขึ้นมา

สรรพคุณของยาพิษแตกต่างกันไปตามแต่ละคน แต่โดยทั่วไปแล้วหลังจากกินยาพิษลงไปกำลังภายในจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งขั้น ทว่าการสร้างยาพิษชนิดนี้ต้องจ่ายราคาแพงมหาศาล อีกทั้งผลข้างเคียงจากการใช้ก็หนักหนาเกินไป ไม่เพียงจะทำให้นักรบมรณะอยู่ไม่สู้ตาย แต่ยังทำให้อายุขัยของนักรบมรณะสั้นลงอย่างมาก หากจะทำเพียงเพื่อสร้างนักรบมรณะที่ฝีมือร้ายกาจขึ้นมาสักสองสามคน ย่อมไม่มีผู้ใดทำเรื่องได้ไม่คุ้มเสียเช่นนี้

แต่ก็มีกรณีหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือการสร้างราชันอสูร

ตำหนักราชครูก็เคยเลือกนักรบมรณะที่พรสวรรค์เหนือกว่าผู้อื่นมาทดลองใช้ยาพิษให้พวกเขาเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูรเช่นกัน น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ

“แต่ว่า…” พูดมาถึงตรงนี้ ศิษย์เอกก็ชะงัก แล้วหันไปมองสือชีอย่างระมัดระวัง แล้วอึกอักพูดว่า “อาจารย์ของข้าบอกว่านักรบมรณะคนนี้ของพวกเจ้าพรสวรรค์ไม่เลว หากยกให้อาจารย์ บางทีอาจารย์อาจจะทำให้เขา…”

“อย่าได้แม้แต่จะคิด!” เฉียวเวยเอ่ยขัดเขาอย่างเย็นชา สายตาหันไปมองราชครู “ผู้ใดก็อย่าได้คิดหมายตาสือชี ข้าไม่มีวันให้เขากลายเป็นราชันอสูร!”

สิ่งที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่เป็นผีก็ไม่เชิงเช่นนั้น โหดร้ายเกินไปจริงๆ

เฉียวเวยไม่ไว้ใจ กลัวว่าราชครูหน้าเหม็นคนนี้จะแอบหลอกลวงสือชี จึงจับมือสือชีแล้วชี้ยาในขวดนั้น ก่อนจะบอกว่า “ของข้างในนี้เจ้าห้ามแตะเด็ดขาด หากเจ้าแตะมัน เจ้าจะกลายเป็นสัตว์ประหลาดอัปลักษณ์ วั่งซูจะไม่สนใจเจ้าอีก!”

เดิมทีสือชียังทำหน้าน้ำลายสออยู่เล็กน้อย แต่หลังจากได้ยินประโยคนี้ เขาก็ตั้งท่าระวังขึ้นมาทันที แล้วมองยาพิษด้วยแววตารังเกียจ ขยับตัวออกมาห่างจากมัน

ราชครูลุกขึ้นเดินลงจากรถม้า คนเดินไปไกลแล้วก็ยังพึมพำบางอย่างอยู่

เฉียวเวยเหล่มองศิษย์เอก ศิษย์เอกก็กำลังจะจากไปเช่นกัน แต่ถูกนางเรียกเอาไว้ก่อน “อาจารย์ของเจ้าพูดว่าอันใด”

ศิษย์เอกตอบว่า “อาจารย์ของข้าบอกว่าน่าเสียดาย”

เฉียวเวยเงียบไปครู่หนึ่งก็หัวเราะหยัน “ก็ใช่ คนที่ไม่เห็นค่าชีวิตมนุษย์คนหนึ่ง ข้ายังจะหวังให้เขารู้จักว่าความเมตตาคือสิ่งใดได้หรือ”

ศิษย์เอกหน้าบึ้งแล้ว “ห้ามเจ้าว่าอาจารย์ของข้าเช่นนี้ อาจารย์ของข้าหวังดีต่อพวกเจ้าต่างหาก หากพวกเจ้ามีนักรบมรณะฝีมือร้ายกาจสักคนก็ไม่จำเป็นต้องกลัวราชันอสูรของอีกฝั่งแล้ว”

“ใครกลัวเจ้าสิ่งนั้นกัน” เฉียวเวยถามเสียงเย็นชา

ศิษย์เอกสะอึก เขายังอยากจะเกลี้ยกล่อมอะไรเฉียวเวยอีกสักหน่อย แต่ถูกสือชีหิ้วคอเสื้อ โยนออกไปอย่างไม่เกรงใจสักนิด

หลังจากนั้นพวกเขาจะแบ่งรถม้าเก็บสัมภาระอะไรอย่างไร เฉียวเวยก็ไม่สนใจแล้ว

สือชีทิ้งตัวนอนข้างวั่งซู ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของวั่งซูก็คือจีหมิงซิว

เขามองทั้งสองคนตาปริบๆ เห็นพวกเขาไม่ตื่นเสียที แววตาของเขาก็ปรากฏความฉงนงงงวยเล็กน้อย

เฉียวเวยยกมือเรียวสวยขึ้นลูบหน้าผากของเขา แล้วถอนหายใจเบาๆ “นอนเถิด”

สือชีหลับตาลง

เฉียวเวยกลับพลิกไปมานอนไม่หลับ ในสมองเต็มไปด้วยภาพตอนจิ่งอวิ๋นร้องเรียกท่านแม่ เขาเบิกตาโต เอื้อมมือน้อยๆ ออกมา…

อีกเพียงนิดเดียว…อีกเพียงนิดเดียวนางก็จะกอดเขาไว้ได้แล้วแท้ๆ…