ตอนที่ 443-2 ชนะศึก (2)
อากาศหนาวยามค่ำคืนประหนึ่งสายน้ำ ณ ตีนเขาลึกเข้าไปในขุนเขา ภายในกระท่อมชาวนาหลังน้อยอันอ้างว้างแห่งหนึ่ง ฟู่เสวี่ยเยียนมาพบฮองเฮา
ฮองเฮานั่งอยู่ในห้องโถงที่สร้างอย่างหยาบๆ เพียงลำพัง ไม่ว่าเวลาใดสตรีนางนี้ก็ดูแลเรือนร่างได้อย่างพิถีพิถันไร้ที่ติ แม้แต่บนรองเท้าของนางก็ไม่มีเศษหญ้าติดอยู่สักนิด สะอาดจนราวกับว่าตัวนางอยู่ในพระราชวัง
เมื่อเทียบกันแล้ว ฟู่เสวี่ยเยียนตกอยู่ในสภาพที่น่าอนาถกว่ามาก เสื้อผ้าถูกกิ่งไม้เกี่ยวขาด เส้นผมยุ่งเหยิง พื้นรองเท้าก็เต็มไปด้วยดินโคลน
นางก้มหน้าก้มตาเดินเข้ามาในห้องอย่างช้าๆ
ฮองเฮาไม่พูดคำใด เพียงใช้สายตาถมึงทึงมองนาง
ฟู่เสวี่ยเยียนฝืนทำใจกล้าเดินไปถึงตรงหน้านาง สองมือกุมประสานกันไว้ ฝ่ามือหันเข้าด้านในแนบชิดกับอาภรณ์แล้วย่อตัวคำนับ “นายท่าน”
เพียะ!
สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงการตบหน้าอย่างไม่ไว้หน้าสักนิดหนึ่งฉาด
ฟู่เสวี่ยเยียนถูกตบจนเซทรุดลงกับพื้น มุมปากแตกมีเลือดสายหนึ่งไหลออกมา
“เจ้ายังกล้ากลับมาอีกหรือ” ฮองเฮาแดกดัน
ฟู่เสวี่ยเยียนยกมือขึ้นเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก จากนั้นยันพื้นลุกขึ้นมาคุกเข่าอย่างเชื่องช้า “ข้าไร้ความสามารถจนถูกเฉียวซื่อแย่งเด็กไปได้ ขอนายท่านโปรดลงโทษ”
“เฉียวซื่อแย่งไป หรือเจ้าประเคนส่งให้ผู้อื่น” ฮองเฮาถามคล้ายเย้ยหยัน
ฟู่เสวี่ยเยียนก้มหน้าตอบว่า “ข้าน้อยไม่กล้า”
ฮองเฮาหัวเราะหยัน “ใต้หล้านี้มีเรื่องที่คนตระกูลกู่ของพวกเจ้าไม่กล้าทำด้วยหรือ เจ้าเป็นคนทำธนูจันทร์โลหิตหาย แล้วเจ้าก็เป็นคนปล่อยให้เด็กหนีไปจากมือได้ หนนี้เจ้าจะอธิบายอย่างไรอีก หรือจะแก้ตัวด้วยเหตุผลเดียวกับอินทรีทอง จะบอกว่าทำเพื่อหลอกลวงเอาความเชื่อใจจากคนตระกูลจีอย่างนั้นหรือ”
อินทรีทองเคยเป็นศัตรูกับชางจิวสองครั้ง ครั้งหนึ่งคือตอนแย่งจิ่งอวิ๋นไปจากเหยี่ยวเลี้ยงกับองครักษ์ อีกหนหนึ่งคือตอนฉกตำราลับไปต่อหน้าต่อตาของฮองเฮา
หากจะบอกว่าทำเพื่อหลอกเอาความเชื่อใจจากตระกูลจี แต่ตระกูลจีก็ไม่เคยรู้สักหน่อยว่าอินทรีทองเป็นของผู้ใด
ฮองเฮาจับคางของฟู่เสวี่ยเยียน บังคับให้นางเงยหน้าขึ้น “เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้ว คิดจะโบยบินเองแล้วสินะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนรู้สึกถึงกำลังภายในเย็นยะเยือกน่าหวาดหวั่นสายหนึ่งที่ไล่ลงมาตามคางของนางรุกรานร่างกายของนางอย่างช้าๆ แพขนตาของนางสั่นไหวเบาๆ “ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยเป็นคนของนายท่าน เป็นเช่นนั้นชั่วชีวิต!”
ฮองเฮาคลี่รอยยิ้มอันงดงามยั่วยวน มือเย็นเฉียบดุจโครงกระดูกอีกข้างหนึ่งวางลงบนหน้าท้องของนาง “ดูเจ้ากลัวเข้าสิ ข้าไม่ได้จะกินเจ้าสักหน่อย เจ้าอุ้มท้องเด็กของตระกูลจีอยู่ไม่ใช่หรือ ในเมื่อเจ้าปล่อยคนนั้นไป ถ้าเช่นนั้นก็เอามันมาแทนก็แล้วกัน”
ฟู่เสวี่ยเยียนตัวสั่นเทา
“ดูแลครรภ์ให้ดีๆ เล่า” ฮองเฮากระซิบแผ่วเบาริมหูนางเสร็จก็ตบหัวไหล่นางแล้วหมุนตัวเดินออกไป
ฟู่เสวี่ยเยียนทรุดยวบลงไปนั่งกับพื้น เหงื่อกาฬแตกพลั่กจนชุ่มโชกทั่วร่าง นางเช็ดเหงื่อบนลำคอ จากนั้นก็เกาะเก้าอี้ลุกขึ้นยืน ตั้งใจจะกลับไปที่ห้องของตนเอง
เพิ่งจะก้าวเท้าได้ก้าวเดียว ตรงประตูก็มีเงาร่างผอมเล็กจ้อยร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
แววตาของนางวูบไหว “จิ่งอวิ๋น…”
“ท่านแม่ของข้าไปหาน้องสาวของข้าจริงหรือ” เขาถามนิ่งๆ
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่รู้ว่าสมควรจะตอบเช่นไร
จิ่งอวิ๋นแววตาหม่นมองลง “ข้าเข้าใจแล้ว”
กล่าวจบก็หมุนตัวกลับห้องไป
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินตามมา
เขาปีนขึ้นไปบนเตียงเงียบๆ แล้วหันหลังให้ประตู ร่างน้อยขดตัวจนกลม ความเศร้าโศกอันยากจะหาถ้อยคำมาพรรณนาแผ่อบอวลไปทั่วห้อง
เสี่ยวไป๋เผ่นแผล็วกระโดดขึ้นไปบนเตียงก่อนจะหมอบอยู่ข้างกายเขาอย่างเงียบงัน หัวเล็กๆ ขยับเข้าไปถูไถ
เขาเช็ดดวงตาป้อยๆ คว้าเสี่ยวไป๋เข้ามากอดพร้อมกับน้ำตาหยดหนึ่งที่ร่วงหล่นลงมา
…
เฉียวเวยสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมกับหัวใจที่ตื่นตระหนก นางฝันเห็นจิ่งอวิ๋น แต่นางยังไม่ทันได้พูดกับจิ่งอวิ๋นก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อน
นางเช็ดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก แล้วมองเตียงหลังหยาบๆ ด้านข้าง สือชีออกไปแล้ว สองพ่อลูกยังนอนหลับอยู่ เพียงแต่ชีพจรสงบกว่าเมื่อวาน นับว่าอาการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว
เฉียวเวยกินเสบียงแห้งๆ สองคำอย่างเร็วไว จากนั้นจึงปรึกษากับราชครูว่าจะออกเดินทางอย่างไร การจะเดินทางไปเยี่ยหลัวจำเป็นต้องตัดผ่านเผ่าซยงหนีว์ ในมือพวกเขามีหนังสือผ่านทางอยู่จึงไม่ต้องกังวลว่าจะพบด่าน เพียงแต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องไปทางใดจึงจะไล่ตามจิ่งอวิ๋นทัน
เฉียวเวยปูแผนที่ของเผ่าซยงหนีว์
ศิษย์เอกชี้มุมหนึ่งของแผนที่แล้วบอกว่า “ท่านอาจารย์ของข้าบอกว่า ต้องไปเขาอูเปี๋ย”
เขาอูเปี๋ยอยู่ทางตะวันตกของเผ่าซยงหนีว์ เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านหากจะเดินทางไปยังเยี่ยหลัว ไม่ว่าตอนนี้พวกเขาจะเดินทางไปตามทางเส้นใด แต่สุดท้ายย่อมต้องไปที่เขาอูเปี๋ย แทนที่จะสิ้นเปลืองแรงไล่ตามพวกเจ้า ไม่สู้ไปให้ถึงเขาอูเปี๋ยเร็วสักหน่อยแล้วนั่งเฝ้าตอรอกระต่ายดีกว่า
แม้เฉียวเวยจะอยากพบหน้าบุตรชายเสียเดี๋ยวนี้ แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าเส้นทางที่ราชครูชี้บอกเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ในตอนที่คนเยี่ยหลัวเดินทางเป็นขบวนใหญ่ พวกเขายังพอสืบหาร่องรอยของอีกฝ่ายได้ แต่ตอนนี้พวกเขาทิ้งขบวนรถม้าไว้แล้ว หากซ่อนตัวอยู่ในมือง ขณะที่แต่ละคนยังเป็นยอดฝีมือผู้มีวิชาตัวเบา คิดจะหลบเลี่ยงการสืบข่าวของพวกเขาย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอันใดทั้งสิ้น สู้ไปเฝ้ารอที่เขาอูเปี๋ยคงจะดีกว่าจริงๆ
“เขาอูเปี๋ยอยู่ไม่ไกล ผ่านไปไม่กี่วันพวกเราก็จะได้พบกับพวกเขาแล้ว” ศิษย์เอกบอก
เฉียวเวยพยักหน้า “งานมิสมควรชักช้า ออกเดินทางกันตอนนี้เลย!”
…
ฝั่งนี้กลุ่มของเฉียวเวยออกเดินทางไปยังเขาอูเปี๋ย อีกด้านหนึ่งพวกฮองเฮาก็เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางเช่นกัน
ไม่มีองครักษ์ ไม่มีสาวใช้มากมายอีกแล้ว แม้แต่เฉี่ยวหลิงกับซิ่วฉินก็จะไปรวมตัวกันอีกครั้งที่เขาอูเปี๋ย
ฮองเฮาสวมผ้าคลุม สวมหมวก ผ้าปิดหน้ากับถุงมือสีเงินแล้วขึ้นไปนั่งบนรถม้า
ผ่านไปครู่หนึ่งฟู่เสวี่ยเยียนก็ตามขึ้นมานั่งบนรถม้าด้วย
ชางจิวไปเรียกจิ่งอวิ๋น
เขาถอดกลอนที่ประตูจากนั้นเปิดประตูเข้าไป แต่กลับเปิดไม่ออก เจ้าเด็กน้อยคนนั้นลงกลอนด้านในไว้หรือ
เขาเคาะประตูอย่างหมดความอดทน “ออกมา ต้องเดินทางแล้ว”
ภายในห้องเงียบกริบ
“รีบออกมาเสีย ได้ยินหรือไม่”
ห้องยังคงเงียบสนิท
ชางจิวขมวดคิ้ว ยกเท้าถีบบานประตูแล้วเดินมาจนถึงหน้าเตียง เขากระชากผ้าห่มอย่างดุร้าย ทว่ากลับเห็นเพียงหมอนเปล่าๆ ใบหนึ่ง
*****************************