ตอนที่ 448-1 คืนดี (1)

เรื่องที่เฉียวเวยกังวลที่สุดเกิดขึ้นแล้ว ลูกชายโกรธนางแล้ว

หลายวันมานี้นางคิดแต่จะตามหาบุตรชาย ตามหาจนศีรษะของตนแทบจะมีควันลอยขึ้นมา สมองยุ่งเหยิงไปหมด จนลืมคิดไปว่าหลังจากบุตรชายกลับมาแล้วต้องมีปฏิกิริยาอย่างไรจึงจะนับว่าปกติ

บุตรชายกับบุตรสาวถูกจับตัวไปด้วยกัน บุตรชายเห็นบุตรสาวปราฏตัวอยู่บนรถม้าของตนเอง ก็น่าจะถามอย่างแปลกใจยิ่งว่า “เอ๋ น้องสาวอยู่ที่นี่ได้อย่างไรขอรับ”

แต่เขาไม่ได้ถาม

นั่นบ่งบอกว่าเขาทราบมาก่อนแล้วว่าวั่งซูอยู่ที่นี่

เหตุใดเขาจึงทราบได้

คาดเดาเอาเอง หรือว่าเห็นตนเองไปช่วยวั่งซู

หากว่าเป็นอย่างหลัง…

เฉียวเวยไม่กล้าคิดต่อแล้ว…

ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้ดี ตอนนี้พอลองนึกย้อนกลับไปก็พอจะคิดออกอยู่ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ทว่าตอนนั้น ในช่วงเวลานั้น ในสถานการณ์เช่นนั้น นางดีใจจนสมองตื้อคิดอะไรไม่ออก…

เฉียวเวยตบหน้าผากของตนเอง!

เหตุใดจึงโง่เช่นนี้นะ!

อีกด้านหนึ่งทุกคนรู้แล้วว่าจิ่งอวิ๋นเดินพลัดหลงหายไป พวกเขาจึงพากันออกตามหาภายในป่า เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็ออกโรงด้วย

บนภูเขามีกิ่งไม้ใบไม้หนาทึบบดบังแสงตะวัน อากาศจึงหนาวเย็นอุณหภูมิต่ำกว่าบนทุ่งหญ้าอยู่ไม่น้อย

เงาร่างเล็กจ้อยสีดำตัวหนึ่งสีขาวตัวหนึ่ง ตัวหนึ่งห้อยอยู่บนเถาวัลย์ ตัวหนึ่งวิ่งอยู่บนพื้น ตัวไหนก็ไม่ยอมให้ตัวไหนทั้งสิ้น

เสี่ยวไป๋วิ่งนำไปด้านหน้า จูเอ๋อร์ก็เด็ดผลไม้ป่าผลหนึ่งขว้างใส่เสี่ยวไป๋อย่างแรง!

เสี่ยวไป๋ไม่ทันป้องกันถูกกระแทกเข้าอย่างจังจนล้มถลาหน้าทิ่ม มันถลึงตาใส่จูเอ๋อร์อย่างโหดเหี้ยม กรงเล็บคว้าก้อนหินก้อนหนึ่งขว้างใส่จูเอ๋อร์

จูเอ๋อร์เตรียมตัวอยู่ก่อนแล้ว มันกระโดดเผ่นแผล็วขึ้นไปบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง

เสี่ยวไป๋โมโหจนแสยะเขี้ยว

จูเอ๋อร์หัวเราะจนตัวโยกเยก

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดัง เป๊าะ! กิ่งไม้หักทำให้จูเอ๋อร์ร่วงลงมาด้านล่าง…

ทะเลาะก็ส่วนทะเลาะ แต่สุดท้ายเดรัจฉานทั้งสองตัวก็ตามหาจิ่งอวิ๋นจนพบ

ความจริงแล้วอากาศเช่นนี้ ขอเพียงฝนไม่ตกก็สะกดรอยตามกลิ่นที่คุ้นเคยได้ง่ายดายอย่างยิ่ง นอกจากนี้จิ่งอวิ๋นเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เดินไปได้ไม่ไกลนัก ด้วยเหตุนี้จึงลดขอบเขตการค้นหาได้เล็กลงมาก

ทั้งสองตัวใช้เวลาไม่นานก็พบกลิ่นของจิ่งอวิ๋นในถ้ำแห่งหนึ่ง

หนนี้เจ้าตัวน้อยทั้งสองไม่ตีกันแล้ว จูเอ๋อร์ยืนขวางปากถ้ำไว้ ขณะที่เสี่ยวไป๋ไปพาเฉียวเวยมา

เฉียวเวยยืนอยู่หน้าถ้ำมืดทึม เพียงยืนอยู่ตรงนั้นก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นภายในถ้ำที่พัดดังฟู่ออกมาด้านนอก ไม่รู้ว่าอยู่ด้านในจะหนาวมากเพียงใด

ตลอดทางที่มานางล้วนคิดว่าอีกเดี๋ยวพบหน้าบุตรชายแล้วจะพูดอย่างไรดี ตอนนี้บุตรชายอยู่เพียงตรงหน้าแล้ว แต่นางจู่ๆ ก็เหมือนเป็นใบ้

นางสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง มือเรียวงามวางลงบนผนังหิน จากนั้นเอ่ยเรียกเบาๆ “จิ่งอวิ๋น ลูกออกมาก่อนเถิดนะ”

ไม่มีเสียงตอบ

จู่ๆ หัวใจของเฉียวเวยก็เริ่มเต้นตึกตัก

เวลาสังหารศัตรูยังไม่ตื่นเต้นเท่านี้ แต่พอต้องมาปลอบบุตรชายกลับขลาดกลัวอย่างคิดไม่ถึง นางนึกทบทวนอย่างละเอียด นับตั้งแต่จับพลัดจับผลูมาเป็นแม่ นางก็ไม่เคยปลอบใครอย่างจริงๆ จังๆ เลย หายากมากที่เด็กน้อยทั้งสองคนจะโกรธ จิ่งอวิ๋นย่อมไม่ต้องพูดถึง ส่วนวั่งซูแม้จะร้องไห้น้ำมูกโป่งเป็นบางครั้ง แต่นางก็ไม่เคยปลอบมาก่อน หมิงซิวเป็นคนปลอบทั้งนั้น

ตอนนี้ให้นางมาปลอบบุตรชาย นี่มันช่าง…ช่างยากยิ่งกว่าเรียนท่าเท้าตระกูลฮั่วจากอาจารย์ตาฮั่วเสียอีก!

นางตั้งสติแล้วพูดขึ้นมาว่า “แม่จะนับถึงสาม หากเจ้าไม่ออกมา แม่จะเข้าไปแล้วนะ”

ยังคงเงียบ

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เฉียวเวยกลัวว่าเขาจะหนาวจนเป็นอะไรอยู่ด้านใน นางเม้มริมฝีปากแล้วตัดสินใจเดินเข้าไปด้านในถ้ำ

ทว่าเพิ่งก้าวออกมาได้ก้าวเดียว มือเรียวยาวประหนึ่งหยกข้างหนึ่งก็จับข้อมือนางไว้อย่างแผ่วเบา

นางตกใจวูบหนึ่ง ก่อนจะมองมือข้างนี้ด้วยแววตาความประหลาดใจอย่างยิ่ง หลังจากนั้นนางก็หันกลับไป แล้วได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่คุ้นเคยดวงนั้นตามคาด “ท่าน…ท่านตื่นแล้วหรือ”

“อืม” หากไม่ตื่นอีก ฟ้าคงจะถล่มลงมาแล้ว

จีหมิงซิวมองใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความกังวลและความรู้สึกผิดของนางไล่ไปจนถึงหยาดน้ำแวววาวที่เหมือนจะเอ่อคลออย่างไม่รู้ตัวตรงขอบตา จากนั้นจึงตบปลอบบนหลังมือของนางเบาๆ “เจ้ากลับไปก่อน”

เฉียวเวยจะยอมกลับไปได้อย่างไรกัน

จีหมิงซิวไม่บังคับนาง แต่ให้นางรออยู่นอกถ้ำ ตนเองก้มตัวเดินเข้าไป

ปากถ้ำไม่ใหญ่ ภายในถ้ำก็ไม่สูง พอเขายืนกวานที่สวมบนเรือนผมก็ชิดจรดเพดานถ้ำ

ภายในถ้ำเป็นพื้นที่ราบเล็กๆ ที่สกปรกแห่งหนึ่ง มีก้อนหินหลายก้อนตั้งอยู่ประปราย บุตรชายที่ไม่ได้พบหน้ามาครึ่งเดือนของเขานั่งอยู่บนก้อนหินก้อนที่เล็กที่สุด

เขานั่งลงบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งด้านหน้าของบุตรชาย ด้านหลังก้อนหินใหญ่ก้อนนี้มีก้อนหินที่สูงกว่าอีกก้อนหนึ่งตั้งอยู่ เมื่อตั้งอยู่ด้วยกันมันก็ดูเหมือนเก้าอี้หินตัวหนึ่งอยู่พอสมควร

แขนสองข้างของจิ่งอวิ๋นกอดหัวเข่า ศีรษะเล็กๆ ซุกอยู่ในหว่างแขน มือน้อยกุมกันอยู่ไม่รู้ว่าด้านในใส่ของสิ่งใดเอาไว้

ท่าทางเช่นนั้นดูน่าสงสารได้มากเท่าใดก็น่าสงสารมากเท่านั้น

เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงรู้แล้วว่ามีคนเข้ามา แต่ศีรษะเล็กกลับซุกหน้าลงไปยิ่งกว่าเดิม

จีหมิงซิวมองเขาอยู่เช่นนั้น ไม่รู้ว่ามองอยู่นานเท่าใด ในที่สุดก็แค่นเสียงหยันออกมาคำหนึ่งทำลายความเงียบภายในถ้ำ “ใจกล้าแล้วสินะ ถึงกล้าหนีออกจากบ้านง่ายๆ”

จิ่งอวิ๋นได้ยินเสียงนี้ก็ตกใจจนร่างน้อยๆ สั่นเทา เขาเงยหน้าขึ้นมามองบิดาของตนเองอย่างหวาดกลัว

จีหมิงซิวเลิกคิ้ว พูดอย่างขบขัน “เจ้ากลัวอะไรเล่า ใจกล้าแล้วไม่ใช่หรือ ไม่เคยคิดว่าถูกข้าจับได้แล้วจะจัดการเจ้าอย่างไรอย่างนั้นสิ”

นายน้อยหมิงคือผู้ที่เคยท่องยุทธภพมาแล้ว เขาต้องมีจิตใจ ‘ดีงาม’ มากเพียงใดถึงจัดการพวกคนโฉดแห่งยุทธภพทั้งหลายอย่างเยี่ยนเฟยเจวี๋ยจนร้องไห้หาบิดามารดาได้

————————————–