ตอนที่ 448-2 คืนดี (1)
หลายปีที่ผ่านมาเขารับราชการเป็นขุนนางจึงเก็บความโฉดชั่วในตัวไป จนผู้คนเกือบจะลืมเลือนแล้วว่าคนโฉดชั่วอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพในสมัยนั้นก็คือคนแซ่จี
จิ่งอวิ๋นถูกรังสีความโฉดชั่วที่แผ่ออกมาจากตัวบิดาของตนเองอย่างกะทันหันทำให้หวาดกลัวจนหัวใจดวงน้อยสั่นระริก
“ท่าน…ท่านฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร”
เขาไม่รู้สักนิดว่าตนเองกำลังพูดอะไรอยู่!
นัยน์ตาหงส์เรียวยาวของจีหมิงซิวหรี่ลงนิดๆ มุมปากยกโค้งขึ้นมาเล็กน้อย แววตาแฝงรอยยิ้ม “ฟื้นแล้วสิ ตอนนี้ต่อให้ข้าตายไปแล้วก็คงโมโหเจ้าจนต้องลุกขึ้นมาจากโลง”
ใบหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นซีดขาว
จีหมิงซิวจ้องเขาด้วยแววตานิ่งเรียบ “โกรธขึ้นมาก็หนีออกจากบ้าน ผู้ใดสั่งสอนเจ้าหืม จีจิ่งอวิ๋น”
เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกทั้งชื่อทั้งแซ่ของจิ่งอวิ๋น ร่างน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นแข็งเกร็งไปทั้งร่าง
ไม่เคยเห็นเขาโกรธมาก่อนก็เลยเข้าใจไปว่าเขาโกรธไม่เป็นเสียอีก พูดให้ถึงที่สุดแล้วสาเหตุที่กล้าหนีออกจากบ้านก็ไม่ใช่เพราะรู้ว่ามีคนรักและเอาใจหรอกหรือ
ศีรษะน้อยๆ ของจิ่งอวิ๋นคอตก ไม่นานขอบตาก็เริ่มแดงระเรื่อ
จีหมิงซิวแค่นเสียงออกมาจากจมูกเบาๆ “อ้อ ดุคำสองคำก็รู้สึกไม่ยุติธรรมแล้วหรือ”
“ไม่ใช่นะ!” จิ่งอวิ๋นปฏิเสธอย่างดื้อรั้น
จีหมิงซิวหัวเราะหยัน “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้สึกไม่ยุติธรรมที่แม่ของเจ้าไม่ไปช่วยเจ้า แต่วิ่งไปช่วยน้องสาวของเจ้าหรือ”
จิ่งอวิ๋นไม่ตอบ
ในเมื่อเป็นบุตรชายของตน แค่ยกก้นจีหมิงซิวก็รู้แล้วว่าเขาจะตดออกมาแบบไหน
จีหมิงซิวชายตามองเขาอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นเจ้าบอกมาสิว่าตอนนั้นแม่ของเจ้าสมควรจะทำเช่นไร วิ่งไปช่วยเจ้าแล้วไม่สนใจน้องสาวของเจ้าหรือ”
จิ่งอวิ๋นถูกพูดแทงใจจนสะอึก หัวใจดวงน้อยบีบรัด ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ แล้วเสไปพูดเรื่องอื่น “ถึงอย่างไรพวกท่านก็ไม่ต้องการข้าแล้ว!”
จีหมิงซิวแค่นหัวเราะ “ถ้าไม่ต้องเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าจึงยังอยู่ที่นี่ หนทางยาวไกลถึงเพียงนี้ โยนเจ้าทิ้งไว้ตรงไหนก็ได้ไม่ใช่หรือ”
“ท่าน….ท่าน ท่าน ท่าน…ข้าเถียงไม่ชนะท่านอยู่แล้ว!” ใบหน้าน้อยของจิ่งอวิ๋นโมโหจนแดงก่ำ
“ต่อให้ต่อยตีกันเจ้าก็ต่อยตีชนะข้าไม่ได้”
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีแทงซ้ำอีกหนึ่งดาบ
จิ่งอวิ๋นโกรธจนแทบจะวางวาย…
จีหมิงซิวเอ่ยต่อโดยไม่ยอมให้แทรก “จีจิ่งอวิ๋น ข้าไม่สนใจว่าในใจเจ้าจะคิดอย่างไร แต่แคว้นมีกฎแคว้น บ้านมีกฎบ้าน ตราบใดที่เจ้ายังเป็นลูกชายของข้าจีหมิงซิวคนนี้ เจ้าก็ต้องเคารพกฎของข้า กฎข้อที่หนึ่งก็คือห้ามรังแกแม่ของเจ้า”
จิ่งอวิ๋นเถียง “ข้าเปล่า!”
แววตาถมึงทึงของจีหมิงซิวจับจ้องใบหน้าของเขา “ลองพูดว่าเปล่าอีกคำดูสิ”
จิ่งอวิ๋น “ข้า…”
ข้ายอมรับว่าทำก็ได้ แต่ที่ยอมรับนี่เป็นเพราะถูกท่านข่มขู่หรอกนะ!
ท่านมันคนสารเลวเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก!
“กฎของที่สอง ห้ามหนีออกจากบ้าน”
“ข้าเปล่า!” จิ่งอวิ๋นพูดจบก็หยุดชะงักครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อเสียงเบาลง “วันนี้เปล่า”
หมิงซิวหรี่ตาท่าทางอันตราย “คิดว่าข้าไม่กล้าตีเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่”
“พวกท่านคุยอะไรกันน่ะคุยกันนานขนาดนี้” เฉียวเวยผู้รออยู่ข้างนอกจนร้อนใจดังไฟลน ในที่สุดก็อดกลั้นความสงสัยใคร่รู้ไม่ไหว สาวเท้าก้าวเข้ามาด้านใน
เวลานี้จีหมิงซิวเพิ่งจะยกเท้าขึ้นมาพอดี
จิ่งอวิ๋นน้อยตกใจกลัวยิ่งนัก พอเห็นมารดาเดินเข้ามาก็โถมเข้าไปในอ้อมแขนของมารดาอย่างไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
เฉียวเวยกอดลูกชายไว้ สายตากวาดมองรอบๆ พอเห็นเท้าที่ยกขึ้นมาค้างกลางอากาศของจีหมิงซิว ก็ขมวดคิ้วถามว่า “นั่นท่านกำลังจะทำอันใด”
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีตอบหน้าตาเฉยไม่มีหัวใจเต้นรัวสักนิด “แคะเท้าน่ะ”
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นท่านจะเคยมีนิสัยนี้มาก่อนสักหน่อย!
เฉียวเวยมองใครบางคนด้วยแววตาเดียดฉันท์ แล้วตัดสินใจจูงบุตรชายออกมาจากถ้ำเพื่อไม่ให้บุตรชายเรียนรู้สิ่งไม่ดีจนวันหน้าเด็กชายตัวน้อยผู้สง่างามคนนี้เติบใหญ่มาเป็นบุรุษชอบแคะขี้เท้าตามใครบางคน
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี ขอร้องเอาคำว่า ‘ตามใครบางคน’ ของเจ้าทิ้งเถิดนะ…
เฉียวเวยจูงมือบุตรชายเดินมาถึงหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งแล้วย่อตัวลงมา
นางจำได้ว่าครั้งแรกที่มาถึงโลกฝั่งนี้ เขาตัวเล็กเพียงนิดเดียว พอตนเองนั่งยองๆ ลงมาเช่นนี้ก็มองเห็นเหนือกระหม่อมของเขาได้ แต่ตอนนี้เขากลับเป็นฝ่ายมองเห็นกระหม่อมของนางแล้ว
นางจับบ่าเล็กผอมบางของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา ชั่วชีวิตนี้ถ้อยคำที่นางเอ่ยได้คล่องปากที่สุดก็คือวาจาที่ใช้วิวาท แต่คำพูดที่เค้นลอดไรฟันออกมายากเย็นที่สุดก็คือความรู้สึกในใจ
นางใช้ความกล้ามากมายยิ่งนักกว่าจะค้นหาเสียงของตนเองพบ แล้วสะอื้นเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น “แม่ไม่ได้ตั้งใจ…แม่ไล่ตามชางจิวไม่ทัน…หลังจากเจ้าถูกชางจิวพาตัวไป…แม่ก็คิดอยู่ทุกวันว่า…เหตุใดตนเองจึงไร้ประโยชน์เช่นนี้ หากตอนนั้นท่านยายของเจ้าอยู่ตรงนั้นด้วย นางจะต้องไล่ตามพาทั้งสองคนกลับมาได้แน่…แม่ช่างไร้ประโยชน์นัก…จึงไล่ตามทันแค่คนที่อ่อนแอที่สุดคนเดียว…”
นางพูดพลาง น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดก็ร่วงผล็อยลงมา
จิ่งอวิ๋นเปิดฝ่ามือน้อยสองข้างที่กุมกันอยู่มาตลอดออก แล้วยื่นไปตรงหน้านาง
เฉียวเวยเพ่งสายตาดู แม้จะมองออกแล้วว่าคือสิ่งใด แต่ก็ยังอดไม่ได้ถามออกมาคำหนึ่ง “นี่คือสิ่งใดหรือ”
“ดอกไม้ขอรับ” จิ่งอวิ๋นตอบ
“เมื่อครู่เจ้า…” เฉียวเวยสูดจมูกเช็ดน้ำตา “เมื่อครู่เจ้าไปเก็บดอกไม้มาให้แม่หรอกหรือ”
“ขอรับ”
เฉียวเวยนึกอะไรขึ้นมาได้ นางลูบดอกไม้ป่าที่ทัดอยู่บนศีรษะ เมื่อครู่วิ่งเร็วเกินไป ดอกไม้ป่าดอกน้อยนั่นไม่รู้ร่วงไปที่ใดแล้ว “เจ้าเห็นน้องสาวมอบดอกไม้ให้แม่ใช่หรือไม่”
จิ่งอวิ๋นเองก็ไม่ใช่คนปากหวาน อยากให้เขาพูดออกมาก็ไม่ต่างกับการให้เฉียวเวยพูดออกมานัก เขาเองก็ต้องรวบรวมความกล้ามากมายอย่างยิ่งเช่นกัน ใบหน้าน้อยแดงก่ำ กว่าจะใช้เสียงที่แม้แต่ยุงก็ยังฟังไม่ได้ยินพูดขึ้นมาว่า “ข้าหนีออกมาได้ครึ่งทาง…ก็โศกเศร้ายิ่งนัก ข้าไม่อยากให้ท่านแม่ไม่ต้องการข้าแล้ว…ข้าอยากให้ท่านแม่ชอบข้า”
**************************************