ตอนที่ 449-1 คืนดี (2)
“แม่ชอบเจ้า! แม่ต้องชอบเจ้าแน่นอนอยู่แล้ว!”
เฉียวเวยดึงจิ่งอวิ๋นมากอดไว้แน่น พอสัมผัสร่างกายผ่ายผอมเล็กจ้อยของเขา หัวใจก็เจ็บปวดจนไม่อาจเจ็บปวดเพิ่มได้อีก
นางช่างเป็นคนหยาบกระด้างอะไรเช่นนี้หนอ ปล่อยให้บุตรชายทุกข์ใจถึงเพียงนี้ แต่บุตรชายกลับไม่เพียงไม่กล่าวโทษนาง แต่ยังคิดหาวิธีมาเอาใจนางอีก
ชาติก่อนนางคงช่วยมนุษย์ชาติไว้จริงๆ ชีวิตนี้ถึงมีบุตรชายแสนดีถึงเพียงนี้
จีหมิงซิวเดินออกมาจากในถ้ำ เขามองแม่ลูกที่กอดกันแน่น สายตาเลื่อนไปจับใบหน้าน้อยของบุตรชายที่ซุกอยู่ตรงหน้าอกของผู้หญิงของตน ทันใดนั้นใบหน้าก็ถมึงทึงเดินเข้ามาอย่าง ‘กระตือรือร้น’ อย่างยิ่ง “พอได้แล้ว ข้าอุ้มเขาเอง”
เฉียวเวยหันไปมองเขาด้วยสีหน้าระแวง พูดให้ชัดก็คือมองเท้ากับมือของเขา
ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีรู้สึกอยุติธรรมยิ่งนัก
ใช้ความรุนแรงในครอบครัวไม่สำเร็จ แล้วยังกลายเป็นผู้ชายชอบแคะขี้เท้าอีก เจ้าเด็กหน้าเหม็นคนนี้ ทำร้ายเขาจนน่าอนาถนักจริงๆ!
…
จิ่งอวิ๋นถูกเฉียวเวยอุ้มกลับไป
พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นเฉียวเวยกับจีหมิงซิวเดินไปที่ถ้ำตั้งนานแล้ว พวกเขาเดาได้ว่าจิ่งอวิ๋นคงอยู่ด้านใน ตอนนี้พอเห็นเฉียวเวยอุ้มจิ่งอวิ๋นกลับมาก็ไม่รู้สึกผิดคาดนัก เพียงแต่ว่าเยี่ยนเฟยเจวี๋ยผู้ปากบอนก็อดไม่ได้พูดแซวออกมาหนึ่งประโยค “โอ๊ะ โตขนาดนี้แล้วยังจะให้แม่เจ้าอุ้มอีกหรือ”
จิ่งอวิ๋นอับอายจนทนไม่ไหวจึงพยายามจะลงจากอ้อมแขนของมารดา
เฉียวเวยถลึงตาใส่เยี่ยนเฟยเจวี๋ย แขนกอดร่างเล็กๆ ของบุตรชายแน่นขึ้น ส่วนมืออีกข้างหนึ่งรองด้านหลังศีรษะของบุตรชาย ปกป้องทั้งร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา “ไม่ต้องไปฟังท่านปู่เยี่ยนของเจ้าพูด เขาแค่อิจฉาที่อยากอุ้มก็ไม่มีให้อุ้ม”
ชายโสดอายุสี่สิบปี แทงใจดำเหลือเกิน…
เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ตีกันกลับมาตลอดทาง ตีกันจนเปื้อนฝุ่นเปื้อนดินไปทั้งหน้า
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยประคองหัวใจดวงน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ ถือถังหูลู่สองไม้เดินไปหาสัตว์ตัวน้อย
ชีวิตมนุษย์ช่างน่าเศร้านัก จอมยุทธ์ฝีมือฉกาจผู้ชำนาญอาวุธลับอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพตกต่ำจนถึงขั้นต้องมาจับกลุ่มอยู่กับสัตว์ตัวน้อยแล้ว
เขาแกว่งถังหูลู่ในมือ “มาๆ ไม่ต้องตีกันแล้ว พวกเรามาคุยเล่นกัน…”
เขายังไม่ทันพูดจบ เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ก็เลิกตีกันแล้วจริงๆ พวกมันหันมามองถังหูลู่ในมือเขาพร้อมกันอย่างไม่ได้นัด จากนั้นก็เหมือนจะตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่ประการหนึ่งได้ พวกมันฉกถังหูลู่เสร็จ ตัวที่ปีนต้นไม้ก็ปีนต้นไม้ ตัวที่วิ่งเข้าห้องก็วิ่งเข้าห้อง เพียงพริบตาเดียวก็ไม่เห็นเงาของเดรัจฉานแล้ว
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “…”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “!”
เฉียวเวยกลับมาถึงบนรถม้าก็ทายาและพันแผลให้จิ่งอวิ๋นใหม่ เพราะนางพันด้วยตนเองไม่ได้ให้เจ้าตุ้ยนุ้ยมายุ่ง จึงพันได้สม่ำเสมอและงดงามอย่างยิ่ง
เมื่อพันเสร็จ สือชีก็อุ้มวั่งซูโต้ลมกลับมาพอดี เพราะเหินไปเหินมาบนท้องฟ้า แม้แต่ผมหน้าม้าก็ยังถูกเป่าจนตั้ง
วั่งซูจ้องผมหน้าม้าที่ตั้งโด่ แล้วกระโดดดึ๋งขึ้นมาบนรถม้า นางไม่รู้ว่าพี่ชายเกือบจะหนีออกจากบ้านไปแล้ว นางเข้าใจไปเองว่าพี่ชายหลงทาง นางตบหน้าอกน้อยๆ ของตนเอง แล้วบอกอย่างองอาจห้าวหาญอย่างยิ่ง “ท่านพี่ หนหน้าท่านไปฉิ้งฉ่องก็พาข้าไปด้วยนะ! ข้าจะคอยเฝ้าท่านฉิ้งฉ่องเอง!”
จิ่งอวิ๋นสำลัก
จากนั้นวั่งซูก็มองเห็นดอกไม้ป่าดอกน้อยสีม่วงบนศีรษะของมารดา
สวยนักเชียว ตอนไปเด็ดเหตุใดจึงไม่เห็นสวยเท่านี้นะ
นั่นก็เพราะว่าเจ้าไม่ใช่คนเด็ดมาน่ะสิ…
ข้านี่ช่างเป็นแม่นางน้อยที่เก่งกาจจริงๆ!
วั่งซูคิดอย่างลำพอง
…
เสียเวลาอยู่พักใหญ่ด้วยประการเช่นนี้ อีกทั้งการเดินทางอ้อมตอนแรกก็ทำให้ต้องเดินทางไกลขึ้นอยู่แล้ว คณะเดินทางจึงเดินทางมาถึงเมืองอูเปี๋ยเอาตอนค่ำ ประตูเมืองปิดนานแล้วจึงได้แต่หาครอบครัวคนเลี้ยงสัตว์สักครอบครัวขอพักค้างแรม
คนเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนในยุคนี้มักจะพบนักเดินทางที่มาไม่ทันประตูเมืองอยู่บ่อยครั้ง ในบ้านจึงเตรียมที่พักแรมไว้ให้คนมาพักอยู่ตลอดเวลา ค่าพักแรมของพวกเขาแพงกว่าโรงเตี๊ยมอยู่เล็กน้อย หากไม่อยากจะพัก เจ้าจะตั้งกระโจมเองก็ได้
เงินที่ปล้นมาจากฮองเฮายังเหลืออีกมาก หากไม่ใช้ก็เสียเปล่าสิ
เฉียวเวยพักแรมอย่างใจป้ำ
คนที่เข้ามาพักแรมพร้อมกันกับพวกเขายังมีขบวนพ่อค้าจากต่างถิ่นอีกหนึ่งขบวน พวกเขามาขายสินค้าสำหรับเหมันต์ เผ่าซยงหนีว์เมื่อเข้าหน้าหนาวข้าวของจะขาดแคลน สองปีที่ผ่านมามีราชวงศ์ต้าเหลียงคอยจุนเจือจึงผ่านมาได้ค่อนข้างดี แต่สิ่งที่ทางการแจกจ่ายก็มีจำนวนจำกัด หากต้องการมากกว่านั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือควักเงินของตนเองซื้อ
บุรุษผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวของครอบครัวคนเลี้ยงสัตว์ครอบครัวนี้อยู่ด้วย เขาเชือดแพะสองตัวมาทำแพะหันและต้มน้ำแกงเครื่องในแพด้วยตนเอง ส่วนภรรยาก็อบแผ่นแป้งหลายสิบแผ่น นึ่งไส้กรอกลือดแพะซึ้งใหญ่ เมื่อเห็นว่ามีเด็กน้อยก็หั่นนมแผ่นชิ้นเล็กๆ มาให้อีกหลายถาด
เครื่องปรุงไม่มากจนเกินไปจึงรักษาความสดใหม่ของเนื้อแพะได้มากที่สุด แพะหันนั่นหนังถูกย่างจนกรอบเป็นสีเหลืองทอง น้ำมันไหลออกมาดังซู่ซ่า เมื่อมีเหล้าที่ครอบครัวของเขาบ่มเองดื่มแกล้มก็อร่อยจนทำให้น้ำลายไหลยืดอย่างแท้จริง
เฉียวเวยหั่นเนื้อที่นุ่มที่สุดชิ้นหนึ่งป้อนให้จิ่งอวิ๋น
มือพันผ้าอยู่ช่างไม่สะดวกจริงๆ!
จิ่งอวิ๋นกินอย่างตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง
กินไปพลาง ใบหูน้อยก็แดงก่ำไปด้วย
เฉียวเวยขบคิดว่าป้อนให้บุตรชายแล้ว ต้องป้อนให้บุตรสาวสักนิดหรือไม่ สาวน้อยคนนี้จะได้ไม่อิจฉาตาร้อนขึ้นมา
นางหันกลับไปอีกทาง จากนั้นก็พบว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้ว
เจ้าตุ้ยนุ้ยคนนั้นไม่เหลือบมามองนางสักนิด นางฉีกน่องแพะชิ้นโตกินอย่างตะกรุมตะกรามอยู่ด้วยกันกับบิดาของนางแล้ว
ปากน้อยๆ ของนางยัดอาหารเข้าไปเต็มแน่นจนแก้มตุ่ยขยับไปมาเหมือนกระรอกน้อยตัวอ้วนที่กำลังกินอาหาร
การกินอาหารด้วยกันกับเจ้าตุ้ยนุ้ยคนนี้เป็นทั้งเรื่องสนุกสนามและทรมาน สนุกก็ตรงที่กินได้อย่างเอร็ดอร่อย ส่วนที่ทรมานก็คือกินอะไรก็เผลอกินเข้าไปจำนวนมาก จนหลังจากกินอาหารมื้อหนึ่งเสร็จ ทุกคนก็อิ่มแน่นจนเดินไม่ไหว
ทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เจ้าตัวน้อยทั้งสองคนก็เล่นกันอยู่ในกระโจมพักหนึ่ง เฉียวเวยตักน้ำร้อนมาเช็ดตัวให้พวกเขา เช็ดตัวไปได้ครึ่งหนึ่ง ทั้งสองคนก็ฟุบหลับบนเตียงเสียแล้ว
เฉียวเวยดึงผ้าห่มมาห่มให้ทั้งสองคนดีๆ
ภายในกระโจมไม่มีเตาให้ความอบอุ่น ผ้าห่มจึงเย็นเหมือนกัน
เจ้าอ้วนตัวน้อยกลิ้งขลุกๆ ไปอยู่ข้างพี่ชาย จิ่งอวิ๋นสะลึมสะลือกอดเตาอุ่นตัวน้อยคนนี้เอาไว้
เฉียวเวยขยับยิ้มลูบหน้าผากของทั้งสองคนพลางเหน็บชายผ้าห่มให้ทั้งสองคนจนเรียบร้อย พอหันกลับมาก็เห็นจีหมิงซิวนั่งดูแผนที่อยู่บนพรมขนแพะ นางเดินฝีเท้าแผ่วเบาเข้าไปหาแล้วหยิบเสื้อคลุมกันลมขนจิ้งจอกเงินตัวหนึ่งห่มให้เขา “เหตุใดเพิ่งฟื้นขึ้นมาก็ดูของพวกนี้แล้วเล่า”
“แค่ดูเฉยๆ” จีหมิงซิวตบบนหลังมือของนางเบาๆ
เฉียวเวยนั่งลงชิดกับเขา “ท่านรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”
“ยังไม่ถึงที่ตายหรอก” จีหมิงซิวตอบอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ
เฉียวเวยหันไปมองเขาอย่างอดไม่ได้ “อย่าเห็นร่างกายของตนเองไม่สำคัญเชียวนะ หากท่านกล้าทอดทิ้งพวกเราสามแม่ลูก ข้าจะพาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปแต่งงานใหม่ ให้พวกเขารับผู้อื่นเป็นบิดา”
**************************************