ตอนที่ 450-1 คืนดี (3)

เฉียวเวยได้ยินคำพูดของเขาก็ร้องอ้อตอบอย่างเฉยชาแล้วคีบผักให้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูคนละคำ เมืองอูเปี๋ยมีผักไม่มาก มันจึงแพงยิ่งกว่าเนื้อ แต่ทักษะการปรุงย่ำแย่จึงกลืนไม่ค่อยลงอยู่เล็กน้อย

ทว่าเด็กน้อยทั้งสองคนต่างไม่เลือกกิน เฉียวเวยคีบให้เท่าไร พวกเขาก็กินเท่านั้น เชื่อฟังอย่างยิ่ง!

จูสือมองเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนที่กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวแล้วหันไปมองพวกเฉียวเวย ทุกคนต่างสีหน้านิ่งสงบเหมือนไม่ได้ยินว่าเขาพูดสิ่งใดออกมา เขาร้อนใจพูดย้ำอีกรอบ “พวกเจ้าถูกคนจ้องเล่นงานแล้ว! เหตุไฉนยังมีอารมณ์นั่งกินข้าวอีกเล่า”

เฉียวเวยแค่นหัวเราะ “คุณชายจู เจ้าคิดว่าเหตุใดพวกข้าจึงเดินทางมาเผ่าซยงหนีว์”

จูสือบื้อใบ้

เหตุ เหตุใดเล่า

ไม่ใช่เพราะตามหา…ลูกหรือ

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “คุณชายจู พวกเราเดินทางมาขบวนใหญ่โตถึงเพียงนี้ อยากจะไม่ถูกเพ่งเล็งย่อมเป็นเรื่องยาก นั่งลงกินข้าวก่อนเถิด มีอันใดกินข้าวเสร็จแล้วค่อยว่ากัน”

คุณชายจูหวาดกลัวมาตลอดทาง วิตกกังวลว่าอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาอย่างไร จะกล่าวโทษตนว่าเปิดเผยเรื่องของพวกเขาหรือจะกล่าวโทษตนที่พาภัยร้ายมาให้พวกเขา…

เขาคิดความเป็นไปได้หลายสิบจนถึงนับร้อยทาง แต่ไม่คาดคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้าตอนนี้แม้แต่น้อย

ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่มีสิ่งใดไม่ดี

คุณชายจูนั่งลงตรงที่ว่างด้านข้างเยี่ยนเฟยเจวี๋ย

แต่เดิมเขากังวลจนมือไม้ไม่รู้จะไปวางตรงไหน แต่เมื่อทุกคนมีท่าทางนิ่งสงบ หัวใจที่เต้นระทึกของเขาก็ค่อยๆ สงบลงตาม

บางที…พวกเขามีคนมากมายอาจจะไม่ต้องกลัวเจ้าถิ่นตัวเล็กๆ คนหนึ่งก็ได้กระมัง…

“แต่…” จูสือยังกังวลอยู่เล็กน้อย

เฉียวเวยยิ้มปลอบ “ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีพวกข้าอยู่”

ไม่ว่าเรื่องอะไรก็มีพวกข้าอยู่…

จำไม่ได้แล้วว่าไม่มีคนเอ่ยประโยคนี้กับเขามานานเท่าใดแล้ว

ไม่รู้ผ่านมากี่ปีแล้วที่เขาใช้ชีวิตระเหเร่ร่อน ต้มตุ๋นคนเพื่อหาอาหารเลี้ยงชีวิต ไม่มีผู้ใดบังลมบังฝนให้ เขาหิว เขาเหนื่อย เขาง่วง เขาถูกรังแก…ก็มีแต่ตัวเขาเพียงลำพัง เริ่มแรกเขาเคยวาดหวังอยากมีมิตรสหายร่วมเป็นร่วมตาย มีพี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยากสักคน แต่สุดท้ายแล้วก็เหมือนเอาตะกร้าไม้ไผ่ไปตักน้ำ สิ่งที่ได้มามีเพียงความว่างเปล่า

ดังนั้นต่อให้เฉียวเวยพูดประโยคนี้กับเขา เขาก็สีหน้าหวั่นไหวเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานเขาก็ใช้สติกดสีหน้าหวั่นไหวนี้ลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วจัดการอาหารหนึ่งมื้อนี้จนอิ่มหนำ

ในเมื่อถูกคนจ้องเล่นงานอยู่ แผนการย่อมต้องเปลี่ยน สองสามีภรรยาเลือกโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมแห่งนี้หากอยู่ที่ต้าเหลียงนับว่าเป็นโรงเตี๊ยมชั้นสามยังไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่ในที่แห่งนี้มันนับว่ามีมาตรฐานยอดเยี่ยมที่สุด เฮ้อ ประชาชนชาวซยงหนีว์ช่างใช้ชีวิตยากลำบากจริงๆ!

จูสือถูกคนกลุ่มนี้ทำให้ร้อนใจแทบตายแล้ว รู้ว่าถูกคนจ้องเล่นงานอยู่ ยังกล้าพักค้างแรมอีกหรือ พวกเจ้านี่ช่างใจกล้าเหลือเกินนะ!

เฉียวเวยจูงลูกน้อยทั้งสองเข้าไปในห้องชั้นบนอย่างอ้อยอิ่ง ภายในห้องมีเตียงกว้างขนาดใหญ่มากอยู่หนึ่งเตียง แม้จะเรียกว่าเตียง แต่มันไม่เหมือนเตียงในโรงเตี๊ยมของต้าเหลียง มีราวกับมุ้งกันยุงติดตั้งไว้ด้วย โต๊ะ เก้าอี้ ม้านั่งและตู้ล้วนเรียบง่ายจนเหลือจะกล่าว แต่หลังจากถูกบ้านดินของคฤหาสน์เขาอูเปี๋ยทำร้ายมาหนึ่งหน เฉียวเวยกลับรู้สึกมีความสุขเมื่อเห็นว่าห้องนี้แม้จะเรียบง่ายแต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่บ้านที่ทำมาจากดิน!

แน่นอนว่า พื้นก็ยังเป็นดินอยู่

มีหลุมเล็กๆ อยู่หลายจุดอีกด้วย

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนหยิบลูกแก้วออกมาทันที พวกเขาดีดลูกแก้วลูกแล้วลูกเล่าลงไปในหลุม

เฉียวเวย “…”

ทำแบบนี้ก็ได้หรือ

เฉียวเวยเริ่มจัดสัมภาระ เมื่อหันกลับมาก็เห็นมือของจีหมิงซิวกำลังทำสิ่งที่ไม่อาจบรรยายได้กับเท้าของตนเอง ขมับของนางปูดขึ้นมาทันที!

“ท่าน ท่าน ท่าน…ห้ามแคะเท้านะ!” เฉียวเวยว่าหน้าแดงก่ำ

ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้ที่เพียงจะเปลี่ยนรองเท้า “…”

จะไม่ยอมจบกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่

จีหมิงซิวทำหน้าเหี้ยมหันไปมองบุตรชายที่ดีดลูกแก้วเหินขึ้นมาจากพื้น ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห

จิ่งอวิ๋นดีดลูกแก้วจนมาหยุดอยู่ข้างขาของบิดาบังเกิดเกล้า

“ข้าจะไปหาจูสือสักหน่อย” เฉียวเวยจัดสัมภาระเรียบร้อยก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้อง

จีหมิงซิวมองส่งเฉียวเวยออกไปเสร็จ มุมปากก็ยกโค้งยกเท้าขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

ถีบตรงไหนดีนะ

ต้นขาดี

หรือว่าก้นดี

“ลืมบอกท่านไปคำหนึ่ง อีกเดี๋ยวท่านไปเลือกอูฐ…นั่นท่านจะทำอันใด!” เฉียวเวยเดินไปครึ่งทางก็วกกลับมา ตั้งใจจะกำชับจีหมิงซิวว่าอย่าพาลูกสองคนออกไปด้วย ผลปรากฏว่าเดินเข้าประตูมาก็เห็นเท้าของใครบางคนยกขึ้นมาอีกแล้ว

ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา “…”

จิ่งอวิ๋น “แคะเท้าขอรับ”

ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี “…”

ลูกชาย เจ้าแทงซ้ำเช่นนี้ไม่ดีรู้หรือไม่

เฉียวเวยโมโหจนขนพองทันที ข้ารู้อยู่แล้วเชียว!

สายตาดั่งคมมีดของเฉียวเวยทิ่มแทงดุจพายุโหมกระหน่ำ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีสวมรองเท้าอย่างเงียบๆ แล้วเดินอกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า น้ำตาแห่งความคับแค้นเอ่อคลอ

ก็แค่จะเตะลูกชายสักทีไม่ใช่หรือ

เหตุไฉนจึงยากเย็นเช่นนี้หนอ…

เฉียวเวยเรียกสือชีเข้ามาแล้วให้เขาเฝ้าเด็กทั้งสองคนเอาไว้ ส่วนตนเองเดินไปที่ห้องของจูสือ

จูสือรอแล้วรออีก ในที่สุดก็รอจนเฉียวเวยมา เขาไม่แม้แต่จะรินชาให้เฉียวเวย ลากเฉียวเวยมานั่งบนเก้าอี้แล้วถามทันที “พวกเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใดกันแน่”

“เหตุใดต้องออกเดินทางด้วยเล่า” เฉียวเวยถาม

จูสือตอบว่า “พวกเจ้าถูกคนจ้องเล่นงานอยู่นะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามาจากเมืองหลวง พวกเจ้าพาองครักษ์มามากมายขนาดนี้แล้วยังใช้จ่ายมือเติบจะต้องเป็นคนจากตระกูลใหญ่แน่! แต่พวกคุณชายตระกูลอวี้ไม่ใช่คนที่จะไปหาเรื่องด้วยได้! พวกเจ้ารีบออกเดินทางโดยไวเถิด!”

เฉียวเวยขานอ้อตอบคำหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “คนที่เจ้าบอกว่าจ้องเล่นงานพวกข้าอยู่ก็คือคุณชายตระกูลอวี้หรอกหรือ”

จูสือมองท่าทางไม่หวาดกลัวสักนิดของนางแล้วตกตะลึงจนอ้าปากกว้าง ผ่านไปพักใหญ่เขาก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เขาพูดเหมือนเพิ่งฉุกคิดได้ “ลืมไปว่าเจ้าเพิ่งมาเยือนเผ่าซยงหนีว์หนแรก คงจะไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลอวี้แห่งเขาอูเปี๋ยสินะ”

เฉียวเวยถามต่อว่า “ตระกูลอวี้นี่ร้ายกาจมากหรือ”

จูสือตอบอย่างหวาดผวา “ตระกูลอวี้มีคนเป็นขุนนางอยู่ที่วังหลวง!”

เฉียวเวยคิดในใจ น้องเขยของข้าก็เป็นถึงองค์ชายรองที่วังหลวงเชียวนะ

จูสือก้มหน้า จู่ๆ สีหน้าก็กลายเป็นหงอยเหงา “ตระกูลอวี้เป็นเจ้าถิ่นในเขาอูเปี๋ย คนที่ถูกพวกเขาจ้องเล่นงานล้วนไม่มีจุดจบที่ดี”

เฉียวเวยมองเขา “เจ้าเคยถูกตระกูลอวี้เล่นงานมาก่อนหรือ”

จูสือตอบอย่างเศร้าสร้อย “พี่น้องของข้าคนหนึ่งติดค้างเงินพนันกับนายน้อยตระกูลอวี้ เขาหาเงินมาคืนตามกำหนดไม่ทันจึงถูกนายน้อยตระกูลอวี้ตีจนตาย”

เรื่องการพนัน เฉียวเวยไม่วิจารณ์ให้มาก นางเพียงถามว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจ้องเล่นงานพวกข้าอยู่”

จูสือลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็กลั้นใจเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกไปทุกอย่าง “ก่อนหน้านี้ข้าเคยขายของปลอมให้นายน้อยอวี้ หนนี้ถูกเขาจับตัวไป ข้าไม่ทันระวังจึงหลุดปากพูดเรื่องพวกเจ้า เขาจึงให้ข้ามาถ่วงเวลาพวกเจ้าไว้หนึ่งคืน…ขออภัยด้วย ข้าไม่ควรหลุดปากออกไปเลย”

เฉียวเวยกลับไม่ใส่ใจเรื่องนี้ นางโบกมือแล้วบอกว่า “ไม่เป็นอะไร พวกเขาเตรียมตัวมาอยู่ก่อนแล้ว ต่อให้เจ้าไม่พูด รอพวกเราซื้ออูฐเสร็จ พวกเขาก็รู้ร่องรอยของพวกเราอยู่ดี”

จูสือผ่อนลมหายใจ เขากลัวว่าพวกเขาจะกล่าวโทษตน ไม่ว่าอย่างไรที่ผ่านมาเขาก็เป็นคนที่คอยถ่วงแข้งถ่วงขาผู้อื่นมาตลอด

—————————–