ตอนที่ 450-2 คืนดี (3)

หลังออกมาจากห้องของจูสือ เฉียวเวยก็เดินไปหาเยี่ยนเฟยเจวี๋ย นางกวาดสายตามองรอบด้านแล้วถามว่า “หมิงซิวเล่า”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตอบว่า “ไปซื้ออูฐกับราชครูแล้ว นี่ เมื่อครู่เจ้าถามจูสือแล้วหรือยัง ผู้ใดกันไม่กลัวตายจ้องหมายหัวพวกเรา”

เฉียวเวยบอกเรื่องตระกูลอวี้ให้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยฟัง

“นายน้อยไม่มีแค้นกับตระกูลอวี้สักหน่อย…” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมึนงง คู่แค้นของนายน้อยมากมายจนวนรอบต้าเหลียงได้สองรอบ แต่ในนั้นไม่มีคนเผ่าซยงหนีว์แต่อย่างใด

เฉียวเวยเอ่ยขึ้นเรียบๆ “มีโอกาสแปดส่วนที่ตระกูลอวี้น่าจะถูกผู้อื่นบงการมาอีกที ตกกลางคืนก็ระวังให้มากหน่อย ดูซิว่าพวกเขาจะเล่นลูกไม้อะไร”

ค่ำคืนนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับสือชีล้วนไม่ได้นอนพักอยู่ในห้อง แต่แอบซุ่มอยู่ในห้องข้างๆ อย่างเงียบเชียบ แขกคนอื่นที่พักอยู่ในห้องด้านข้างถูกพวกเขาสกัดจุดหลับไปแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบว่าด้านในห้องมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน

ตกกลางคืนคนชุดดำสองคนก็ลอบเข้ามาในโรงเตี๊ยม

คนหนึ่งในนั้นวิชาตัวเบายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง หากไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนพวกเขาก็คงไม่รู้สึกตัวสักนิด ตรงเอวของเขาห้อยดาบโค้งเล่มหนึ่ง

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองดาบโค้งเล่มนั้นผ่านช่องประตู ไม่รู้เหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นตาอยู่เลือนรางเหมือนกับว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

เทียบกับคนผู้นี้ วิชาตัวเบาของอีกคนหนึ่ง…เยี่ยนเฟยเจวี๋ยมองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขาใช้วิชาตัวเบาเป็นหรือไม่ เพราะเขาถูกพรรคพวกแบกไว้บนหลังเข้ามาในโรงเตี๊ยม

เขารูปร่างเพรียวสูง นิ้วมือก็ประหนึ่งทำมาจากหยก

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยิ่งมองยิ่งงง เหตุไฉนจึงรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ดูแปลกพิกลกันนะ

แม่หนูบอกว่าตระกูลอวี้อาจจะถูกผู้อื่นบงการมา เขาลองคิดดูแล้วผู้ที่มีแรงจูงใจพอจะบงการตระกูลอวี้มาจัดการพวกเขาคงไม่พ้นคนสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกฮองเฮา อีกกลุ่มหนึ่งคือคนของจวนมู่อ๋อง

หากเป็นคนของจวนมู่อ๋องก็น่าจะมุ่งเป้ามาที่มู่ชิวหยาง

แต่เรื่องที่แปลกก็คือทั้งสองคนนั้นเข้ามาในห้องของมู่ชิวหยางแล้วกลับเดินออกไปโดยไม่แตะสิ่งใดทั้งสิ้น

ถ้าเช่นนั้นก็เป็นคนที่ฮองเฮาส่งมาอย่างนั้นหรือ

หากเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็น่าจะมุ่งเป้าไปที่ครอบครัวของนายน้อยสิ

เป็นเช่นที่คิด เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเห็นทั้งสองคนค้นหาตรงนั้นตรงนี้จนดูเหมือนในที่สุดก็ตามหาห้องของนายน้อยพบ

คนที่วิชาตัวเบาดีเยี่ยมคนนั้นหยิบลวดเหล็กบางเส้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วเริ่มตัดกลอนประตูด้านในห้อง

ตามหลักแล้วเวลานี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสมควรพุ่งออกไปแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาจึงอยากจะนิ่งรอดูสถานการณ์ต่ออีกหน่อย

เขาคิดเช่นนี้แล้วเขาก็ทำเช่นนี้ด้วย

กลอนประตูถูกตัดจนขาด

คนที่วิชาตัวเบาดีเยี่ยมคนนั้นกลับไม่ได้เข้าไปในห้อง คนชุดดำที่ร่างกายเพรียวสูงคนนั้นเดินเข้าไป

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกำมือรอบอาวุธลับ

หลังจากคนชุดดำเข้าไปในห้อง เขาก็ย่องไปถึงข้างเตียง มองครอบครัวสี่คนที่นอนหลับสนิทอยู่บนฟูกเตียง จากนั้นยกมุมปากอย่างชั่วร้าย หลังจากนั้นเขาก็หยิบมีดวาววับเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ จรดลงไปบนลำคอของจีหมิงซิว “เหอะ เจ้ามีดีเท่านี้สินะ”

“เช่นนั้นหรือ”

จู่ๆ สุ้มเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์ก็ดังขึ้น

คนชุดดำผงะ หลังจากนั้นชั่วพริบตาต่อมาเขาก็ชักเท้าวิ่งหนี!

“คิดหนีหรือ สายเกินไปแล้ว!” จีหมิงซิวตลบผ้าห่มออกแล้วคว้าข้อมือของเขา แย่งมีดสั้นของเขามาก่อนจะบิดแขนของเขาไพล่ไปด้านหลัง สุดท้ายก็กดร่างของอีกฝ่ายไว้กับโต๊ะเย็นเฉียบ

ผิวเนื้อนุ่มนิ่มถูกกดจนเจ็บเหมือนโดนเข็มทิ่ม คนชุดดำตะโกนอย่างทนไม่ไหว “ปล่อยข้านะ! ไอ้คนชั่ว!”

จิ่งอวิ๋นที่นอนหลับสนิทอยู่ได้ยินเสียง ร่างน้อยก็สั่นเทา

เฉียวเวยรีบกอดเขาเข้ามาในอ้อมแขนแล้วลูบแผ่นหลังของเขาเบาๆ

อีกด้านหนึ่งจีหมิงซิวลากคนออกมาจากห้อง แล้วบอกอีกคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่นอกประตูว่า “ยังไม่ปิดประตูอีก”

คนผู้นั้นปิดประตูอย่างเชื่อฟัง

จีหมิงซิวคุมตัวเขาเข้ามาในห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับสือชี โยนเขาลงบนเตียงแล้วเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเก่งนักหรือ ถึงมาเล่นเป็นมือสังหาร!”

“เหอะ!” คนชุดดำหันหน้าหนีอย่างโมโหโทโส

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับสือชีรีบเข้ามา เพิ่งจะเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียงหวานแค่นเสียงดังเหอะอย่างหยิ่งยโส เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก้าวเสียหลักจนเกือบจะล้มหน้าทิ่ม!

จีหมิงซิวกระชากผ้าปิดหน้าของเขาออก แล้วโยนไปบนโต๊ะอย่างเย็นชา ”หากไม่ใช่ข้าจำเจ้าได้ ตอนนี้เจ้าก็ตายไปแล้ว!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยตาโตอ้าปากค้างจ้องหน้าเขา “คุณชายรองหรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาใส่เขาออย่างไม่สบอารมณ์ “จ้องอะไรไม่ทราบ!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว “ข้าก็ว่าเหตุใดจึงดูคุ้นตาเช่นนั้น!”

พูดจบก็มองอาวุธลับในมือ โชคดีที่ไม่ขว้างออกไป มีดบินนี่มีพิษเสียด้วย เนื้อนุ่มหนังบางอย่างคุณชายรองโดนเข้าไปทีหนึ่งคงซี้แหงแก๋

พอคิดอะไรขึ้นมาได้ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ขมวดคิ้ว “ประเดี๋ยวก่อน คนที่ซื้อตระกูลอวี้คงไม่ใช่ท่านหรอกกระมัง ไม่ใช่สิ ท่าน ท่าน ท่านคิดจะทำสิ่งใดกัน ไม่รออยู่ที่ต้าเหลียงดีๆ วิ่งมาถึงที่นี่ทำอะไรกัน ท่านรู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่เกือบจะ…”

ขว้างมีดใส่ท่านจนพรุนเป็นกระชอนแล้ว!

ใต้เท้าเจ้าสำนักนึกถึงเรื่องเมื่อครู่ก็หวาดกลัวย้อนหลังอยู่เล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าพวกเขาจะระวังตัวเพิ่มเป็นเท่าทวีขนาดนี้ แต่เขาจะยอมรับได้อย่างไรเล่า

เขากลอกตาแล้วเชิดคางตอบว่า “ผู้ใดให้พวกเจ้าไม่พาข้ามาด้วยเล่า”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถูจมูก “ไม่ใช่ข้าเป็นคนไม่ให้พามาด้วยเสียหน่อย จะแค้นก็แค้นให้ถูกคนสิขอรับ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักหันขวับไปถลึงตาใส่พี่ชายของตนเองอย่างโหดเหี้ยม

จีหมิงซิวเหล่กลับมามองเขานิ่งๆ “ลอบสังหารก็ไม่เป็น จะพาเจ้ามาทำอันใด”

ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาจนหน้าแดงระเรื่อ “ข้า ข้า ข้า…ข้าพลาดไปนิดเดียวเท่านั้น!”

จีหมิงซิวปัดแขนเสื้อแล้วว่าย้อนเข้าให้ “พลาดไปนิดเดียว ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าก็ไม่เหลือแล้ว”

มือของใต้เท้าเจ้าสำนักกำเป็นหมัด

จีหมิงซิวรั้งสายตาที่มองบนร่างเขากลับมา แล้วหันไปมองที่ประตู “หากข้ารู้ว่าเจ้าพาเขาออกมาอีก ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้เหยียบกลับไปที่ชนเผ่าลึกลับอีกแม้แต่ก้าวเดียว”

คำนี้ย่อมพูดกับอาต๋าเอ่อร์

อาต๋าเอ่อร์ถูกข่มขู่สำเร็จแล้ว เขายืนอยู่ที่มุมกำแพงไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ

ใต้เท้าเจ้าสำนักผุดลุกขึ้นมายืน “ข้าลำบากแทบตายกว่าจะตามมาได้! เพื่อซื้อตระกูลอวี้ ข้ายังเสียผลสองภพไปตั้งหนึ่งผล! ข้าไม่กลับไปหรอก!”

นี่แลกผลสองภพไปด้วย จีหมิงซิวเริ่มอยากซ้อมเขาแล้ว!

จีหมิงซิวถลึงตาใส่เขาอย่างเย็นชา “กลับไม่กลับเจ้าไม่ใช่คนตัดสินใจ”

กล่าวจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป

ใต้เท้าเจ้าสำนักมองแผ่นหลังของเขาแล้วกัดฟันกรอดเอ่ยขึ้นมาว่า “เหตุใดเจ้าจึงดูแคลนผู้อื่นเช่นนี้ เจ้าคิดว่าตนเองทำได้ทุกสิ่งจริงๆ หรืออย่างไร ก็ได้ หากมีความสามารถเจ้าก็บอกข้าสิว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ใด เจ้าไม่รู้สินะ ฮ่า แต่ข้าคุณชายคนนี้รู้!”

เท้าของจีหมิงซิวชะงัก

ใต้เท้าเจ้าสำนักเลิกคิ้วเรียวของตนเองขึ้นมา จากนั้นหัวเราะอย่างสะใจ “หากเจ้าให้ข้าอยู่ต่อ ข้าจะพาเจ้าไปหานาง”

———————————–