เล่ม 1 ตอนที่ 455-1 คู่แค้นถนนแคบ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 455-1 คู่แค้นถนนแคบ

มู่อ๋องเดินออกจากห้องโถงดื่มชาไปอย่างเกรี้ยวกราด เฉียวเวยเดินเข้ามา นางมองจีหมิงซิวที่จิบชาอย่างสบายใจ แล้วถามอย่างฉงน “เมื่อครู่ท่านพูดอะไรกับเขา เขาถึงโกรธปานนั้น”

“ข้าบอกว่าจะเข้าไปพักที่จวนอ๋อง”

“อะไรนะ เข้าไปพักที่จวนอ๋องหรือ” คราวนี้แม้แต่เฉียวเวยก็อึ้ง ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจีกับเยี่ยหลัวใช่ว่าจะดี ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้พวกเขาหลบราชาเยี่ยหลัวแทบจะไม่ทัน แต่นี่ดันจะเข้าไปพักอยู่ในบ้านน้องชายของราชาเยี่ยหลัวอย่างโต้งๆ นี่ไม่เท่ากับบอกราชาเยี่ยหลัวว่าพวกเขามาถึงเยี่ยหลัวแล้วหรือไร

“พวกเราไม่ต้องทำตัวเงียบๆ ไว้หน่อยหรือ” เฉียวเวยถามเสียงอ่อน

ทำตัวเงียบๆ ย่อมไม่ใช่วิถีทางของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดี สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือพวกเขาจะทำตัวเงียบหรือไม่ ข่าวก็เล็ดลอดออกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นจะปิดบังอะไรอีกเล่า

เฉียวเวยคิดว่ามู่อ๋องคงโกรธจนกระอักแล้ว แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเคยช่วยคนชั่วทำเรื่องชั่วช้า ก็รู้สึกว่าปล่อยเขาโมโหไปก็สมควรแล้ว

พอนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้ เฉียวเวยก็ถามต่อว่า “เรื่องตระกูลกู่…ท่านจะไม่สืบสักหน่อยจริงๆ หรือ แม้จะบอกว่าถูกกำจัดจนสิ้นตระกูลไปแล้ว แต่ไม่แน่อาจจะยังมีผู้ใดมีชีวิตรอดเพราะคืนนั้นไม่อยู่ในตระกูลก็เป็นได้ ท่านจะไม่ไปตามหาพวกเขาจริงๆ หรือ”

จีหมิงซิวตอบเรียบๆ “มีตามหาไปไยเล่า”

เฉียวเวยคิดๆ แล้วก็เห็นด้วย หนนั้นไม่อาจดูแลอวิ๋นจูให้ดี ต่อมาก็ปกป้องเจาหมิงไม่ได้อีก ตระกูลฝั่งมารดาเช่นนี้ สำหรับจีหมิงซิวมีก็เหมือนไม่มี ต่อให้ยังมีผู้ใดยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปนับญาติด้วย

เฉียวเวยมักจะรู้สึกว่าตนเองอาภัพ แต่เมื่อนึกดูแล้วนางยังมีบิดามารดาที่รักใคร่นางและแข็งแรงดีแล้วยังมีสามีผู้รักใคร่เอาใจนางอีก นางจึงเพิ่งตระหนักว่าจีหมิงซิวต่างหากที่อาภัพที่สุด

เฉียวเวยโอบกอดเขาเบาๆ “อย่าเสียใจไปเลย ท่านยังมีข้ากับลูกทั้งสองคนนะ”

จีหมิงซิวคิดอยู่ว่านางอยากพูดอะไร แต่คิดไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องนี้ เขาหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ นางคิดมากเกินไปแล้ว เขาไม่เศร้าเสียใจจริงๆ ครอบครัวฝั่งมารดาของเขาก็คือตระกูลหลี่ ตระกูลกู่ไม่มีความสำคัญต่อเขาสักนิด

สิ่งที่ตระกูลกู่มอบให้เขาไม่ได้ ฮ่องเต้มอบให้ได้ เขาไม่มีสิ่งใดคับแค้นและไม่มีสิ่งใดให้เสียดาย

เพียงแต่เมื่อนึกถึงอวิ๋นจู สตรีที่พานพบคู่ชีวิตไม่ดีจนต้องทนทุกข์ทรมานชั่วชีวิตคนนั้น มากน้อยเขาก็เผยสีหน้าหวั่นไหวออกมาอยู่บ้าง

เขาอยากลองพบหน้านางสักหน

“ท่านว่าเหตุใดตระกูลกู่จึงถูกฆ่าล้างตระกูล อวิ๋นจูเป็นคนทำหรือไม่” เฉียวเวยถาม ตอนนั้นตระกูลกู่ลงมือสังหารบุตรในครรภ์ของอวิ๋นจูเพราะคำทำนายของตำหนักราชครูโดยไม่นึกเสียดาย อวิ๋นจูจะกลับมาทวงแค้นก็สมเหตุสมผล

“ผู้ใดจะรู้เล่า” จีหมิงซิวไม่ค่อยอยากจะพูดเรื่องนี้ต่อ เขาจูงมือเฉียวเวยแล้วใช้ปลายนิ้วลูบกลางฝ่ามือของนาง “ตอนเจ้าจับชีพจรของฮองเฮา ได้ตรวจอย่างละเอียดหรือไม่”

เฉียวเวยนึกทบทวน “พูดตามตรงก็ไม่ค่อยได้ตรวจอย่างละเอียดนัก แต่ครั้งนั้นจับชีพจรเพียงหนเดียวเท่านั้น มีอาการป่วยบางอย่างที่จับชีพจรอย่างเดียวยังวินิจฉัยออกมาไม่ได้ หากอยากรู้ว่านางป่วยเป็นอะไร ข้าจำเป็นต้องได้พบหน้านางอีกหน”

การพบคนผู้นั้นเป็นเรื่องอันตราย จีหมิงซิวไม่ค่อยอยากจะให้ทำเท่าใดนัก เขาอยากจะพูดว่าให้รอจีอู๋ซวง แต่จีอู๋ซวงก็เฝ้ามู่ชิวหยางอยู่กับจูสือ หลังจากครุ่นคิดหลายตลบจึงได้แต่ตบบนหลังมือของนางเบาๆ “รอให้ถึงเมืองหลวงแล้วค่อยวางแผนระยะยาวกันอีกที”

เฉียวเวยทราบดีว่าเขาไม่อยากให้นางไป แต่เขาคอยเฝ้านางได้เสียที่ไหน รอเข้าเมืองหลวงแล้ว นางจะคิดหาวิธีลักลอบเข้าไปในวังหลวงลองพบสตรีนางนั้นอีกสักหน!

จีหมิงซิวเหลือบมองดวงตาที่กลอกไปมานั่นของนาง เขารู้ทันทีว่านางกำลังวางแผนร้ายอะไรอีกแล้ว แผลเป็นหายดีก็ลืมความเจ็บปวดเสียแล้ว ลืมแล้วใช่หรือไม่ว่าข้างกายสตรีนางนั้นมีธนูจันทร์โลหิตกับคนที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็นราชันอสูรอยู่

แต่เฉียวเวยเป็นคนดื้อรั้น ยิ่งห้ามไม่ให้นางทำ นางก็จะยิ่งแอบไปทำ ยิ่งเมื่อมีหมิงเยี่ยคอยพัดกระพือไฟอยู่ด้านข้าง คู่หูตัวแสบสองคนนี้คงทำได้แม้กระทั่งการจุดไฟเผาวังหลวงเยี่ยหลัว!

จีหมิงซิวบีบมือของนาง “ความจริงเทียบกับเรื่องที่นางป่วยเป็นอะไร ข้าสนใจมากกว่าว่าเป้าหมายที่นางล่อพวกเรามายังเยี่ยหลัวคืออะไร ก่อนข้าค้นหาเป้าหมายของนางพบ เจ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม จะได้ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น”

ไม่ใช่ว่าไม่ให้นางไป เพียงแต่ให้ไปช้าหน่อย เฉียวเวยติดกับหลุมพรางอันนี้แล้วจริงๆ นางพยักหน้ารับปากอย่างว่าง่าย!

วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสาง พวกเขาก็ลุกขึ้นมาจากกองผ้าห่มอันอบอุ่น เด็กน้อยทั้งสองคนยังนอนไม่เต็มอิ่ม ระหว่างที่เฉียวเวยสวมเสื้อผ้าให้พวกเขาทั้งสองคน ศีรษะเล็กๆ ก็สัปหงกไปมายังไม่ตื่นดีสักคน หลังจากนั้นไม่ว่าจะเช็ดตัวหรือกินอาหารก็หลับตาอยู่ทั้งสิ้น

เฉียวเวยเกือบจะถูกความน่ารักของเจ้าตัวน้อยทั้งสองคนเล่นงานจนตาย นางป้อนยำแตงกวาให้เจ้าตุ้ยนุ้ยผู้ไม่ชอบกินของเปรี้ยว เจ้าอ้วนตัวน้อยถูกความเปรี้ยวปลุกให้สะดุ้ง ร่างน้อยๆ สั่นระริก เนื้อนุ่มๆ ทั่วร่างเล็กๆ กระเพื่อมเหมือนกับระลอกคลื่น

“โถ” เฉียวเวยอยากจะหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง

ใต้เท้าเจ้าสำนักถลึงตาใส่นาง คนเป็นมารดาทรมานลูกน้อยคนหนึ่งเช่นนี้จะดีหรือ ไม่เคยเห็นผู้อื่นง่วงหรือไร!

เจ้าตุ้ยนุ้ยสะลึมสะลือหลับตาลงอีกครั้ง

ใต้เท้าเจ้าสำนักตัดสินใจป้อนน้ำให้นางหนึ่งคำ

“…”

วังหลวงของเยี่ยหลัวตั้งอยู่ที่เมืองเยี่ยเหลียง ออกเดินทางจากเมืองหลงเฟิ่งขึ้นเหนือไปตลอดทาง เพียงไม่กี่วันก็ถึงเมืองเยี่ยเหลียงแล้ว

เมืองเยี่ยเหลียงเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง บนถนนใหญ่มีร้านรวงตั้งเรียงราย รถม้าวิ่งขวักไขว่ อาคารบ้านเรือนล้วนสร้างจากหิน พวกมันสูงใหญ่ ใหญ่โตและหนักแน่นดูงดงามไปอีกแบบ บนถนนนอกจากบุรุษก็ยังมีสตรีอยู่ไม่น้อย สตรีทั้งหลายสวมผ้าคลุมศีรษะเผยให้เห็นเพียงดวงตาลึกล้ำและเบ้าตาคมลึกคู่แล้วคู่เล่า

วิธีขนย้ายข้าวของของคนเยี่ยหลัวเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง

“เห” วั่งซูเกาะหน้าต่างรถม้ามองภาพที่ไม่เคยเห็นอย่างสงสัยใคร่รู้ คนเหล่านี้เหตุใดจึงไม่หิ้วของไว้ในมือแต่เทินไว้บนศีรษะ คอไม่เจ็บหรือไร

จิ่งอวิ๋นก็ขยับเข้ามาด้วย ดวงตาสีดำสุกสกาวเบิกโต

มีคนเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน

คนเยี่ยหลัวเกิดมารูปโฉมงดงาม ไม่ว่าเด็กคนไหนบนท้องถนนก็มีคิ้วเข้มตาโต เครื่องหน้างามพริ้มเพรา แต่เมื่อเทียบกับพวกเขา จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหน้าตางดงามยิ่งกว่า

มีคนมาดูมากขึ้นเรื่อยๆ

เฉียวเวยกลัวว่าเจ้าตัวน้อยสองคนนี้จะตื่นเต้นจนกระโดดออกไปจึงรีบคว้าคนเข้ามาแล้วปิดผ้าม่าน

รถม้ามาถึงจวนมู่อ๋องอย่างรวดเร็ว

หลังจากได้อยู่ด้วยกันมาตลอดทาง เฉียวเวยก็รู้แล้วว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นแซ่ปี้เป็นพ่อบ้านของจวนมู่อ๋อง

พ่อบ้านปี้นำทางคณะของเฉียวเวยเข้าไปในจวนอ๋อง สิ่งที่ทำให้เฉียวเวยประหลาดใจก็คือ รูปแบบสิ่งก่อสร้างในจวนมู่อ๋องกลับคล้ายคลึงกับต้าเหลียงอย่างยิ่ง หากไม่รู้มาก่อนนางคงคิดว่าตนเองกลับมาถึงต้าเหลียงแล้ว

พ่อบ้านปี้อธิบายว่า “ท่านอ๋องชื่นชอบวัฒนธรรมจงหยวนจึงเชิญช่างฝีมือจากจงหยวนมาสร้างจวนให้”

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าพวกท่านถึงพูดภาษาจงหยวนได้ดีขนาดนี้!”

พ่อบ้านปี้ถูกชมก็ยิ้มตอบว่า “พระชายากลับไปเยี่ยมบ้านฝั่งมารดาอยู่ หากจั๋วหม่าน้อยต้องการสั่งสิ่งใดโปรดเรียกข้า”

เฉียวเวยพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในเรือนที่มีนามว่าฟางชุ่ยหยวนด้วยกันกับเขา

————————————-