ตอนที่ 455-2 คู่แค้นถนนแคบ
จงหยวนมีคำพูดประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ยอมไม่มีเนื้อกินดีกว่าอยู่ในเรือนที่ไร้ต้นไผ่’ ที่จงหยวนต้นไผ่แทบจะเป็นสัญลักษณ์ที่อยู่คู่กับจวนของผู้มีอันจะกิน หลังจากเข้ามาในเขตของเผ่าซยงหนีว์ นางก็ไม่เห็นต้นไผ่อีกเลย คิดไม่ถึงว่าภายในเรือนฟางชุ่ยหยวนหลังนี้กลับปลูกต้นไผ่สีเขียวชะอุ่มไว้เต็มไปหมด ทอดสายตามองไปทำให้คนเพลิดเพลินใจจริงๆ
เฉียวเวยสูดกลิ่นหอมของไผ่ที่ไม่ได้กลิ่นมานานเข้าปอดแล้วรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วทั้งร่าง
พ่อบ้านปี้เห็นสีหน้านางมีความสุขก็เข้าใจว่าตนเองจัดการได้ถูกต้องแล้ว จึงนำทางนางเดินไปข้างหน้าต่อ “นี่คือเรือนหลังหลักขอรับ จั๋วหม่าน้อยกับอัครมหาเสนาบดีพักที่ห้องนี้ ด้านข้างมีห้องทางใต้ให้คุณชายน้อยกับคุณหนูน้อยพัก…”
“ไม่ต้องหรอก พวกเขาจะอยู่ห้องเดียวกับพวกข้า”
ยามนี้อยู่ข้างนอก เฉียวเวยไม่วางใจให้ลูกน้อยทั้งสองแยกไปอยู่ห้องด้านข้าง
พ่อบ้านปี้ขานรับ แล้วนำเฉียวเวยไปดูห้องพักของใต้เท้าเจ้าสำนักและห้องของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับสือชี ดูจากการจัดการแล้ว จวนอ๋องใส่ใจอย่างแท้จริง
เฉียวเวยให้รางวัลพ่อบ้านปี้เป็นทองคำแผ่นหนึ่ง จากนั้นจึงเข้าห้องไปจัดเก็บสัมภาระ
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนอุ้มเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์ไปเล่นที่สวนด้านหลังแล้ว
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินอาดๆ เข้ามา สายตากวาดมองไปรอบด้านแล้วขมวดคิ้ว “เจ้าพวกนั้นเล่า ไปทำสิ่งใดแล้ว”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร” เฉียวเวยเปิดหีบห่อสัมภาระแล้วหยิบเสื้อผ้าออกมาทีละชุดๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนักหันมามองนางแวบหนึ่งแล้วบอกว่า “ข้าไปหาพวกเขาแล้วนะ” จากนั้นก็รีบร้อนเดินออกไป
เฉียวเวยคลี่เสื้อผ้า ตัวที่สวมควรพับก็พับ ตัวที่สมควรแขวนก็แขวน ภายในห้องมีสาวใช้อยู่คนหนึ่ง น่าเสียดายที่สาวใช้ฟังภาษาจงหยวนไม่เข้าใจ นางเองก็ไม่เข้าใจภาษาเยี่ยหลัว ทั้งสองคนจึงได้แต่จ้องตากัน เฉียวเวยจึงทำไม้ทำมือบอกให้นางออกไปเสีย
เสียงเจี๊ยวจ๊าวของลูกน้อยสองคนดังมาจากสวนด้านหลัง หัวใจของเฉียวเวยมีความอบอุ่นสายหนึ่งวาบผ่าน เยี่ยหลัวก็ไม่เห็นจะน่ากลัวอะไรขนาดนั้นนี่
นางเพิ่งจะมีความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว ลานด้านหน้าเรือนก็มีเสียงหวานตวาดขึ้นมาว่า “พี่มู่! พี่มู่จี๋กู่เลี่ย!”
เสียงนี้ใสกังวานเสนาะหู แต่คำว่า “พี่มู่” สองคำนั่นกลับทำให้เฉียวเวยหนาววูบ ขนแขนลุกตั้งขึ้นมาหมดแล้ว
สามคำหลังพูดว่าอะไร เฉียวเวยฟังไม่เข้าใจ แต่น่าจะเป็นภาษาเยี่ยหลัวสักคำ
เฉียวเวยก้มหน้าจัดการข้าวของต่อ
เจ้าของเสียงก้าวฉับๆ มาหยุดอยู่ที่ประตู บังแสงของเฉียวเวยในพริบตา
เฉียวเวยเงยหน้าขึ้นมองไปทางประตู ก็เห็นสาวน้อยอาภรณ์สีชมพู สวมผ้าคลุมผมกับผ้าปิดหน้าคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น เสื้อผ้าที่สวมเป็นการแต่งกายแบบจงหยวน เสื้อตัวบนเป็นเสื้อตัวสั้นลายบุปผาแบบสาบเสื้อเยื้องมาด้านข้าง ด้านล่างสวมกระโปรงคาดเอวประดับไข่มุกตรงชาย เรือนร่างของนางอ้อนแอ้น การแต่งตัวชุดนี้ยิ่งทำให้แลดูงดงามใสและโดดเด่นสะดุดตา
ผ้าคลุมหน้าของนางกึ่งโปร่งจึงพอเห็นเครื่องหน้างามพริ้มเพราได้เลือนราง
การแต่งกายและท่าทางของนางไม่เหมือนสาวใช้ในจวน เป็นเจ้านายในจวนอย่างนั้นหรือ
แต่ภายในจวน นอกจากพระชายาที่กลับไปเยี่ยมตระกูลฝั่งมารดากับฟู่เสวี่ยเยียนที่ถูกฮองเฮาพาไปไว้ข้างกาย ยังมีเจ้านายผู้หญิงคนอื่นอีกหรือ
ระหว่างที่เฉียวเวยมองสำรวจอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็มองสำรวจเฉียวเวยด้วย เฉียวเวยไม่ได้สวมผ้าปิดหน้า ดวงหน้างามไร้ที่ตินั่นจึงเผยต่อหน้าหญิงสาวอย่างไม่ปิดบังสักนิด
หญิงสาวทำหน้าอึ้ง
เฉียวเวยมองนางด้วยสีหน้าที่ยังนับว่ามีมารยาทอยู่
แต่หญิงสาวกลับทำหน้าบึ้งในทันใด นางใช้ภาษาจงหยวนงูๆ ปลาๆ ถามว่า “จาวเปนคนจงหยวนเหยอ”
เฉียวเวยงุนงงครู่หนึ่งก็พยักหน้า “ถูกต้องแล้ว ขอถามแม่นางคือ…”
หญิงสาวตอบว่า “ค่าคือเวองจู้”
เฉียวเวย “?”
หญิงสาวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “จาวจับพี่มู่ขอค่าปายช่ายหรือม่าย”
เฉียวเวยพยายามที่จะแปลความหมายอยู่ครู่ใหญ่ พอจะเข้าใจว่านางถามว่าพวกเขาจับตัวมู่ชิวหยางไปใช่หรือไม่ ภาษาฮั่นของแม่นางคนนี้ นอกจากคำว่าพี่มู่คำนั้นที่ออกเสียงไม่ผิด คำอื่นที่เหลือไม่รู้จะพูดอะไรดีเลยจริงๆ
หญิงสาวก้าวมาข้างหน้าแล้วจับจ้องเฉียวเวยอย่างมาดร้าย “ฉ่งตัวพี่มู่เคินมาชะ! แล้วค่าจากัดจาวม่ายตาย (แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้าไม่ต้องตาย)!”
เจ้ากัดข้าไม่ตาย แล้วข้ายังต้องส่งตัวคนให้ด้วยหรือ ข้าโง่หรือไร
หญิงสาวคิดว่าเฉียวเวยฟังไม่เข้าใจ จึงเน้นน้ำเสียงขึ้นอีก “ฉ่งมาชะ! กัดม่ายตายเยยนะ!”
เฉียวเวยยื่นมืออกมาอย่างขบขัน “เจ้ากัดสิ!”
หญิงสาวมองมือที่เฉียวเวยยื่นออกมาอย่างงงงวยเหมือนกับมองคนบ้าคนหนึ่ง “จาวล้างก่อน! ค่าค่อยกัด!”
เฉียวเวยจิ๊ปากคำหนึ่งก็รั้งมือกลับไป แล้วพับเสื้อผ้าต่อ “อยากกัดก็กัดไม่กัดก็ช่าง!”
แววตาของเฉียวเวยเย็นยะเยือก กำลังจะคว้าข้อมือนางมาสั่งสอนสักหน่อย ทว่าตอนนั้นเองเสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอก “เวิงจู่[1] ท่านมาหรือเจ้าคะ”
หญิงสาวได้ยินเสียงก็ชะงัก เอามือที่กำลังจะเอื้อมไปจับเฉียวเวยลง
เจ้าของเสียงเดินเข้ามา นางเป็นหญิงสาวที่ไม่สวมผ้าปิดหน้าและไม่สวมผ้าคลุมศีรษะคนหนึ่ง ดูจากเสื้อผ้าที่แต่งตัวเหมือนคุณหนูในจวน แต่เฉียวเวยทราบว่าคุณหนูตัวจริงไม่มีทางเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้คนอื่นเห็น มีเพียงสาวใช้เท่านั้นจึงจะไม่สวนผ้าคลุมศีรษะกับผ้าปิดหน้า
นางคำนับหญิงสาวก่อนเป็นอย่างแรก ต่อจากนั้นจึงหมุนตัวมาคำนับเฉียวเวยตาม ก่อนจะใช้ภาษาฮั่นที่สำเนียงถูกต้องตามมาตรฐานและคล่องแคล่วทักทายว่า “ปิงเอ๋อร์คารวะจั๋วหม่าน้อยเจ้าค่ะ”
ปิงเอ๋อร์คนนี้ดวงหน้างดงามผิวพรรณนวลผ่องดุจเทียนไข เป็นคนงามตัวน้อยที่หายากยิ่งอีกคนหนึ่ง หน้าตาของนางดูคุ้นตาเล็กน้อยเหมือนกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แววตาของเฉียวเวยวูบไหว จากนั้นจึงเหล่ตามองหญิงสาวที่พองขนอยู่ด้านข้างแวบหนึ่งแล้วถามว่า “นางเป็นใครกัน”
ปิงเอ๋อร์ตอบว่า “ตอบจั๋วหม่าน้อย นางเป็นหลานสาวขององค์หญิงใหญ่ ตั้งแต่เล็กเติบใหญ่มาด้วยกันกับซื่อจื่อ ผูกพันกันมากยิ่งนัก เมื่อครู่นางมิได้ตั้งใจจะล่วงเกินจั๋วหม่าน้อย เพียงแต่คิดถึงซื่อจื่อมากเกินไปเท่านั้น”
เฉียวเวยมองหญิงสาวอย่างมีเลศนัยครู่หนึ่ง สหายในวัยเยาว์ของมู่ชิวหยางหรอกหรือ มิน่าเล่า
ปิงเอ๋อร์เอ่ยต่อว่า “เวิงจู่ ท่านกลับจวนก่อนเถิด รอซื่อจื่อกลับมาแล้ว ข้าจะเรียนซื่อจื่อให้ไปหาท่าน”
คำพูดนี้พูดได้เยี่ยม ทั้งไม่บอกว่าเฉียวเวยจะปล่อยคนเมื่อใด แล้วก็ไม่บอกว่าเฉียวเวยจะไม่ปล่อย หญิงสาวผู้นั้นได้ยินก็คิดว่ามู่ชิวหยางจะได้กลับบ้านในอีกไม่ช้า หญิงสาวจึงถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างเย็นชาอีกหนหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินจากไป
เฉียวเวยมองใบหน้าของปิงเอ๋อร์ด้วยแววตาชื่นชม “เหตุไฉนข้าจึงเหมือนเคยเห็นเจ้ามาก่อน”
ปิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน “จั๋วหม่าน้อย..น่าจะเคยพบพี่สาวของข้า”
“พี่สาวของเจ้าหรือ” เฉียวเวยยิ่งงุนงง แม้แต่เจ้าข้ายังไม่เคยพบ ข้าจะไปพบพี่สาวของเจ้าได้อย่างไร
ปิงเอ๋อร์ตอบเสียงเบา “ฟู่เสวี่ยเยียนเจ้าค่ะ”
[1]เวิงจู่ คำเรียกเชื้อพระวงศ์ฝ่ายหญิง ใช้สำหรับเรียกธิดาของผู้ที่มียศอ๋องผู้ครอบครองอาณาเขต คล้ายคำว่าจวิ้นจู่ในยุคหลัง
********************************