ตอนที่ 456-2 พบฮองเฮาอีกครั้ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่สนใจนาง เขาเดินไปด้านข้างเพื่อย่อยอาหารแล้ว
คนเป็นบ่าวเห็นสีหน้าเช่นนี้มากมากมาย สีหน้าของปิงเอ๋อร์จึงนิ่งสงบอย่างยิ่ง
กลับเป็นเฉียวเวยเสียเองที่กระอักกระอ่วนแทนใต้เท้าเจ้าสำนัก หากเจ้าหมอนี่รู้ว่าปิงเอ๋อร์เป็นน้องสาวของฟู่เสวี่ยเยียน เป็นน้องภรรยาของเขา ไม่รู้ว่าจะนึกเสียใจหรือไม่
เฉียวเวยไม่ใจดีเตือนเขาหรอก นางหันไปมองปิงเอ๋อร์แล้วถามว่า “ดึกป่านนี้แล้ว เจ้ายังจะออกไปข้างนอกอีกหรือ”
ปิงเอ๋อร์ตอบว่า “พวกนี้เป็นเครื่องประดับกับเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัวของท่านพี่ ท่านอ๋องให้นำไปมอบให้ท่านพี่เจ้าค่ะ”
เฉียวเวยได้ยินก็เบิกตา ดวงตาเป็นประกายทันที “นำไปส่งที่วังหลวงน่ะหรือ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” ปิงเอ๋อร์พยักหน้า
เฉียวเวยแววตาเป็นประกายวิบวับ ฟู่เสวี่ยเยียนได้รับพระราชเสาวนีย์จากฮองเฮาให้ไปอยู่ในวังหลวง คิดว่านางก็คงจะพักอยู่ที่ตำหนักของฮองเฮา หากตามไปพบฟู่เสวี่ยเยียนได้ ไยมิเท่ากับเข้าไปใกล้ฮองเฮาได้เหมือนกัน
กำลังปวดหัวเรื่องที่ไม่มีโอกาสไปตรวจสอบว่านางเป็นโรคอะไรอยู่พอดีเชียว!
ถึงหมิงซิวจะบอกให้ตนรอ แต่โอกาสมาอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่คว้าไว้ก็เสียเปล่าสิ…
ผู้ใดจะรู้ว่าวันหน้ายังจะมีโอกาสที่สะดวกเช่นนี้อีกหรือไม่
ปิงเอ๋อร์ถูกแววตาของเฉียวเวยมองจนขนลุกซู่ในใจ แพขนตาสั่นไหว เอ่ยขึ้นว่า “จั๋วหม่าน้อยมีสิ่งใดต้องการสั่งหรือเจ้าคะ หากไม่มีสิ่งใดต้องการสั่งข้าขอตัวก่อน”
เฉียวเวยยิ้มหวาน “ไปเถิดๆ”
ปิงเอ๋อร์คำนับหนหนึ่งก็หมุนตัวหายไปกับความมืด
ทว่าเพิ่งเดินออกไปได้ก้าวเดียว เฉียวเวยก็ฟันคอของนางจากด้านหลัง ดวงตาสองข้างของนางมืดดับล้มลงไปทันที เฉียวเวยรับตัวนางไว้อย่างทันท่วงทีแล้วอุ้มนางเข้าไปไว้ในห้อง
ตอนที่ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้ามาในห้อง เฉียวเวยก็ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มาสวมเสื้อผ้าของปิงเอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว และกำลังใช้ผงยากับอุปกรณ์ปั้นใบหน้าขึ้นมาอยู่
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางอย่างฉงน ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็ตระหนักได้ว่านางกำลังจะทำสิ่งใด หัวใจดวงน้อยลิงโลด แต่กลับถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง “เจ้ากำลังจะทำสิ่งใดอีกแล้ว”
เฉียวเวยสวมหน้ากากหนังมนุษย์ที่ทำขึ้นมาเสร็จเรียบร้อยแล้วไว้บนใบหน้า “อย่าเอะอะ รออยู่ดีๆ พี่ใหญ่เจ้ากลับมาก็บอกว่าข้าไปซื้อของ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักขยับเท้ามาขวางทางไปของนาง “จะให้ข้าเงียบก็ได้ แต่ต้องพาข้าไปด้วย!”
เฉียวเวยไม่พาเขาไปด้วยหรอก! ไปแล้วเดี๋ยวก็ซวยอีก ไม่เคยจบด้วยดีเลยสักหน
ใต้เท้าเจ้าสำนักพูดอึกอัก “ถ้า…ถ้าเจ้าไม่พาข้าไปด้วย ข้าจะเรียกคนมาจับตัวเจ้าไว้เดี๋ยวนี้!”
เฉียวเวยยกกำปั้นเหล็กของตนเองขึ้นมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันตราย “เจ้าลองเรียกดูสิ”
“ข้า…”
เขาเพิ่งอ้าปาก กำปั้นเหล็กของเฉียวเวยก็กางออกอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นยาลูกกลอนสีแดงก่ำเม็ดหนึ่งกลางฝ่ามือ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง กำลังจะปิดปาก ทว่ายาลูกกลอนกลับถูกขว้างเข้ามาในปากของเขาแล้ว!
“เจ้า เจ้า เจ้า…”
จากนั้นสองตาก็เหลือกลอยล้มลงกับพื้น
เฉียวเวยจิ๊ปากหนึ่งหนแล้วอุ้มเขากลับไปที่ห้องของตนเอง ดึงผ้าห่มห่มให้เขาเสร็จก็เรียกอาต๋าเอ่อร์มาเฝ้าเขาไว้ ส่วนตนเองพาเสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์นั่งรถม้าของจวนอ๋องไปที่วังหลวง
เมื่อมีป้ายของจวนมู่อ๋อง นางจึงผ่านเข้าประตูวังไปอย่างราบรื่น แม้นางจะไม่เคยมาวังหลวงทำให้ไม่รู้จักทางไปตำหนัก แต่เสี่ยวไป๋กับจูเอ๋อร์จำกลิ่นของฟู่เสวี่ยเยียนกับฮองเฮาได้ พวกมันจึงหาเส้นทางพบอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เฉียวเวยไม่รู้ภาษาเยี่ยหลัว ไม่รู้ว่าบนป้ายเขียนว่าตำหนักอะไร รู้เพียงว่าตำหนักบรรทมแห่งนี้คงจะเข้าไปไม่ง่ายนัก ตรงประตูมีขันทีเฝ้าอยู่สองคน เมื่อครู่ตอนผ่านเข้าประตูวังมานางแสร้งทำเป็นเงียบ แต่เพราะป้ายจวนอ๋องไม่ใช่ของธรรมดา องครักษ์ระดับล่างจึงไม่กล้าถามมาก ปล่อยให้นางเข้าไปโดยดี
แต่ขันทีที่นี่ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น ดวงตาของแต่ละคนแทบจะเชิดไปอยู่บนกระหม่อมแล้ว หากพวกเขาขวางนางแล้วถามสาเหตุที่มา นางก็เผยไต๋หมดน่ะสิ
เฉียวเวยครุ่นคิดในใจแล้วก็ตัดสินใจ…ปีนกำแพง
เสี่ยวไป๋เฝ้ายาม จูเอ๋อร์ปีนข้ามไปก่อน จากนั้นจึงกวักมือน้อยสีดำเรียกเฉียวเวย
เฉียวเวยสะพายห่อผ้า ถอยหลังสองสามก้าวเพื่อวิ่งส่งแรง ปลายเท้าเหยียบบนกำแพงสองสามก้าวก็คว้าขอบกำแพงได้อย่างรวดเร็ว
นางส่งสายตาให้จูเอ๋อร์ จูเอ๋อร์กระโดดลงไปอย่างว่องไวแล้วไปตามหาห้องของฮองเฮา
เฉียวเวยนั่งอยู่บนขอบกำแพงอย่างเงียบๆ กำแพงสูงถึงสามเมตร กระโดดลงไปเช่นนี้ย่อมเลี่ยงเกิดเสียงไม่ได้ เฉียวเวยลุกขึ้นยืนแล้วเดินบนกำแพงครู่หนึ่งจนมาถึงหน้าต้นไหวอายุมากต้นหนึ่ง นางปีนไปบนกิ่งของต้นไหวแก่ แล้วโอบลำต้นอวบหนาของต้นไหวอายุมากไถลตัวลงมาทีละนิด
ตอนที่ไถลลงมาได้ครึ่งทางนั่นเอง ด้านหลังก็มีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น “เสี่ยวเวย!”
หัวใจของเฉียวเวยสั่นสะท้านพลัดร่วงลงมาจากต้นไม้ทันที
ร่วงหนนี้ไม่เบา หน้ากากจึงหลุดออกไปด้วย
เฉียวเวยกุมก้นที่เจ็บแปลบ ตั้งท่าจะลุกขึ้นไปเก็บหน้ากาก แต่ไม่ทันให้นางได้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าที่คุ้นเคยก็ก้มลงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าสายตาของนาง เจ้าของใบหน้าเบิกดวงตาสดใสไร้เดียงสาคู่นั้นแล้วถามด้วยความดีใจปนคิดไม่ถึง “เสี่ยวเวย เจ้าจริงๆ หรือ”
เฉียวเวยเหงื่อกาฬแตกพลั่ก นางกระโดดเหมือนปลาหลี่กระโดดขึ้นจากน้ำกระโจนออกไปห่างสามฉื่อ พอตั้งหลักได้ก็มองอีกฝ่ายอย่างระแวง
ฮองเฮาเยี่ยหลัวถามอย่างงุนงง “เสี่ยวเวยเจ้าเป็นอะไรไป”
เฉียวเวยสะบัดแขนข้างหนึ่งชักกริชออกมาจากในแขนเสื้อ จากนั้นก็กระชากคอเสื้อของนางมากดไว้กับลำต้นหนาของต้นไม้ใหญ่
นางกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ก็ตกใจ ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด “เสี่ยวเวยเจ้าทำอะไรน่ะ เจ้าทำข้าเจ็บแล้วนะ!”
นางเหมือนถูกทำร้ายจนเจ็บตัวจริงๆ ดวงตาแดงระเรื่อ ในเบ้าตามีน้ำตาเอ่อคลอคล้ายจะหยดร่วงลงมาได้ทุกเมื่อ
พอเห็นสภาพเช่นนี้ของนาง เฉียวเวยก็ไม่อยากยอมรับเลยว่าตนเองดันรู้สึกปวดใจอย่างน่าตายขึ้นมาวูบหนึ่ง
ตอนนั้นก็เป็นเพราะท่าทางน่าสงสารเช่นนี้ไม่ใช่หรือที่หลอกพวกเขาทุกคน
นางไม่มีทางยอมติดกับซ้ำสองหรอก!
จะป่วยเป็นโรคอะไรหรือไม่ ความจริงแล้วไม่สำคัญเลย หากสังหารนางเสียตอนนี้ ความยุ่งยากใดๆ ก็จะหมดไป!
เฉียวเวยกำกริชในมือแน่น
“xxx…”
เสียงประกาศของขันทีดังขึ้นไม่ไกล
ฮองเฮาเยี่ยหลัวแววตาสั่นระริก ดึงมือของเฉียวเวยออก “แย่แล้ว ราชามาแล้ว! เจ้า…”
นางมองกำแพงสูงแล้วขมวดคิ้วอย่างกลัดกลุ้ม “ตามข้ามา!”
กล่าวจบก็ลากเฉียวเวยหลบเลี่ยงนางกำนัลกับขันทีเข้าไปในห้องที่ตกแต่งอย่างหรูหรางามวิจิตรห้องหนึ่ง
เฉียวเวยถูกการกระทำทั้งหลายของนางทำเอาสับสนมึนงง เป็นเช่นนี้ออกจะผิดปกติอยู่สักหน่อยหรือไม่ นางไม่ควรฉวยโอกาสหนีหรือตะโกนร้องขอความช่วยเหลือหรอกหรือ ซ่อนตัวมือสังหารเอาไว้ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
“เข้าไป!”
ไม่รอเฉียวเวยตั้งสติได้ ฮองเฮาเยี่ยหลัวก็ยัดนางเข้าไปในตู้
ชั่วพริบตาที่ประตูตู้ปิดลง ประตูห้องก็เปิดออก
****************************