WSSTH ตอนที่ 3,003 : วาสนาสถาน!

กล่าวไปแล้ว เหล่ายอดเซียนอมตะที่สามารถรอดชีวิตในแดนสวรรค์ใต้มานานกว่า 2 เดือน ล้วนแล้วแต่เป็นยอดเซียนอมตะที่เหนือกว่ายอดเซียนอมตะทั่วๆไปทั้งสิ้น

ในบรรดายอดเซียนอมตะที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอระหว่างเดินทางนั้น หากไม่ใช่คนที่เข้าใจถึงกฏอันใด แม้จะแตกฉานวรยุทธ์อมตะกับเวทย์พลังระดับขุนนางทั้งหมดแล้ว แต่พลังฝีมือของพวกมันก็แค่พอๆกันกับหวงเจียหลงบนเวทีประลองสวรรค์ใต้ในวันวาน เรียกว่าเต็มที่ก็แค่สูสีกับองค์ชาย 4 ฝูชิวอย่างหูจี้หย่ง

และคนเหล่านี้ก็นับว่าโชคร้ายเหลือเกินที่ดันมาเจอกับต้วนหลิงเทียนเข้า เพราะพวกมันไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้ทำอะไรเลย ก็ถูกต้วนหลิงเทียนเข่นฆ่าตกตายไปแล้ว!

ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของต้วนหลิงเทียน คิดเข่นฆ่ายอดเซียนอมตะที่ยังเข้าไม่ถึงพลังแห่งกฏ นับว่าเป็นเรื่องราวอันง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการตัดหญ้าฆ่าไก่!

“น้องต้วน พวกอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ท่านได้จากคนที่ตกตาย หลังท่านออกไปแล้วก็อย่ารีบร้อนเปิดเผยออกไปเล่า…ให้ดีก็รอให้ท่านเข้าร่วมกับ 3 นิกาย 2 ตระกูลไปสักระยะแล้ว ค่อยเอาไปปล่อย…”

“แน่นอนว่าหากท่านไม่ขาดแคลนผลึกอมตะไว้ใช้ เช่นนั้นก็เก็บไว้ยาวๆ อย่าได้นำไปปล่อยเลย”

หวงเจียเชากล่าวเตือน

ระหว่างที่เดินทางติดตามต้วนหลิงเทียนมา พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนนับว่าทำให้มันแตกตื่นแทบตายจริงๆ ยิ่งได้เห็นฉากเขาฆ่าคนราวตัดหญ้าฆ่าไก่ หนังศีรษะก็เสมือนชาด้านไปไม่รู้เหนือใต้…

ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตัวมันจะได้ยินจากปากพี่ชายอย่างหวงเจียหลงมาแล้ว ว่าความแข็งแกร่งของต้วนหลิงเทียนหาได้เป็นอย่างที่เคยเป็นไม่ อย่างไรก็ตามการได้ฟังจากปากคนอื่นกับได้มาเห็นกับตาตัวเอง นับเป็นสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

“ก็นะ ข้าก็ว่างั้นล่ะ”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

หลังจากเร่งรุดเดินทางต่อไปสักพัก เมื่อเข้าเขตพื้นที่ทะเลทรายอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หลังวิ่งฝ่าฝุ่นทรายไอแดดจ้าไปสักพัก ลูกตาหวงเจียเชาก็หดเล็กลง “ข้ารู้สึกกว่า กลิ่นอายพลังลี้ลับที่คอยชี้นำมันแปลกไปเล็กน้อย…หรือพวกเราใกล้จะถึงวังจอมราชันอมตะกันแล้ว?”

“ข้าเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”

ได้ยินคำพูดดังกล่าวของหวงเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็เลิกคิ้วขึ้น หากทว่าทันใดนั้นเองเขาพลันหันขวับไปมองทิศทางหนึ่งอย่างกะทันหัน

กระทั่งใบหูต้วนหลิงเทียนยังกระดิกเบาๆ คล้ายได้สินเสียงแผ่วเบาอะไรบางอย่าง

“น้องต้วน ดูเหมือนทางนั้นจะมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง…”

ตอนนี้เองหวงเจียเชาก็หันมองไปตามสายตาของต้วนหลิงเทียนพลางกล่าวออกมาด้วยสีหน้างเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่ามันเองก็สัมผัสได้แล้วว่าบริเวณที่ต้วนหลิงเทียนมองไปนั้น มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง

ต้วนหลิงเทียนหยีตามองจ้องอยู่พักหนึ่ง ก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง เป็นประกายสีฟ้าเรืองๆขึ้นมาห่างจากจุดที่เขาอยู่หลายสิบลี้

อย่างไรก็ตามทิศทางที่เขาพบว่ามีประกายสีฟ้าเรืองออกมานั้น กลับไม่ใช่ทิศทางไปยังวังจอมราชันอมตะจากการชี้นำของพลังลี้ลับ

ทว่าต้วนหลิงเทียนยิ่งมาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวรุนแรงจากจุดนั้น คล้ายมีผู้คนกำลังลงมือกันอย่างเอาเป็นเอาตาย!

ถึงแม้ในแง่พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนจะเหนือกว่าหวงเจียเชามาก แต่อย่างไรเสียด่านพลังเขาก็อยู่ในขอบเขตยอดเซียนยอมตะขั้นสูงสุดไม่ต่างอะไรจากหวงเจียเชา

ดังนั้นแล้วไม่ว่าอะไรก็ตามที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ ก็อยู่ในวิสัยที่หวงเจียเชาพอจะสัมผัสได้เช่นกัน แค่สายตากับหูของต้วนหลิงเทียนจะดีกว่า เพราะเขาทะลวงจุดชีพจรได้เยอะกว่าเท่านั้น

“เอาล่ะ พวกเราไปดูทางนั้นกันก่อนเถอะ”

กล่าววไปแล้ว ระยะทางเพียงไม่กี่สิบลี้ก็ไม่ถือว่าห่างไกลอะไรแม้แต่น้อย ต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่อาจทนต่อความอยากรู้อยากเห็นในใจได้ไหว จึงเลือกที่จะมุ่งหน้าไปยังจุดที่เขาเห็นประกายสีฟ้าเรืองๆออกมาทันที

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนบึ่งร่างออกไป หวงเจียเชาก็ไม่รอช้าเร่งรุดไล่ตามไปติดๆ เพราะอย่างไรเสียอาศัยพลังฝีมือส่วนตัวของมัน ก็คงเอาตัวรอดในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำตอนนี้ได้ยาก

เพราะหลังจากที่มันได้พบเจอกับต้วนหลิงเทียนและร่วมเดินทางมาด้วยกันนั้น ต่อให้เป็นยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดที่อ่อนแอที่สุดที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าไปง่ายๆ แต่พลังฝีมือของคนผู้นั้นก็พอๆกับมันเลย!

และส่วนที่เหลือก็เหนือกว่ามันอย่างสิ้นเชิง!

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็เดินทางมาจนเห็นต้นกำเนิดของประกายสีฟ้าเรืองๆ ที่แท้มันเป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราบนั่นเอง

อย่างไรก็ตามเพียงมองไปตอนนี้ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ทะเลสาบธรรมดาๆแน่นอน เพราะผิวน้ำไม่เพียงแต่จะไม่สงบ แต่กลับปั่นป่วนดั่งห้วงสมุทรคลั่ง อีกทั้งจากสัมผัสเขายังบอกได้อีกว่าต้นตอความปั่นป่วนมันมาจากลึกลงไปใต้ผิวน้ำ!

“ดูเหมือนจะมีคนสู้กันใต้ทะเลสาบ”

สำนึกเทวะของหวงเจียเชาแผ่ลงไปสำรวจใต้ทะเลสาบไม่ทันไรก็พบความเคลื่อนไหวบางอย่าง ต้นตอของแรงสั่นสะเทือนที่ทำให้ผิวน้ำคุ้มคลั่งเหมือนจะมาจากที่นั่น

“สู้กัน? ใต้น้ำนี่น่ะรึ?”

สำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนเองก็แผ่ลงไปสำรวจใต้ทะเลสาบเช่นกัน และเมื่อตรวจพบการต่อสู้ สองตาของเขาก็ลุกวาวขึ้นมาทันใด “มัน…จะเป็นไปได้รึเปล่าว่าที่นี่คือ วาสนาสถาน?”

ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น มีโอกาสและวาสนารอคอยให้ผู้ที่มีโชคชะตาต้องกันไปพานพบมากมาย และกระจายตัวอยู่ไปทั่วแดนสวรรค์ใต้โบราณ ผู้คนจึงเรียกจุดที่มีโอกาสวาสนาเช่นนี้ว่า ‘วาสนาสถาน’ เป็นอันบ่งบอกว่าเป็นสถานที่อันมีโอกาสและโชควาสนารอคอยท่านอยู่!

และโอกาสวาสนาในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้น ก็อาจจะเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชา วรยุทธ์อมตะหรือเวทย์พลังระดับราชา ไม่เว้นเคล็ดอมตะ ยันต์อมตะ โอสถอมตะ กระทั่งยังเป็นสถานที่ๆอาจสามารถเพิ่มพูนพลังฝึกปรือหรือความเข้าใจในกฏ

ทรัพย์สมบัติรวมถึงสิ่งของล้ำค่าอื่นๆก็มีอยู่เช่นกัน

“ไม่มีใครเคยออกมาเล่าเรื่องวังจอมราชันอมตะก็จริง…แต่เรื่องวานาสถานในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำนั้นมีผู้คนกล่าวถึงหนาหูไม่น้อย เพราะมีหลายยคนที่พบพานวาสนาสถานแล้วได้ครอบครองสิ่งล้ำค่ากลับมามากมาย”

ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหวงเจียเชาพลางยิ้มกล่าวด้วยสีหน้าขื่นขม “พี่เจียเชา ต้องบอกเลยยว่าข้ากับท่านดูเหมือนจะดวงไม่ค่อยดีด้วยกันทั้งคู่…มาตอนนี้ก็ผ่านไป 2 เดือนกว่าแล้ว แต่ข้ากับท่านดูเหมือนจะพึ่งเคยพบเจอวาสนาสถานที่ผู้คนมากมายกล่าวถึงกัน”

ในการเปิดออกของแดนสวรรค์ใต้โบราณแต่ละรอบ มักมีผู้คนไม่น้อยที่พบเจอวาสนาสถาน ถึงแม้บางแห่งจะไม่ใช่สิ่งที่เลิศล้ำอะไรมากมายก็ตามที

แต่เป็นธรรมดาว่า วาสนาสถานมิใช่สถานที่ๆจะมีแต่สิ่งดีๆ กระทั่งมันอาจเป็นหลุมฝังศพของท่านได้เช่นกัน

คนที่พบเจอวาสนาสถานนั้น แม้จะมีโชคได้พบเจอ แต่กลับโชคร้ายที่ดันพบเจอผู้อื่นที่บังเอิญพบเจอเช่นกัน สุดท้ายก็ไม่วายตกตายภายใตเงื้อมมือของยอดเซียนอมตะที่มีพลังฝีมือสูงกว่า โอกาสวาสนาใดๆก็ล้วนหลุดลอยไปอยู่ในมือผู้อื่น ส่วนตัวเองก็ได้แต่นอนตัวเย็นเป็นซากเน่าไร้คนเหลียวแล…

มีบางคนที่ไร้โอกาสวาสนาอันใด แต่ขอเพียงพลังฝีมือกล้าแข็งสูงพอ เช่นนั้นเพียงช่วงชิงปล้นวาสนาและโอกาสของผู้อื่นเสียก็จบ!

และตลอดการเดินทางที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่เคยพบเจอวาสนาสถานอะไรเลย แต่ในบรรดาคนที่เขาฆ่า สมควรเป็นคนที่พบเจอโอกาสวาสนามาไม่ผิดแน่!

เพราะบางคนนั้นถึงกับครอบครองอุปกรณ์อมตะระดับราชามากกว่า 2 ชิ้น แต่เนื่องจากต้วนหลิงเทียนไม่อาจยืนยันได้ว่ามันเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่อีกฝ่ายพบเจอในแดนสวรรค์ใต้ หรือเป็นของมันเองกันแน่ เขาจึงไม่คิดจะเปิดเผยสิ่งที่ได้มาออกไปง่ายๆหลังรอดกลับออกไป

เนื่องเพราะเหล่าผู้ที่เข้ามาในแดนสวรรค์ใตโบราณระดับต่ำครั้งนี้ ไม่ขาดตัวตนที่มีพื้นเพความเป็นมายิ่งใหญ่ หากเขาหยิบอุปกรณ์อมตะระดับราชาเหล่านั้นออกมาใช้หรือขายสุ่มสี่สุ่มห้า เกรงว่าอาจจะเป็นเบาะแสให้ผู้อื่นสาวมาถึงตัวเอาได้ง่ายๆ

ถึงตอนนั้นก็รังแต่จะสร้างปัญหาและความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น

“พวกเราจะเข้าไปดูกันไหม?”

หวงเจียเชาหันไปมองถามความเห็นต้วนหลิงเทียน ในแววตาของมันยังฉายแววตื่นเต้นไม่น้อย

หากเป็นตัวมันเองมาพบเจอที่นี่เพียงลำพัง และพบว่าด้านในสมควรมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ มันคงจะรีบหลบหนีไปให้ไว เพราะมันรู้กำลังของตัวเองดี

เลินเล่อเข้าไปเพราะความโลภ ไม่พ้นได้ตายกลายเป็นผีเฝ้าที่แน่!

“ไปสิ!”

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับคำ เขาเองก็คิดจะเข้าไปอยู่แล้ว เช่นนั้นหลังกล่าวจบคำไม่ทันไร คนก็พุ่งวูบนำเหินเจียเชาลงไปในทะเลสาบทันที

และทั่วร่างของทั้งคู่ก็แผ่พลังเซียนอมตะต้นกำเนิดออกมากางกั้นเป็นม่านพลัง ปิดกั้นมวลน้ำได้ชะงัด ทำให้การเดินทางลงไปใต้ทะเลสบายของทั้งคู่ ง่ายดายไม่ต่างอะไรกับการเดินในสวนหลังบ้าน

ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!

ครืน! บรึม! บรึม! บรึม!!

เมื่อล่ววงลึกเข้ามาในทะเลสาบ ยิ่งเข้าใกล้จุดปะทะมากเท่าไหร่ ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็ได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมดังขึ้นเท่านั้น

“หืม?”

ทันใดนั้นเองต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็จำต้องหยุดร่างลงชั่วคราว เพราะเสียงการปะทะที่ดังสนั่นหวั่นไหวอยู่ๆก็หยุดลงอย่างกะทันหัน จากนั้นก็เงียบหายไปเลย

ราวกับเสียงดังทั้งหมดที่ได้ยินมาก่อนหน้า ล้วนเป็นมายาหรือไม่พวกเขาก็หูหลอนกันไปเอง

ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาหันมามองหน้าสบตากันทันที

“น้องต้วน ดูท่าพวกมันจะพบพวกเราแล้วสิ?”

หวงเจียเชาถามด้วยการส่งเสียงผ่านพลัง

“คงงั้นล่ะ…หากพวกมันไม่รู้ว่าพวกเรามา มีหรือจะหยุดตีกัน”

ต้วนหลิงเทียนตอบพลางยักไหล่

หลังจากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาก็มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกใต้ทะเลสาบ พลางแผ่สำนึกเทวะออกกไปตรวจสอบเรื่องราวโดยรอบอย่างระวัง

และไม่นานทั้งคู่ก็ตรวจพบว่าบริเวณผนังผาจุดหนึ่งใต้ทะเลสาบ กลับมีม่านพลังหนึ่งคอยปิดกั้นมวลน้ำเอาไว้ และภายในม่านพลังดังกล่าวก็เป็นประตูที่แลดูเก่าแก่บานหนึ่ง

ข้างๆประตูเก่าแก่บานดังกล่าว ยังมีแท่นศิลารูปทรงกระบี่ตั้งอยู่ และมีอักขระสลักไว้บนใบกระบี่ศิลาดังกล่าวชัดเจน

สุสานกระบี่!

ต้วนหลิงเทียนกับหววงเจียเชาล่วงล้ำเข้าสู่ภายในม่านพลัง ก่อนที่จะไปหยุดยืนหน้าประตูเก่าแก่โบราณบานดังกล่าว และสองตาของทั้งคู่ก็มองจ้องไปยังแท่นศิลาทรงกระบี่ข้างๆอย่างน่าดูชม

“สุสานกระบี่รึ!? เช่นนั้นหมายความว่าที่นี่คือวาสนาสถานที่พวกเรามีโอกาสจะได้รับอุปกรณ์อมตะอันประเสริฐ!”

หวงเจียหลงกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยความตื่นเต้น “ในแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำมีอุปกรณ์อมตะที่เลิศล้ำกว่าอุปกรณ์อมตะทั่วไปดำรงอยู่…และนั่นก็คืออุปกรณ์อมตะประเสริฐที่มักจะอยู่ในวาสนาสถานที่ราชาอมตะตั้งใจสร้างขึ้น เป็นอุปกรณ์อมตะที่ราชาอมตะได้ใช้พลังขัดเกลาหล่อเลี้ยงมาชั่วระยยะเวลาหนึ่ง!!”

“โดยทั่วไปแล้ว อุปกรณ์อมตะระดับราชาธรรมดาๆกับอุปกรณ์อมมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากตัวตนขอบเขตราชาอมตะมาพักหนึ่งนั้น จักมีอานุภาพแตกต่างกันมาก!”

ได้ยินคำอธิบายของหววงเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจอยู่บ้าง เพราะเขาเองก็พึ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ ที่แท้ในบรรดาอุปกรณ์อมตะระดับราชาก็มีแบ่งแยกคุณภาพในลัษณะนี้ด้วย

“ในเมื่อวาสนาสถานแห่งนี้ถูกเรียกว่าสุสานกระบี่ เช่นนั้นหมายความว่าด้านในสมควรมีกระบี่อมตะระดับราชาที่ได้รับการหล่อเลี้ยงขัดเกลาจากราชาอมตะที่สร้างวาสนาสถานแห่งนี้ขึ้น!”

หวงเจียเชากล่าวออกมาด้วยความคาดหวัง มันมองโลกในแง่ดีนัก

และพอหวงเจียชมกล่าวจบได้ไม่ทัน ก็มีเสียงดังออกมาจากประตูเก่าแก่โบราณเบื้อหน้าพอดิบพอดี

“สองคนด้านนอกนั่นน่ะ เข้ามาเถอะ”

เห็นได้ชัดว่าผู้ที่อยู่ด้านในไม่คิดที่จะลงมือกับต้วนหลิงเทียนและหวงเจียเชาอย่างวู่วาม

แต่เป็นธรรมดาว่าต่อให้พวกมันคิดซุ่มโจมตีอะไร ด้วยความที่เป็นยอดเซียนอมตะดุจเดียวกัน หากพวกมันไร้อุปกรณ์อมตะหรือยันต์อมตะประเภทปกปิดกลิ่นอาย ก็คงยากที่จะรอดพ้นจากการตรวบจับของสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนได้

ที่สำคัญอุปกรณ์อมตะรวมทั้งยันต์อมตะที่มีพลังสามารถดังว่า ปกติแล้วจะเป็นอุปกรณ์อมตะและยันต์อมตะที่สร้างขึ้นโดยตัวตนที่มีด่านพลังเหนือกว่าขอบเขตยอดเซียนอมตะ ทำให้พลังอำนาจของมันก็อยู่เหนือขอบเขตของยอดเซียนอมตะเป็นธรรมดา จึงยากที่จะใช้งานอะไรได้ภายใต้ข้อกำจัดของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้

เมื่อเปิดประตูดังกล่าวแล้วก้าวเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่ต้วนหลิงเทียนแลเห็นก็คือ ทางเดินแคบๆสายหนึ่ง และทางเดินแคบๆที่ว่าก็มีความยาวเพียงไม่กี่สิบหมี่เท่านั้น พอมาถึงปลายทางที่แสงลอดเข้ามา ก็ปรากฏเป็นโถงถ้ำกว่าใหญ่แห่งหนึ่ง

โถงถ้ำแห่งนี้ไม่ทราบมีผู้คนบรรจงสร้างหรือเกิดขึ้นตามธรรมชาติกันแน่ แต่มีลักษณ์คล้ายห้องหับทรงจัตุรัส อีกทั้งมองไปตามผนังโดยรอบ ก็มีรอยกระบี่ฟันไว้นับไม่ถ้วน บางรอยตื้นบางรอยลึก บ่งบอกถึงความหนักเบาของผู้ลงกระบี่ คล้ายว่ามีมือกระบี่คนหนึ่งทำการฝึกปรือวิชาในโถงถ้ำทรงจัตุรัสแห่งนี้

และส่วนลึกสุดของโถงถ้ำก็ปรากฏแท่นศิลาแท่นศิลารูปทรงกระบี่อันเขื่องแท่นหนึ่ง

อีกทั้งบนแท่นศิลาทรงกระบี่ที่ว่ายังมีภาพกระบี่แกะสลักเอาไว้ และกระบี่ที่ถูกแกะสลักเอาไว้บนแท่นศิลาทรงกระบี่ดังกล่าว ไม่มีเล่มใดที่มีรูปแบบเดียวกันเลย แม้จะแลคล้ายกันอยู่บ้างหากแต่ขนาดนั้นแตกต่างกันทั้งหมด

และที่สะดุดตาที่สุดก็คือบนแท่นศิลาทรงกระบี่ดังกล่าว มีกระบี่หนักเล่มเขื่องปักเสียบเอาไว้ กระบี่หนักที่ว่าเพียงดูด้วยตาก็บอกได้ทันทีว่ามันมีความยาวราวๆ 7 ฉื่อ!

อีกทั้งกระบี่หนักดังกล่าวยังไร้คม มองไปคล้ายกระบี่หนักที่สร้างขึ้นจากศิลาเล่มหนึ่ง

อย่างไรก็ตามกระบี่หนักเล่มเขื่องนี้ ไม่ว่าใครดูก็บอกได้ทันทีว่ามันหาได้ธรรมดาอย่างที่ตาเห็นไม่ แม้จะปักเสียบคาแท่นหินเอาไว้ หากแต่ตัวกระบี่ยังเปล่งแสงพลังเรืองรองออกมาไม่หยุด!

แสงพลังเรืองรองดังกล่าว จากสำนึกเทวะต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามันเป็นพลังงานลี้ลับที่แผ่ออกมาจากแท่นศิลาที่ตัวกระบี่หนักเล่มเขื่องนี้ปักอยู่ คอยส่งพลังไปขัดเกลาหล่อเลี้ยงอยู่ไม่ขาด จนทำให้พลังของกระบี่ยิ่งมายิ่งทรงอานุภาพเพิ่มพูน ตัวกระบี่ยังคล้ายมีเจตจำนงกระบี่ของผู้สร้างสถิตย์อยู่!

วู้ม! วู้ม! ฟั่บ! ฟั่บ!

บางคราพลังงานที่หล่อเลี้ยงกระบี่หนักเล่มเขื่องที่ว่า ก็ทำให้ตัวกระบี่หนักเกิดปฏิกริยาบางประการ พลังกระบี่คล้ายเอ่อล้น จนก่อเกิดเป็นรังสีสะบั้นซัดกวาดออกมาจากตัวกระบี่ เชือดเฉือนผนังโดยรอบจนเกิดรอยกระบี่ฟันลึกเป็นทาง

พินิจจากเรื่องราวเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้ ที่แท้สุสานกระบี่แห่งนี้หาได้มีมือกระบี่มาฝึกปรือวิชา แต่รอยกระบี่ทั่วทั้งห้อง กลับถูกรังสีสะบั้นที่ซัดออกจากกระบี่หนักเล่มเขื่องนี้ฟันฟาดนั่นเอง!

“หืม?”

หลังต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาเดินผ่านช่องทางออกมาถึงโถงจัตุรัสได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงจิตสังหาร 2 สายที่แผ่ออกมาจากร่างคน 2 คนที่ยืนอยู่กลางโถงจัตุรัส

แน่นอนว่าเป้าจิตสังหารของทั้งคู่ ล้วนเพ่งเล็งมาที่เขากับหวงเจียเชา!!