WSSTH ตอนที่ 3,004 : ลงมือช่วงชิง

2 คนที่มองจ้องมาทางเขากับหวงเจียเชาด้วยจิตสังหารนั้น หนึ่งเป็นชายวัยกลางคน ส่วนอีกหนึ่งเป็นชายหนุ่ม สีหน้าแววตาของพวกมันแลดูดุร้ายเอาเรื่องไม่น้อย

อย่างที่หวงเจียเชากล่าวไว้ ที่แห่งนี้เป็นวาสนาสถานจริงๆ และอุปกรณ์อมตะที่รอผู้เป็นนายก็คือกระบี่หนักเล่มเขื่องนั่น และชายทั้ง 2 คนเบื้องหน้าก็สมควรเป็นคนที่มาพบสถานที่แห่งนี้ก่อนหน้าพวกเขาได้สักพักแล้ว

อย่างไรก็ตามทั้งคู่ไม่มีใครได้ครอบครองสมบัติ แต่กำลังต่อสู้กันเพื่อสิทธิ์ในการถือครอง และท่าทางจะไม่มีใครคิดจะยอมลงให้อีกฝ่ายเป็นแน่!

เพราะนี่ไม่ใช่แค่อุปกรณ์อมตะระดับราชาธรรมดาๆ แต่เป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้ตัวตนขอบเขตราชาอมตะขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังมาแล้ว…

อุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทนี้ พลังอานุภาพของมันเหนือกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปมาก

และมองจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งคู่ที่มาถึงก่อนไม่พ้นพลังฝีมือต้องทัดเทียมกัน และหากมีใครได้กระบี่อมตะระดับราชานั่นไปครอง สมดุลของพลังต้องมีอันถูกทำลายลงทันใด กระทั่งด้วยพลังของกระบี่อมตะระดับราชานั่น ต้องสามารถเข่นฆ่าอีกฝ่ายได้ในกระบวนเดียวเป็นแน่

และตอนแรกทั้งคู่ก็จ้องจะฆ่ากันเพื่อชิงกระบี่หนัก

ทว่าพอพวกมันตระหนักว่ามีคนนอกกำลังเข้ามา พวกมันก็หยุดมือลงอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมาก่อน

เนื่องเพราะไม่มีใครอยากเป็นตั๊กแตนกับจั๊กจั่นในคำ ‘ตั๊กแตนจ้องจับจั๊กจั่น ไม่รู้ภัยนกขมิ้นอยู่เบื้องหลัง’

“ในเมื่อเจ้ากับข้าพวกเราค้นพบสถานที่แห่งนี้ก่อนพวกมัน…เช่นนั้นพวกเราร่วมมือกันสังหารผู้อื่นก่อนดีหรือไม่ แล้วค่อยมาตัดสินกันภายหลังว่าผู้ใดจะได้ครองกระบี่?”

“ประเสริฐ!”

ตั้งแต่ที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเจียเชาจะยังไม่เปิดประตูเดินเข้ามา หนึ่งหนุ่มหนึ่งวัยกลางคนก็ได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันเป็นที่เรียบร้อย ว่าหลังจากฆ่าพวกต้วนหลิงเทียนทั้งสองแล้ว พวกมันค่อยมาวัดกันภายหลังว่าใครจะได้เป็นผู้ครอบครองกระบี่หนัก

“กระบี่หนักเล่มนั้น…ดูดีทีเดียว”

แม้จะสัมผัสได้ถึงเจตนาฆ่าฟันจากทั้ง 2 ที่เพ่งเล็งเข้ามาเขม็ง แต่สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงแลดูสงบไร้เรื่องราว สองตาเอาแต่จับจ้องมองไปยังกระบี่หนักบนแท่นด้วยประกายวับวาว

“เจ้าหนู กระบี่หนักเล่มนี้เหมาะกับเจ้าไม่เบาเลย…”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองจ้องกระบี่หนักด้วยสองตาลุกวาวนั้นเอง ในใจเขาพลันมีเสียงเด็กน้อยไม่หย่านมของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังขึ้น

“โดยปกติแล้วผู้ที่เข้าใจกฏแห่งลมมักจะใช้อาวุธเบาและแหลมคม…ทว่าตัวเจ้านั้นได้เข้าใจในกฏแห่งดิน การใช้อาวุธประเภทกระบี่หนักหรือดาบใหญ่ ไม่เว้นพวกขวานกระบองนับว่าเหมาะสมกับเจ้าเป็นที่สุด!”

ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินกล่าว

“หืม?”

แทบจะทันทีที่เสียงปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินดังจบคำ สองตาต้วนหลิงเทียนที่แต่เดิมลุกวาว ก็ยิ่งเปล่งแสงจ้าขึ้นมาดั่งดวงดารา

อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่เหมาะสมกับเขางั้นรึ?

นอกจากนั้นยังเป็นอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากราชาอมตะมาพักหนึ่ง!

“กระบี่เล่มนี้ ข้าต้องการ!”

ต้วนหลิงเทียนที่มองจ้องกระบี่หนักด้วยประกายตาสดใสกล่าวออกมาเสียงดังฟังชัด และฟังจากคำพูดของเขา คล้ายไม่ได้เห็นหัวชายหนุ่มกับชายวัยกลางคนกลางโถง ที่กำลังมองจ้องมาที่เขากับหวงเจียเชาด้วยสายตาดุร้ายเลย

“หึ! หากเจ้าต้องการกระบี่เล่มนี้ นั่นก็ต้องดูด้วยว่าเจ้ามีพลังสามารถหรือไม่!!”

หลังได้ยินวาจาประกาศเจตนาอย่างอหังการของต้วนหลิงเทียน มุมปากชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแสยะ

“อยากเห็นพลังสามารถข้าหรือ?”

เมื่อเสียงเย้ยหยันของชายวัยกลางคนดังจบคำไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองถามมันทันที รอยยิ้มขี้เล่นยังคลี่กางขึ้นอย่างสนุกสนาน

เพราะก่อนที่เขากับหวงเจียเชาจะเข้ามายังสุสานกระบี่แห่งนี้ ปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดินก็ได้เตือนเขาแต่แรกว่าทั้ง 2 ที่อยู่ด้านในนั้น ยังไม่เข้าถึงพลังแห่งกฏ!

ยอดเซียนอมตะที่ยังไม่อาจเข้าถึงพลังแห่งกฏ ให้พลังฝีมือร้ายกาจเพยีงใด แต่ก็ยังมีขีดจำกัด

ด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินนำหวงเจียเชาเข้ามาในสุสานกระบี่อย่างสบายๆ คล้ายเดินกลับเข้าบ้านตัวเอง ไม่ได้แลดูมีแรงกดดันใดๆแม้แต่น้อย

“ไม่..”

ในขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะเอ่ยคำว่า ‘ไม่ผิด’ ออกมา อนิจจามันพึ่งจะเปิดปากกล่าวคำได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนที่ทั่วร่างปะทุออกมาด้วยพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานไว้ด้วยพลังแห่งธาตุดิน ก็วูบร่างมาโผล่เบื้องหน้าของมันปานภูตผี!

ปงงงง!!

หนึ่งตีหนึ่งศพ

เพียงหนึ่งพลองที่ฟาดทุบออกไป ก็ระเบิดศีรษะของชายวัยกลางคนจนเละ ร่างไร้หัวปลิวกระเด็นไปตามแรงเฉื่อย กระตุกเพียงไม่กี่ครั้งก็แน่นิ่งไป…

เรื่องราวดังกล่าวอุบัติขึ้นในห้วงเวลาชั่วพริบตาปานฟ้าแลบ ถึงขั้นที่ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆชายวัยกลางคนที่หัวระเบิดตายตก ยังไม่ทันได้ตอบสนองสิ่งใดด้วยซ้ำ

และกว่าที่มันจะรู้ว่าเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ก็พบแต่เพียงร่างไร้ศีรษะของชายวัยกลางคนที่พลังฝีมือทัดเทียมกับมันปลิวไปตายไกลๆ กระทั่งมันสมองอีกฝ่ายยังคล้ายกระเด็นมาเปื้อนหน้ามันด้วยซ้ำ…

“ตะ…ตายแล้ว?!”

สีหน้าชายหนุ่มเปลี่ยนไปพลิกฟ้าคว่ำดิน ขณะเดียวกันสายตาดุร้ายที่เคยเต็มไปด้วยจิตสังหาร บัดนี้คงเหลือแต่ความหวาดผวาขลาดกลัว มองจ้องต้วนหลิงเทียนอย่างสยดสยอง เร่งกล่าววิงวอนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ตะ..ใต้เท้า กระ…กระบี่นั่นผู้น้อยไม่เอาแล้ว ผะ..ผู้น้อยไม่เอาแล้ว!!”

“ขะ…ขอแค่ใต้เท้าเมตตาผู้น้อยสักครา ให้ผู้น้อยรอดกลับออกจากแดนสวรรค์ใต้โบราณทั้งยังมีลมหายใจด้วยเถอะ!!”

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของชายหนุ่มก็ฟังดูชวนให้ผู้คนบังเกิดคววามเวทนาจับใจ คล้ายขอทานหิวโหยผู้หนึ่งวิงวอนขอเศษหมั่นโถวประทังชีวิต

อนิจจาคำตอบของการวิงวอนร้องขอมัน ก็คือหนึ่งพลองของต้วนหลิงเทียนที่ฟาดทุบเข้ามาอย่างไร้ปราณี…

ปงงงง!!

ชั่วพริบตา ชายหนุ่มก็ติดตามชายวัยกลางคนไปเมืองผี ป้ายหยกของมันกับชายวัยกลางคนที่ตกตายไปก่อนหน้า ก็มีอันต้องแตกสลายเป็นประกายแสงหนึ่ง พุ่งเข้าสู่ป้ายหยกสะสมคะแนนของต้วนหลิงเทียน ตัวเลขคะแนนสะสมในป้ายเขาจึงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง

ต่างจากชายวัยกลางคนที่ไม่ล่วงรู้พลังฝีมือของต้วนหลิงเทียน จึงไม่ทันได้ตั้งตัวอันใด

ชายหนุ่มคนนี้ แม้จะล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งต้วนหลิงเทียนแล้ว แต่พอเห็นชายวัยกลางคนถูกผู้อื่นตีตายในชั่วพริบตา มันย่อมตระหนักได้ถึงความต่างระหว่างมันกับต้วนหลิงเทียนชัดเจน จึงไม่เหลือความคิดต่อสู้แม้แต่น้อย

หากมันยังหลงเหลือความคิดต่อต้าน และพยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวังจนขาดใจ อย่างน้อยๆมันอาจจะรอดชีวิตได้สักท่าสองท่า อนิจจาในเมื่อมันไม่เหลือใจจะสู้ หนึ่งพลองของต้วนหลิงเทียนจึงจบชีวิตมันได้ง่ายดาย

หลังจากฆ่าทั้งสองคนไปแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปยังแท่นหินทรงกระบี่ จากนั้นก็ดึงกระบี่หนักที่ปักอยู่บนแท่นหินออกมาอย่างไม่รอช้า

และทันทีที่ต้วนหลิงเทียนดึงกระบี่หนักออกมาจากแท่นหินดังกล่าว พลังลี้ลับแต่เดิมที่จ่ายออกมาจากแท่นหินคอยขัดเกลากระบี่หนักในมือ ก็เริ่มพวยพุ่งทะลักออกมาปานขุดเจอน้ำมันดิบ! พลังดังกล่าวยังเริ่มก่อเกิดเป็นรังสีพลังน่าพรั่นพรึงกระจายไปทั่วโถงจัตุรัส!!

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

รังสีกระบี่ยังคงก่อเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง อีกทั้งยิ่งมากลิ่นอายพลังแหลมคมที่แผ่ออกจากรังสีกระบี่ทั้งหลายก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้น ให้ความรู้สึกคุกคามต่อหวงเจียเชาไม่น้อย มันจำต้องเร่งปะทุพลังชั่วชีวิตสร้างม่านพลังกำบังกันไว้ก่อนทันที

“น้องต้วน! ข้าได้ยินมาว่าหากผู้ใดคิดครอบครองสิ่งที่อยู่ภายในวาสนาสถาน ก็จำต้องผ่านการทดสอบเสียก่อน…จากที่ดูตอนนี้ ข้าว่าทั้ง 2 คนนั่น มันยังไม่ได้ผ่านบททดสอบอันใด พวกมันสมควรเข่นฆ่ากันเพื่อช่วงชิงสิทธิ์เข้ารับการทดสอบเท่านั้น!!”

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรชึ้น เสียงของหวงเจียเชาพลันดังขึ้นเข้าเขาอย่างประจวบเหมาะ “และในประวัติศาสตร์ของแดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ มียอดเซียนอมตะไม่น้อยที่ต้องตกตายไปในการทดสอบของวาสนาสถาน…ทั้งหมดเพราะพวกมันไม่มีพลังมากพอจะครอบครองสมบัติในวาสนาสถาน!!”

“การทดสอบรึ?”

พอดิ้นคำพูดของหวงเจียเชา ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มกวาดตามองไปยังรังสีกระบี่ที่ลอยล่องอยู่รอบกายทันที เรียกว่ารังสีกระบี่ที่ว่ายังมีจำนวนนับหมื่นพันแล้ว!!

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

หลังจากก่อเกิดรังสีกระบี่ต่ออีกไม่กี่ร้อยครั้ง ในที่สุดแท่นศิลาทรงกระบี่ก็หยุดปลดปล่อยพลังลี้ลับออกมาเสียที และราวกับนัดกันมา รังสีกระบี่นับหมื่นพันที่ก่อตัวลอยล่องอยู่เต็มโถงจัตุรัส ก็พุ่งออกไปปานสายฟ้าฟาด จี้ตรงไปยังทิศทางหนึ่ง!

และทิศทางที่พวกมันพุ่งเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ ก็คือจุดที่ต้วนหลิงเทียนยืนอยู่!

ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ! ฟั่บ!

เมื่อรังสีกระบี่นับหมื่นพันที่ก่อตัวเต็มโถงเริ่มพุ่งเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน หวงเจียเชาที่หวาดกลัวจับใจก็ได้แต่เร่งจ่ายพลังลงสู่ม่านพลังป้องกันสุดตัว แม้รังสีกระบี่เหล่านี้จะไม่ได้เข่นฆ่าเข้าใส่มัน แค่พุ่งผ่านมันไปหาต้วนหลิงเทียนคนเดียว แต่มันก็หวาดเสียวแทบตาย! เพราะใครจะไปรู้ว่ามันจะโดนลูกหลงหรือไม่!!

ส่วนด้านต้วนหลิงเทียนนั้น เมื่อเผชิญกับการกลุ้มรุมสังหารเข้ามาจากทุกทิศทางของรังสีกระบี่นับหมื่นพัน ทั่วร่างของเขาก็เริ่มปรากฏเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงขึ้นมาปกคลุม

เป็นพลังของอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะอันหาได้ยาก!

นอกจากนั้นอุปกรณ์อมตะระดับราชาประเภทชุดเกราะนี้ ยังเป็นฮ่องเต้ฝูชิวมอบให้เขา!

ทันทีที่เงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงปรากฏขึ้นมา ทั่วร่างต้วนหลิงเทียยยนยยังปรากฏร่างพุทธองค์ตัวเขื่องสีทองอันมีไอพลังสีม่วงม้วนพันทั่วร่างปรากฏตัวขึ้นมาด้วยเช่นกัน และเงาร่างพุทธองค์ที่ว่าก็ปกคลุมเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงไว้อีกที

นอกจากนั้นภายในเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดง ก็อุบัติวังวนพลังดูดรั้งขุมหนึ่งขึ้น สูบกลืนพลังวิญญาณฟ้าดินโดยรอบมาเพิ่มพูนพลังอำนาจของทั้งหมดในชั่วพริบตา!

พร้อมกันนั้นยังปรากฏพลังสีกากีฉาบเคลือบไปยังผิวเงาร่างเกราะอ่อนเกล็ดแดงเร็วไว มองไปจึงคล้ายธารลาวาเคลื่อนตัวอยู่บ้าง!!

เรียกว่าต้วนหลิงเทียนได้ใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาทำได้

แต่เป็นธรรมดาว่ามันคือการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของต้วนหลิงเทียน หากไม่พึ่งพลังของปฐพีเทพแรกกำเนิดฟ้าดิน

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

รังสีกระบี่นับหมื่นพันที่กลุ้มรุมสังหารเข้ามาจากทุกทิศทาง ไม่ต่างอะไรจากข่ายฟ้าแหสววรรค์ ปิดช่องทางหลบหนีของต้วนหลิงเทียนไว้หมดสิ้น กลิ่นอายพลังคมกล้าพร้อมเสียงหวนจากการกรีดฝ่าสายลมชวนสยอง กระชั้นเข้ามาใกล้ต้วนหลิงเทียนมากขึ้นทุกขณะ!

พริบตาต่อมา รังสีกระบี่นับหมื่นพันดังกล่าวก็พุ่งกระทบเข้าใส่ปราการป้องกันของต้วนหลิงเทียน ม่านพลังเขายังสั่นกระเพื่อมดั่งผิวน้ำต้องห่าพิรุณ!

ปง! ปง! ปง! ปง! ปง! ปง!

เสียงรังสีกระบี่ซัดทำลายปราการพลังดังขึ้นระรัวไม่ต่างห่าฝนกระหน่ำกันสาด อย่างไรก็ตามพวกมันดั่งหยดน้ำน้อยๆร่วงตกลงกระทะทองแดงอันเดือดระอุก็ไม่ปาน ล้วนระเหยหายไปในฉับพลันที่สัมผัส!

สุดท้ายรังสีกระบี่นับหมื่นพันอันดุร้ายน่ากลัว ก็ไม่อาจฝ่าปราการป้องกันของต้วนหลิงเทียนเข้ามาได้เลย

ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็ประสบความสำเร็จในการป้องกันรังงสีกระบี่ นับว่าผ่านบดทดสอบและสามารถครอบครองกระบี่หนักไร้คมได้อย่างแท้จริง “หืม…ลวดลายอักขระบนใบกระบี่หายไปแล้ว”

ตอนที่ตรวจสอบกระบี่หนักไร้คมเล่มนี้ก่อนหน้า เขาพบว่าทั่วใบกระบี่ของมันเต็มไปด้วยอักขระและลวดลายอาคมซับซ้อนมากมาย มองไปคล้ายลวดลายของอาคมที่ต้องหยดเลือดลงไปเพื่อผูกพันธะอยู่บ้าง

ในเวลานั้นเขาก็ตระหนักได้ทันที ว่าถึงจะได้กระบี่หนักมาถือไว้ในมือ…แต่เสมือนเขายังไม่ได้ครอบครองมันอย่างแท้จริง!

ตอนนี้พอการทดสอบสิ้นสุดลง ลวดลายและอักขระอาคมซับซ้อนดังกล่าวบนใบกระบี่ก็ค่อยๆเลือนหายไป

“ยินดีด้วยน้องต้วน”

เมื่อเห็นว่าต้วนหลิงเทียนสามารถผ่านบดทดสอบได้อย่างง่ายดาย หวงเจียเชาก็ไม่ได้แปลกใจอะไร แต่ในขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน

วันนี้หากเป็นมันที่บังเอิญมาพบวาสนาสถานแห่งนี้เพียงลำพัง และดึงกระบี่หนักไร้คมเล่มนั้นออกมาล่ะก็ น่ากลัวว่าคงต้องตายหยังเขียด! เพราะมันรู้ตัวดีว่ารังสีกระบี่นับบหมื่นพันอันเป็นนบดทดสอบเมื่อครู่ มันไม่อาจต้านทานรับไว้ได้แน่นอน!!

วู้มมม!!

“พลังนี่มัน…ร้ายกาจมาก!”

หลังครอบครองกระบี่หนักไร้คมได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ต้วนหลิงเทียนที่ลองจ่ายพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดผสานพลังกฏแห่งดินลงไปยังตัวกระบี่เพื่อทดสอบพลังอานุภาพของมันดู ก็อดไม่ได้ที่แปลกใจอยู่บ้าง เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังอำนาจในการเพิ่มพูนพลังของตัวกระบี่!!

เรียกว่าเทียบกับตอนที่เขาจ่ายพลังลงพลองอมตะระดับราชาแล้ว พลังอำนาจที่อัดแน่นอยู่ทั่วตัวกระบี่หนักไร้คมยามนี้ มันทรงพลังกว่ากันมาก!

‘ตอนแรกหลังได้ยินเรื่องที่อุปกรณ์อมตะระดับราชาเมื่อผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของราชาอมตะมาสักพักแล้ว มันจะทรงพลังกว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไป ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ามันต่างกันแค่ไหน..’

‘มาตอนนี้…’

เดิมทีต้วนหลิงเทียนก็ไม่รู้มาก่อนว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของราชาอมตะมานั้นมันเป็นอย่างไร แต่พอได้กระบี่หนักไร้คมมาครอง เขาก็รับทราบได้ถึงความต่างที่ว่าทันที

อุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ผ่านการขัดเกลาหล่อเลี้ยงจากพลังของราชาอมตะมาแล้ว นับว่าทรงพลังสุดที่อุปกรณ์อมตะระดับราชาทั่วไปจะเทียบติดจริงๆ!

ยังกล่าวได้เต็มปากว่า

ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิง!

แต่เป็นธรรมดาว่าถึงอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ได้รับการขัดเกลาหล่อเลี้ยงด้วยพลังของราชาอมตะ จะแข็งแกร่งว่าอุปกรณ์อมตะระดับราชาที่ไม่ผ่านกระบวนการขัดเกลาหล่อเลี้ยงมาก แต่ก็ยังคงด้อยกว่าอุปกรณ์อมตะจอมราชันอย่างแหวน 9 วิญญญาณหยิน-หยาง ลี้ลับที่ต้วนหลิงเทียนมีหลายขุม!

สำหรับเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะสุดท้ายแล้วนั่นก็คืออุปกรณ์อมตะระดับจอมราชัน! ต่อให้ราชาอมตะจะหล่อเลี้ยงขัดเกลาอุปกรณ์อมตะระดับราชาให้ตาย มันก็ไม่อาจกลบถมช่องว่างโดยกำเนิดนั่นได้!!