เล่ม 1 ตอนที่ 459-1 พบหน้าราชาเยี่ยหลัว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 459-1 พบหน้าราชาเยี่ยหลัว

ตอนเฉียวเวยกลับเข้าห้องจากห้องหนังสือ ซาลาเปาทั้งสองฝึกเขียนอักษรเสร็จแล้ว เจ้าเด็กอ้วนนวดข้อมือ หน้าตาดูเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก “แฮ่กๆ เหนื่อยแทบแย่!”

จิ่งอวิ๋นที่เขียนอักษรไปสองชุด “…”

เจ้าว่าอะไรนะ

ตัวอักษรบนกระดาษแผ่นหนึ่งดูเป็นผู้เป็นคน อีกแผ่นหนึ่งหน้าตาราวกับภูตผี ถูกต้องทุกอย่าง!

เฉียวเวยให้ขนมทั้งสองเป็นรางวัล แล้วให้ทั้งสองไปเล่นที่สนาม

ถึงจะไม่ได้ไปนั่งเรียนในห้องเรียน แต่เด็กตัวเท่านี้สามารถเดินทางไปทั่วแดนได้ ประสบการณ์เช่นนี้ไม่มีทางที่เด็กเรียนในสถานศึกษาจะสามารถเทียบเทียมได้แน่นอน

เมื่อคิดเช่นนี้ เฉียวเวยก็รู้สึกภูมิใจแทนบุตรทั้งสอง

ตอนที่เด็กทั้งสองวิ่งเล่นกันอยู่ในสนาม จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยที่ออกไปร่อนเร่มาทั้งคืน ในที่สุดก็กลับมาเสียที คนที่กลับมาด้วยยังมีไห่สือซานที่ไม่ได้พบหน้ามานานพอดูอีกด้วย

ไห่สือซานดูเปลี่ยนไปไม่มาก มีแค่ผิวที่คล้ำขึ้น ดูท่าตอนอยู่ซยงหนีว์กับเยี่ยหลัวเขาคงลำบากมาไม่น้อย

ไห่สือซานเข้ามาในห้อง ยิ้มพลางทำความเคารพเฉียวเวย “ฮูหยินน้อย!” พอสายตากวาดไปก็ต้องถามด้วยความตกใจว่า “ได้ยินว่าจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูก็มาด้วย พวกเขาอยู่ที่ใดเล่า”

เฉียวเวยไม่ได้ปฏิบัติต่อไห่สือซานเยี่ยงบ่าวไพร่ นางเรียกขานอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจว่าท่านลุงไห่ แล้วถึงตอบว่า “ข้าไปเรียกพวกเขาให้”

ไห่สือซานรีบบอกว่า “ไม่ต้องๆ อีกเดี๋ยวข้าไปหาพวกเขาเอง”

เฉียวเวยเข้าใจทันที เกรงว่าคงมีเรื่องสำคัญอยากจะพูดคุยก่อน นางจึงยิ้มแล้วบอกว่า “ยังไม่ได้กินอาหารเช้ามาสิท่า เดี๋ยวข้าไปลงครัวทำอะไรให้กินก่อนนะ”

จีหมิงซิวนั่งลงที่โต๊ะกลม ยกชาเย็นสดชื่นขึ้นดื่มแล้วดึงมือเฉียวเวยไว้ “ไม่ต้องหรอก เจ้านั่งลงเถิด มาฟังด้วยกัน”

เฉียวเวยเลยนั่งลง

พวกเขาพูดคุยกันถึงเรื่องเมื่อคืน เฉียวเวยถึงได้รู้ว่าพวกเขาไปเยี่ยมสุสานกันมา ถึงจะเรียกว่าสุสาน แต่แท้จริงแล้วเหมือนเป็นค่ายใต้ดินเสียมากกว่า เพียงแต่ของสำคัญทั้งหลายอยู่ในนั้นทั้งหมด มองดูแล้วจึงเหมือนถ้ำทางเข้าสุสานเท่านั้น

ถ้ำทางเข้าสุสานรอบด้านมีนักรบมรณะคอยคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่มีรูรั่ว

พวกเขาจึงแทรกตัวเข้าไปได้ค่อนข้างยาก ทำได้เพียงเดินวนไปมาอยู่รอบๆ ทิวเขาเท่านั้น แต่ทิวเขาตรงนั้นใหญ่พอสมควร ซ้ำยังโอบล้อมไปด้วยไอพิษและหมอกวงกต กระทั่งจีหมิงซิวที่เกิดมาแม่นยำเรื่องทิศทางก็ยังเกือบหลงทิศอยู่ด้านใน

ตอนพวกเขาออกจากทิวเขา ท้องฟ้าสว่างโร่แล้ว กลางคืนยังเข้าไปในค่ายใต้ดินไม่ได้ กลางวันแสกๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะกลับจวน

แต่การไปครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย

ไห่สือซานมาถึงเยี่ยหลัวนานแล้ว ช่วงแรกมาเพื่อสืบความเรื่องจวนมู่อ๋อง ตอนหลังได้รับจดหมายนกพิราบจากจีหมิงซิว จึงได้รู้ว่าสมบัติที่องค์หญิงเจาหมิงทิ้งเอาไว้อยู่ที่เยี่ยหลัว ไห่สือซานจึงหันไปตามหาร่องรอยขององค์หญิงเจาหมิงแทน คราแรกเขาคิดว่าเป็นฝีมือของตำหนักราชครู ไห่สือซานจับเพ่งเล็งไปที่ตำหนักราชครู ไหนเลยจะรู้ว่าทางด้านตำหนักราชครูดูไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด ไห่สือซานเลยเริ่มเบนไปสืบทางราชาเยี่ยหลัวแทน

ราชาเยี่ยหลัวอยู่แต่ในวังหลวงตลอดทั้งปี จึงจับร่องรอยได้ไม่ง่าย แต่ในช่วงเวลานั้นเองที่ไห่สือซานไปพบนักรบมรณะเข้าคณะหนึ่ง

นักรบมรณะมาจากวังหลวง เขาจึงคิดเอาว่าเป็นลูกน้องของราชาเยี่ยหลัว ดังนั้นจึงลอบติดตามไป แต่กลายเป็นว่ากลับทำให้เขาเจอเข้ากับค่ายใต้ดินแห่งนี้

แต่กระนั้นที่เกินความคาดหมายไปก็คือ หลังจากคอยสังเกตการณ์อยู่พักหนึ่ง เขาก็ได้พบว่าค่ายใต้ดินแห่งนี้ดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับราชาเยี่ยหลัว

นักรบมรณะที่ราชาเยี่ยหลัวใช้งาน ล้วนมาจากตำหนักราชครู ส่วนนักรบมรณะกลุ่มนี้กลับไม่เกี่ยวข้องกับตำหนักราชครูเลยสักนิด

“ต้องเป็นสตรีนางนั้นแน่!” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยด้วยความเจ็บแค้น

สตรีนางนั้นที่เขาเอ่ยถึง ย่อมหมายถึงท่านน้าคนดีของหมิงซิว หรือก็คือฮองเฮาคนดีของเยี่ยหลัวนั่นเอง

เฉียวเวยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร

นี่ดูไม่เหมือนนางเลย จีหมิงซิวหันไปมองนางแล้วเอียงตัวเข้าไปตรงหน้าเฉียวเวย เขายกมุมปากขึ้น เอ่ยล้อเลียนว่า “คิดถึงข้าหรือ”

“จึ๊!” เฉียวเวยกรอกตาบนใส่เขาให้ทีหนึ่ง นี่มันเวลาอะไรกัน อย่าเอาแต่พูดเล่นเช่นนี้ได้หรือไม่

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างเจือแววรักใคร่ว่า “ว่ามาเถิด มีอะไรหรือ”

นางรับปากไปแล้วว่าจะไม่ไปตามสืบข่าวของฮองเฮา หากให้เขารู้ว่าตนอาศัยช่วงที่เขาไม่อยู่แอบเข้าไปในวัง น่ากลัวว่าเขาจะไม่พอใจนางอีก แต่กระนั้นท่าทางเป็นห่วงเป็นใยของเขาก็แสนจะยั่วยวนใจ ทำให้นางรับมือไม่ได้เลยสักนิดเดียว

ดังนั้นด้วยความร้อนใจ นางจึงสารภาพเรื่องเข้าวังออกไปทั้งหมด

จีหมิงซิวได้ฟังก็ยิ่งยิ้มกว้างขึ้น มือที่ประณีตราวกับหยกเชยคางภรรยาขึ้นเบาๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจนแทบถมคนให้ตายได้เอ่ยว่า “เข้าวังมาหรือ หือ?”

ไห่สือซานกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพากันขนลุกซู่

ไห่สือซานลุกขึ้นบอกว่า “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าทำของหล่นไว้บนรถม้า ข้าไปเอาก่อนนะ!”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ลุกขึ้นด้วย “ข้าไปด้วย!”

ทั้งสองวิ่งฉิวหายไปราวกับเท้าทาน้ำมันทันที!

ในห้องจึงเหลือเพียงเฉียวเวยกับจิ้งจอกเฒ่าอายุพันปีผู้นี้

เฉียวเวยเห็นอีกฝ่ายไม่โกรธ ทั้งยังระบายยิ้มสดใสก็คิดว่าเขาไม่โกรธจริงๆ แต่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไห่สือซานหนีหายกันไปแล้ว นางจึงรู้สึกได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ นางจึงไม่สนใจเรื่องหน้าตาอีก นึกหงอขึ้นมาในทันใด นางกอดเอวแกร่งของสามีไว้แล้วบอกว่า “ใช่แล้วๆ ข้าตกใจแทบแย่! ข้าไม่กล้าไปอีกแล้ว!”

จีหมิงซิวส่งเสียงหึๆ ยังคงแย้มยิ้มไม่เปลี่ยน แต่น้ำเสียงกลับเย็นยะเยือก “ตกใจตรงไหนหรือ ให้ข้าดูทีสิ”

“ตกใจทุกตรงเลย! โดยเฉพาะตรงนี้!” เฉียวเวยเอ่ยอย่างออดอ้อน กอดแขนสามีไว้แล้วลูบหน้าอกตนเอง “ท่านลองจับดูสิ ใจข้าเต้นเร็วแค่ไหน!”

*********************

ตอนที่ 459-2 พบหน้าราชาเยี่ยหลัว

จีหมิงซิวรับรู้ได้ถึงความอวบอิ่มที่มือ สายตาจึงพลันล้ำลึก ยิ้มเย็นเอ่ยว่า “ยั่วคนเป็นแล้วหรือ คืนหนึ่งที่ผ่านมาดูท่าจะฝีมือดีขึ้นไม่น้อย”

เรียนรู้มาจากท่านน้าอย่างไรเล่า!

นางเอาราชาเยี่ยหลัวอยู่ก็เพราะอย่างนี้แหละ!

เจ้าสำนักเฉียวเรียนรู้แล้วก็นำมาใช้ทันที กลเม็ดเด็ดพรายอะไรก็เอามาใช้จนหมด นางบีบเสียงเล็กเสียงน้อยจนตัวเองยังเกือบอ้วก แล้วในที่สุดนายน้อยหมิงก็ทานทนไม่ไหว “เฉียวเวย!”

เฉียวเวยลุกยืนขึ้นจากตักใครบางคนเงียบๆ แล้วกลับไปนั่งเก้าอี้ของตนอย่างเดิม สายตานางพลันเปลี่ยน นั่งสงบนิ่งอย่างรู้ตัว

จะบอกว่าถูกนางยั่วไม่สำเร็จนั่นคงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ท่าทางตื่นกลัวเช่นนี้นับว่าท้าทายความชอบของนายน้อยหมิงอยู่บ้างจริงๆ

จีหมิงซิวจับแขนเสื้อขึ้น เอาบดบังไว้อย่างไม่ให้ความร่วมมือ อัครเสนาบดีหนุ่มที่ตั้งใจมั่นแล้วที่จะยกทหารขึ้นก่อกบฏ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติว่า “ห้ามมีครั้งหน้าอีก”

เฉียวเวยตอบรับอย่างว่าง่าย กะพริบตาปริบๆ มองอีกฝ่าย “แต่ท่านไม่รู้สึกว่าน่าประหลาดหรอกหรือ เหตุใดนางถึงต้องช่วยข้า พระสนมไม่ได้บอกว่านางเป็นสตรีที่ทำอะไรเด็ดขาดหรอกหรือ ยามนางอยู่ต่อหน้าราชาเยี่ยหลัวไม่เป็นเช่นนี้เลยสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

จีหมิงซิวเอ่ยอย่างใช้ความคิด “เกิดอะไรขึ้นข้ายังตอบไม่ได้ในตอนนี้ แต่จากข้อมูลที่ไห่สือซานสืบมาได้ ราชาเยี่ยหลัวดูเหมือนจะไม่รู้ว่านางทำ ‘เรื่องดีๆ’ อะไรไว้บ้าง ที่ครั้งนี้นางกลับแคว้นมาพร้อมกับขุนนางทูต นางใช้ข้ออ้างว่าสุขภาพไม่อำนวย ที่ราชาเยี่ยหลัวส่งขุนนางทูตไปต้าเหลียง หนึ่งเพราะต้องการได้ตัวมู่ชิวหยางกับฟู่เสวี่ยเยียนกลับมา สองเพราะอยากสืบให้รู้ถึงจุดที่วังใต้ดินอยู่ ส่วนข้อสาม แน่นอนว่าเพราะคิดอยากเล่นงานตระกูลจี แต่คนที่ราชาเยี่ยหลัวหมายจะส่งไปคือตำหนักราชครู ไม่ใช่ฮองเฮา”

เฉียวเวยคล้ายชะงักไปเล็กน้อย “หากกล่าวเช่นนี้ ลับหลังราชาเยี่ยหลัวนางก็สมคบคิดกับคนไปไม่น้อยงั้นสิ! เบื้องหน้าหรงเฟยดูเหมือนคนของราชาเยี่ยหลัว แต่เอาเข้าจริงกลับเป็นลูกศิษย์ของนาง นางรู้แผนการทุกอย่างของราชาเยี่ยหลัวเป็นอย่างดี จึงง่ายที่จะสอดแทรกคนของตนเข้าไป! แล้วยังจวนมู่อ๋อง นางก็ยังมีฟู่เสวี่ยเยียนอยู่อีกทั้งคน!”

สตรีนางนี้เก่งกาจเกินไปแล้วจริงๆ คนอื่นเขาหลอกล่อบุรุษเพียงคนเดียว ส่วนนางหลอกล่อเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดมาไว้ในมือได้

มีเพียงข้อเดียวที่เฉียวเวยไม่เข้าใจ สตรีที่ร้ายกาจโหดเหี้ยมเช่นนี้ เหตุใดเมื่อคืนถึงปล่อยนางมาได้ ทั้งยังแสร้งทำเป็นคนใสซื่อร่าเริงเสียอีก นางคงไม่ได้คิดว่าหลังจากเปิดเผยธาตุแท้ของตนไปแล้ว นางแค่เสแสร้งแกล้งทำอีกเล็กน้อย ตนก็จะถูกนางหลอกได้อีกครั้งกระมัง

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ!

จีหมิงซิวนวดศีรษะนาง “อย่าคิดอีกเลย นางกำลังคิดจะทำอะไร อีกไม่นานเดี๋ยวก็รู้เอง”

เยี่ยหลัวเคยปลอมตัวเป็นขุนนางทูตจากซยงหนีว์ พอเข้ามาถึงเมืองหลวงของต้าเหลียงแล้วถึงได้เปิดเผยตัว จีหมิงซิวคุมตัวไว้ตามกฎ พอเข้ามาพักอยู่ในจวนมู่อ๋องแล้วถึงได้ส่งฎีกาถึงราชาเยี่ยหลัว – ทูตจากต้าเหลียงมาเข้าเยี่ยม

ราชสำนักของเยี่ยหลัวจึงแทบระเบิด คิดในใจว่าผู้ใดกัน เข้ามาถึงเมืองหลวงแล้วถึงบอกว่ามาเยี่ยมคารวะ ตอนข้ามเขตแดนมาไปทำอะไรเสีย ไม่รู้จักส่งหนังสือมาหรือ

พอคิดอีกทีดูเหมือนตนเองก็ทำเช่นเดียวกัน จึงได้แต่ข่มความไม่พอใจกลับลงไป

เรื่องนี้จะว่าเสียประโยชน์ก็ไม่เสีย แค่เพียงรู้สึกชาที่หน้าหน่อยๆ เท่านั้น

ราชาเยี่ยหลัวที่ถูกตบหน้าแน่นอนว่าไม่มีทางยอมให้จีหมิงซิวกับเฉียวเวยเข้าวังง่ายๆ ทำถึงขนาดนี้แล้ว หากเขายังรับตัวพวกนี้เข้าวังอีก เช่นนั้นเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ตำแหน่งราชานี้จะไม่เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้นหรือ

แต่จะเมินเฉยไม่ยอมพบหน้าต่อไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องดี หากจะสังหารเสียเช่นนี้ก็ยิ่งไม่ดีเข้าไปใหญ่

ราชาเยี่ยหลัวเมินเฉยต่อจีหมิงซิวด้วยความหัวเสียไปสองวัน วันที่สามไม่รู้ว่าเพราะหายโกรธแล้วหรืออย่างไร เขาให้คนไปรับจีหมิงซิวกับเฉียวเวยเข้าวังด้วยอารมณ์ที่ปรอดโปร่ง

เฉียวเวยเคยมาที่วังนี้ครั้งหนึ่งแล้ว แต่นั่นเป็นตอนกลางคืน ทั้งยังต้องรีบจัดการธุระ ไม่มีเวลาชื่นชมความงามของที่นี่ เวลานี้เมื่อได้มองดูโดยละเอียถึงได้เห็นว่าวังหลวงแห่งนี้ดูคุ้นตายิ่งนัก รูปแบบใกล้เคียงกับปราสาทเฮ่อหลัน เพียงแต่กำแพงวังไม่สูงเพียงนั้น ส่วนขนาดกลับใหญ่กว่า กว้างขวางกว่า มีอาคารสิ่งปลูกสร้างมากกว่า สิ่งปลูกสร้างแต่ละอันเป็นอาคารหินที่ดูแน่นหนา

คณะของพวกเขาเดินผ่านตำหนักเซ่นไหว้ แล้วเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่ที่ดูน่าเกรงขาม ภายในตำหนักปูด้วยพรมเป็นประกายสีทอง ทอดยาวไปถึงใต้บัลลังก์อ๋อง

หลายเดือนในเยี่ยหลัว ไห่สือซานไม่ได้อยู่อย่างเปล่าประโยชน์ ก่อนที่จะมา เขาได้บอกเล่าสถานการณ์ภายในของเยี่ยหลัวให้ทั้งสองคนฟังแล้ว ประชากรของเยี่ยหลัวมีมากกว่าชนเผ่าลึกลับ แต่การกระจายอำนาจกลับเรียบง่ายกว่าชนเผ่าลึกลับ

ใต้ราชาเยี่ยหลัวมีอำนาจอยู่เจ็ดกลุ่ม ตามรูปแบบดาวทั้งเจ็ดที่ล้อมรอบดวงจันทร์ ดวงจันทร์ก็คือราชาเยี่ยหลัว ส่วนดาวทั้งเจ็ดแบ่งออกเป็นตำหนักราชครู จวนมู่อ๋อง จวนเฉิงอ๋องรวมถึงตระกูลใหญ่อีกสี่ตระกูล เฉิงอ๋องที่ว่านั้นคือท่านอ๋องต่างสกุล ซึ่งก็คือท่านเขยขององค์หญิงใหญ่ รับผิดชอบดูแลเรื่องการค้าเป็นหลัก ไม่ข้องเกี่ยวกับการทหารและการปกครอง

ส่วนในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งสี่ มีตระกูลกู่เป็นผู้นำซึ่งล่มสลายไปแล้ว

ดังนั้นหากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ราชวงศ์เยี่ยหลัวเหลือกลุ่มอำนาจใหญ่อยู่เพียงห้ากลุ่มเท่านั้น

ในบรรดากลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งห้านี้ ตำหนักราชครูกับจวนมู่อ๋องล้วนยืนอยู่ข้างเดียวกับจีหมิงซิว ดังนั้นสถานการณ์ของพวกเขาจึงนับว่าปลอดภัย มิเช่นนั้นแล้วจีหมิงซิวก็คงไม่กล้ามาเจอราชาเยี่ยหลัวอย่างเปิดเผยเช่นนี้

*********************