ตอนที่ 458 หึงหวง (2)

ตอนฟู่เสวี่ยเยียนเข้ามาในห้อง เฉียวเวยเพิ่งปูกระดาษจะให้เด็กๆ ฝึกเขียนอักษร จิ่งอวิ๋นนั่งลงอย่างเรียบร้อย ส่วนวั่งซูคล้ายว่าที่ก้นมีลูกข่างงอกออกมา เอาแต่หมุนซ้ายหมุนขวาไม่หยุด ทำอย่างไรก็นั่งไม่นิ่ง เฉียวเวยเลยจับตัวนางกดลงกับเก้าอี้

วั่งซูขยับตัวไม่ได้อีก เลยยอมรับชะตา จับพู่กันขึ้นมาเริ่มเขียนคำว่าแดง

ฟู่เสวี่ยเยียนยืนอยู่หน้าประตูไม่พูดอะไร แต่เฉียวเวยมองเห็นนางแล้ว

เฉียวเวยทำตาดุ สั่งเด็กทั้งสองให้ฝึกเขียนอักษร ก่อนจะก้าวออกจากห้องไป

พอนางเดินพ้นออกไป วั่งซูก็เอากระดาษของตนยื่นไปให้พี่ชาย “แหะๆๆๆๆ…”

ทั้งสองไปที่ห้องหนังสือ เฉียวเวยเปิดประตูไว้ครึ่งหนึ่งแล้วพูดออกไปตรงๆ ทันทีว่า “ข้าจำได้ว่าข้าเคยบอกไปแล้วว่าอย่าได้มาปรากฏตัวให้ข้าเห็นอีก ดูท่าเจ้าคงจะลืมไปหมดแล้ว”

“ข้ามีธุระอยากคุยกับเจ้า” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยเสียงเรียบ

เฉียวเวยคล้ายได้ยินเรื่องที่แสนจะน่าขัน “เจ้ามีธุระจะคุยกับข้า ข้าก็ต้องฟังงั้นหรือ”

ขนตาฟู่เสวี่ยเยียนสั่นไหวเล็กน้อย นางหลุบตาลงเอ่ยเสียงเบาว่า “พวกเจ้าคิดจะปล่อยตัวมู่ชิวหยางเมื่อไร”

เฉียวเวยหัวเราะเสียงเย็น “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย เจ้าไม่ใช่คนบ้านตระกูลจีมานานแล้ว และไม่ใช่คนของจวนอ๋องด้วย เจ้าหักหลังคนทั้งสองตระกูลแล้วยังจะมีสิทธิ์มาสนใจเรื่องบาดหมางระหว่างพวกเรากับจวนมู่อ๋องอีกหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ต่อล้อต่อเถียงกับเฉียวเวย แค่เพียงบอกเสียงเบาว่า “ท่านอ๋องก็…มีบุตรชายอยู่เพียงคนเดียว”

ความคิดในหัวเฉียวเวยวิ่งวนไปรอบหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างนึกขึ้นได้ว่า “ท่านอ๋องให้เจ้ามาช่วยพูดงั้นหรือ มิน่าเล่าเมื่อคืนถึงได้ให้ปิงเอ๋อร์เก็บของเอาไปให้เจ้า ข้ายังคิดว่าเขาเป็นห่วงจากใจจริงกลัวว่าเจ้าอยู่ในวังจะถูกปล่อยให้หิวปล่อยให้หนาวเสียอีก”

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้พูดอะไร

เฉียวเวยหันไปมองหน้า เอ่ยอย่างไม่เข้าใจว่า “ฟู่เสวี่ยเยียน ข้ามองเจ้าไม่ออกเลยจริงๆ ตระกูลจีดีกับเจ้าเพียงนี้ เจ้ายังหักหลังตระกูลจีได้ จวนอ๋องดีกับเจ้าหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะหักหลังจวนอ๋อง แล้วเหตุใดถึงต้องตอบรับคำขอร้องของท่านอ๋อง วิ่งมาช่วยพูดกับข้าให้เขาด้วย เจ้าเป็นคนไม่มีจุดยืนหรือไร”

ฟู่เสวี่ยเยียนบอกว่า “ข้าเป็นคนอย่างไรไม่สำคัญ พวกเจ้าจะปล่อยตัวเขาเมื่อไร”

เฉียวเวยถามกลับว่า “พวกเราจะปล่อยเขาได้อย่างไร อุตส่าห์ได้ไพ่ที่จะควบคุมจวนมู่อ๋องมาได้แล้ว หากทิ้งออกไปอย่างนั้น ใครจะรับประกันความปลอดภัยของพวกเราในเยี่ยหลัวกัน เจ้าหรือ ฟู่เสวี่ยเยียน?”

ฟู่เสวี่ยเยียนก็ตอบไม่ได้เช่นกัน

เฉียวเวยเบือนหน้าหนีไม่มองนางอีก “เจ้าไปเถิด ไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรข้าก็ไม่รับปากเจ้าหรอก ไม่เพียงเพราะข้ายังจำเป็นต้องมีคนผู้นี้ แต่เพราะคนที่มาขอร้องเป็นเจ้าด้วย ตั้งแต่วินาทีที่เจ้าหักหลักตระกูลจี เจ้าก็ควรรู้ได้แล้วว่าระหว่างเจ้ากับข้ามิเหลือพื้นที่ให้เจรจากันแล้ว”

บนหน้าฟู่เสวี่ยเยียนมีแววเศร้าหมองแวบผ่าน “ข้ารู้แล้ว”

พูดจบนางก็เดินออกจากห้องหนังสือไปช้าๆ

แสงแดดด้านนอกห้องค่อนข้างแสบตา

นางยกมือขึ้นบังแสงแดดที่ส่องมาจากเหนือศีรษะ แล้วจะเดินออกจากประตูฟางชุ่ยหยวนไป ตอนเดินผ่านประตูวงพระจันทร์ นางเห็นปิงเอ๋อร์กับใต้เท้าเจ้าสำนักนั่งอยู่คู่กันบนก้อนหินที่ไม่ถือว่าใหญ่นัก บุรุษอยู่ในเสื้อแขนกว้างสีน้ำตาล ท่าทางผึ่งผาย ตัวตรงประหนึ่งต้นไผ่ ข้างกายเขาเป็นสตรีนางในชุดหลัวรัดเอวสีชมพูหวาน กำลังแย้มยิ้มอย่างงดงาม

ภาพที่เห็นทำนางแสบตาเสียยิ่งกว่าแสงอาทิตย์เสียอีก

“เจ้าบอกว่าไอเลวชาติแซ่มู่นั่นดีกับพี่สาวเจ้ามาก?” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามอย่างไม่อยากเชื่อ เสียงของเขาไม่ทุ้มต่ำและฟังดูมีเสน่ห์เท่าจีหมิงซิว แต่กลับให้ความรู้สึกอบอุ่นและใสสะอาด คล้ายแสงตะวันยามบ่าย และคล้ายสายน้ำที่ไหลผ่านซอกเขา

ใบหูของปิงเอ๋อร์แดงเล็กน้อย นางที่มีชาติกำเนิดเป็นสาวใช้ไม่เคยมีคุณชายคนใดทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับนางเช่นนี้มาก่อน บนตัวเขามีความอ่อนโยนอันเป็นเอกลักษณ์ ต่อให้หน้าตาจะบูดบึ้ง แต่ก็ยังสามารถทำให้คนรู้สึกอบอุ่นหัวใจได้

เขาปลอกส้มส่งให้นาง

ปิงเอ๋อร์รับมาอย่างเอียงอาย พอกินเข้าไปคำหนึ่งก็รู้สึกหวานฉ่ำตั้งแต่ในปากไปจนถึงหัวใจ “ใช่สิ ซื่อจื่อเอ็นดูพี่สาวมาก”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำเสียงเชอะ “จะเป็นไปได้อย่างไร เขาจับตัวพี่สาวเจ้าไปตั้งหลายครั้งเชียวนะ! หากไม่ใช่เพราะข้าฉลาดหลักแหลม ยังไม่รู้เลยว่าพี่สาวเจ้าจะถูกจับตัวไปอีกครั้ง!”

ปิงเอ๋อร์ตาเป็นประกาย มองเขาด้วยความชื่นชมและเลื่อมใสอย่างยากจะปกปิด “ใต้เท้าโหราจารย์ช่างเก่งกาจนัก”

ใต้เท้าเจ้าสำนักยืดเอวขึ้น “แน่นอนล่ะ! เจ้าคิดว่าโหราจารย์ของชนเผ่าลึกลับอย่างพวกเรากินข้าวเปลือกหรือไร ข้าไม่ได้โม้นะ แค่แรงเท่าหมัดแมวของซื่อจื่อตระกูลพวกเจ้าน่ะ ข้าไม่แม้แต่จะแลด้วยซ้ำ! ข้าชกเขาแค่หมัดเดียวเขาก็กระเด็นลอยไปโน่นแล้ว”

ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถูกฝ่ามือมู่ชิวหยางผลักกระเด็นไปหลายครั้งพูดขึ้นอย่างไม่อาย

ปิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยความอิจฉา “วรยุทธ์ของซื่อจื่อในรุ่นเดียวกันก็หาคู่ต่อสู้ได้น้อยแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของใต้เท้าโหราจารย์อีก”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสะบัดศีรษะ เอ่ยอย่างผยองว่า “ก็ใช่น่ะสิ! ใครใช้ให้เขาทำร้ายพี่สาวเจ้าเล่า ข้าก็ต้องสั่งสอนเขาแทนพี่สาวเจ้าสิ!”

ปิงเอ๋อร์เบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเข้าใจผิดแล้วกระมัง ซื่อจื่อโปรดปรานพี่สาวเพียงนั้น จะทำร้ายนางได้อย่างไร”

ใต้เท้าเจ้าสำนักทำหน้าบึ้งทันที “ไม่ใช่น้องสาวในไส้เสียหน่อย จะโปรดปรานมากแค่ไหนกันเชียว”

ปิงเอ๋อร์พึมพำว่า “ก็เพราะไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ น่ะสิ ถึงได้โปรดปรานมาก…”

ประโยคนั้นนางพูดเสียงเบามากจนแทบไม่ได้ยิน แต่เพราะทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ใต้เท้าเจ้าสำนักจึงได้ยินเต็มสองหู

ใต้เท้าเจ้าสำนักหันไปมองนาง ขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ “เจ้าหมายความเช่นไร”

“ไม่มีอะไร” ปิงเอ๋อร์หัวเราะแหะๆ คล้ายว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่ออีก ดวงตาคู่สวยพลันเปลี่ยน “เจ้าชอบพี่สาวข้าใช่หรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักหน้าแดงก่ำ “ใครๆๆ ใครบอก ข้าจะชอบนางยักษ์ขมูขี…”

ยังไม่ทันพูดจบ ฟู่เสวี่ยเยียนก็เดินผ่านตัวเขาไป

เขาอึ้งงันไปหนึ่งวินาทีเต็มๆ ก่อนจะกระโดดดึ๋งขึ้นมาราวกับถูกสายฟ้าฟาด แต่ก็ยังเอ่ยอย่างดื้อรั้นและแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง “เหตุใดถึงออกมาเร็วเพียงนี้เล่า ไปคุยอะไรกับนางยักษ์นั่นหรือ”

ฟู่เสวี่ยเยียนกำมือที่จับที่อุ่นมือแน่น ไม่หันไปมองเขา สายตามองตรงไปยังยอดหญ้าที่อยู่ข้างหน้า “ปิงเอ๋อร์เจ้ามานี่หน่อย ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

ปิงเอ๋อร์หันไปมองใต้เท้าเจ้าสำนักทีหนึ่ง

ใต้ท้าเจ้าสำนักได้แต่เอามือลูบจมูก ยอมเปิดทางให้เงียบๆ

ปิงเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความผิดหวัง นางกลั้นใจเดินเข้าไปอีกข้างหนึ่งของฟู่เสวี่เยียน

ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่กล้าขยับ ตั้งหูรออยากฟังว่าพวกนางจะคุยอะไรกัน แต่กลับพบว่าตนฟังไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว

“พี่สาว” ด้านหลังภูเขาจำลอง ปิงเอ๋อร์ก้มหน้าเพ่งมองปลายเท้าด้วยความหวาดกลัว

ฟู่เสวี่ยเยียนหยุดมองใบหน้าของนาง สองข้างแก้มของนางพลันร้อนผ่าว นางกัดริมฝีปาก สายตากวาดมองไป แต่กลับกวาดไปเห็นท้องของฟู่เสวี่ยเยียนโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งเสื้อคลุมกันลม ทั้งที่อุ่นมือ ทุกอย่างบังเอาไว้เกือบมิด แต่หากมองดูดีๆ แล้วก็ยังพอเห็นอะไรได้อยู่

นางเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “พี่สาว เจ้า…ท้องหรือ”

สายตาฟู่เสวี่ยเยียนพลันเปลี่ยน

“ใช่ลูกขององค์ชายสามหรือไม่” ปิงเอ๋อร์ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เจ้าอยากให้เป็นขององค์ชายสามหรือ” ฟู่เสวี่ยเยียนถามกลับ

ปิงเอ๋อร์หลุบตาลงเอ่ยว่า “พี่สาวเป็นถึงทายาทสายเลือดหงส์ เกิดมาก็ต้องเป็นฮองเฮา ข้าย่อมหวังว่าเด็กคนนี้จะเป็นขององค์ชายสาม”

ฟู่เสวี่ยเยียนกลับบอกว่า “เป็นลูกของจีหมิงเยี่ย”

ใบหน้าน้อยๆ ของปิงเอ๋อร์พลันขาวซีด

ฟู่เสวี่ยเยียนไม่พูดอะไรอีก เดินถือที่อุ่นมือจากไปเงียบๆ

ใต้เท้าเจ้าสำนักแอบฟังอยู่ที่ลานอยู่นานสองนานก็ไม่ได้ยินอะไรสักที เดิมทีคิดจะเดินเข้าไปหาอย่างเปิด (แอบ) เผย (แอบ) ไหนเลยจะรู้ว่าแค่ยกเท้าขยับ ฟู่เสวี่ยเยียนก็เดินออกมากจากหลังภูเขาจำลองเสียแล้ว

เขารีบเดินตามไป

ฟู่เสวี่ยเยียนก้าวขึ้นรถม้า

เขาก็จะขึ้นไปด้วย แต่ถูกซิ่วฉินขวางไว้

เขากระทืบเท้า แล้วโผเข้าไปเกาะหน้าต่างรถ เลิกผ้าม่านขึ้นอย่างอุกอาจ “เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ ข้าตามหาเจ้าอยู่ตั้งนาน เหตุใดเจ้าถึง…ถึงได้…”

ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

ฟู่เสวี่ยเยียนดึงผ้าม่านกลับ เอ่ยอย่างไม่ชายตามองว่า “ไปได้”

รถม้าเคลื่อนตัวออกไป

“เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ! เจ้าลงมาก่อน ข้ายังพูดไม่จบเลย!”

“เจ้าลงมาก่อน!”

“นี่!”

“เจ้าเป็นอะไรกันแน่”

“เจ้าหยุดก่อน!”

ใต้เท้าเจ้าสำนักวิ่งไล่ไปตลอดทาง ช่วงแรกยังพอตบตัวรถได้อยู่ แต่ตอนหลังพอรถม้าเคลื่อนออกจากจวนอ๋องยิ่งวิ่งก็ยิ่งเร็ว เขาวิ่งจนขาแทบจะหลุดแล้วก็ยังถูกทิ้งห่างไปไกลอยู่ดี

เขายืนอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตรงมุมถนน มองรถม้าที่เลี้ยวหายไปจากสายตาแล้วไม่รู้เหตุใดถึงรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมา

ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินคอตกกลับฟางชุ่ยหยวนไป

ปิงเอ๋อร์ต้มชาผลไม้มาใหม่ๆ กำลังจะยกไปให้เด็กทั้งสอง แต่กลับเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักที่ท่าทางเศร้าสร้อย กระทั่งตนเดินผ่านก็ยังไม่เห็น นางจึงหันไปเอ่ยเรียกเขาไว้ “ใต้เท้าโหราจารย์ ข้าต้มชาไว้ เจ้าอยากดื่มสักหน่อยหรือไม่”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “เจ้าอย่าเพิ่งคุยกับข้า”

ปิงเอ๋อร์อึ้งไป

ใต้เท้าเจ้าสำนักน้อยใจจนรู้สึกแสบจมูก “เจ้าไม่ใช่น้องนางหรือ ข้าดีต่อเจ้าเพียงนี้แล้ว นางก็ยังไม่สนใจข้า ข้าไม่อยากทำดีกับเจ้าแล้ว”

หัวใจปิงเอ๋อร์…มีสายฟ้าฟาดลงมา

*******************