ตอนที่ 457-2 หึงหวง (1)
“ท่านแม่เป็นอะไรหรือ” จิ่งอวิ๋นสะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา
เฉียวเวยดึงเขาเข้ามากอด จูบหน้าผากที่เย็นน้อยๆ ของเขา “ไม่มีอะไร เจ้ารีบนอนเถิด”
จิ่งอวิ๋นอ้าปากหาวด้วยความง่วง มือน้อยๆ กอดอยู่ที่คอของเฉียวเวย ซุกศีรษะน้อยๆ เข้ากับอกมารดาแล้วหลับไป
เฉียวเวยกอดบุตรชายแน่น ดึงผ้าห่มที่ถูกบุตรสาวถีบออกไปขึ้นมา ไม่เท่าไรนางก็หลับตาลงท่ามกลางเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของบุตรทั้งสอง
จีหมิงซิวกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยออกไปจัดการธุระข้างนอก ไม่ได้กลับมาเลยทั้งคืน
แสงอาทิตย์แรกของวันลอดเมฆหมอกสอดเสียงเข้ามาภายในห้องที่หรูหรางดงาม พาให้เกิดประกายสีทองอร่ามสดใส เฉียวเวยขยับเปลือกตาเบาๆ เอามือลูบเตียงข้างกายตามสัญชาตญาณแต่กลับเจอเพียงความว่างเปล่า ใจนางพลันหล่นตุ้บ สะดุ้งตื่นเต็มตาทันที!
นางเลิกผ้าห่มขึ้น ก้าวขาลงพื้น ในขณะที่กำลังจะร้องเรียกหาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูนั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กสองคนดังมาจากในลาน
นางถอนหายใจด้วยความโล่งอก
จิ่งอวิ๋นตื่นเช้าเป็นประจำนั้นนางรู้ดี แต่เจ้าเด็กอ้วนนั้นหากไม่อ้อยอิ่งบิดขี้เกียจอยู่จนสายไม่มีทางออกจากผ้าห่มเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ยอมออกจากผ้าห่มแล้วก็ไม่ชอบแต่งตัวเอง พอจู่ๆ ไม่เห็นนางอยู่บนเตียง จึงทำให้ตกใจมากจริงๆ
เฉียวเวยใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เปิดประตูแล้วมองไปทางซาลาเปาน้อยทั้งสอง
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูบนศีรษะมีมงกุฎดอกไม้ใส่อยู่คนละอัน ที่แขนยังมีคล้องอยู่อีกสามอัน ตรงข้ามทั้งสอง ปิงเอ๋อร์กำลังนั่งยองๆ ถักมงกุฎดอกไม้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “อันนี้ให้ใครดีเล่า”
“ให้ข้าๆ!” เจ้าเด็กอ้วนยกมืออวบอ้วนของตนพลางร้องบอก
“ได้ ให้เจ้า” ปิงเอ๋อร์ยิ้มพลางเอานิ้วจิ้มจมูกเด็กน้อยก่อนจะหันไปมองจิ่งอวิ๋น “อันต่อไปให้จิ่งอวิ๋นนะ”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า
นิสัยของจิ่งอวิ๋นค่อนข้างเฉยชา น้อยคนนักที่จะเข้ามาอยู่ในสายตาเขาได้ อย่างน้อยในความทรงจำของเฉียวเวย กระทั่งปี้เอ๋อร์ก็ยังไม่เป็นที่ชอบใจของเขาเท่านี้
ปิงเอ๋อร์มือไม้ว่องไว ไม่นานก็ถักให้ทั้งสองจนเสร็จ พอหันหน้ามาเห็นเฉียวเวยที่กำลังเปิดประตูห้อง จึงวางดอกไม้ใบหญ้าในมือลงแล้วก้าวเข้ามาในห้อง
เฉียวเวยไปทำธุระส่วนตัว ตอนกลับเข้ามาในห้อง อุปกรณ์ล้างหน้าล้างตา น้ำอุ่น ผ้าเช็ดหน้า สีผึ้งเสวี่ยฮวา….ก็วางรออยู่อย่างครบครัน
เฉียวเวยร้องว้าวในใจ ไม่เสียแรงที่ปิงเอ๋อร์ได้เลื่อนขั้นเร็วเพียงนี้ การมีนางคอยดูแลช่างเป็นเรื่องที่น่าสบายใจยิ่งนัก
ทางด้านเฉียวเวยพอล้างหน้าล้างตาเสร็จ อีกด้านหนึ่ง ปิงเอ๋อร์กำลังเอาอาหารขึ้นตั้งโต๊ะ ซึ่งล้วนเป็นอาหารที่เฉียวเวยชอบทั้งสิ้น
ปิงเอ๋อร์ไม่เหมือนสาวใช้คนอื่นๆ ที่จะยืนนิ่งอยู่ในห้องตลอดเวลา ตอนเฉียวเวยกินอาหารแทบจะไม่เห็นตัวนางเลย แต่ชั่วเวลาที่เข้าห้องไปเปลี่ยนปิ่นปักผมนั้น ออกมาอีกทีจานชามบนโต๊ะก็มีคนเก็บไปเรียบร้อยแล้ว ประตูหน้าต่างเปิดกว้าง ดอกไม้สดใหม่ปักใส่แจกันอย่างสวยงาม ให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่งนัก
…
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น รถม้าคันหนึ่งมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่จวนมู่อ๋อง
ฟู่เสวี่ยเยียนใส่เสื้อคลุมผ้าไหมสีฟ้า สองมือจับที่อุ่นมือเอาไว้ซึ่งช่วยบดบังหน้าท้องเอาไว้เล็กน้อย หากไม่ตั้งใจมองให้ดีก็มองไม่ออกเลยจริงๆ
ซิ่วฉินเดินเข้ามาในจวนเป็นเพื่อนนาง รอบข้างไม่มีใครอยู่ ซิ่วฉินจึงใจกล้าเอ่ยว่า “คุณหนู ข้าได้ยินว่าคุณชายรองก็มาด้วย เรื่องลูก…ท่านบอกเขาสักหน่อยดีหรือไม่ นี่ก็ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว ดีร้ายอย่างไรก็น่าให้เขาได้เตรียมตัวบ้าง”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่บอกว่าจะบอก แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่บอก แค่เพียงเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ซิ่วฉินรู้ว่าขอเพียงอีกฝ่ายไม่เอ่ยขัด ก็เท่ากับว่านางฟังที่ตนพูดแล้ว นางจึงรีบตีเหล็กตอนร้อน “ไม่ว่าอย่างไรคุณชายรองก็เป็นบิดาของเด็กในท้อง ต่อไปเมื่อคลอดออกมาก็ต้องเอาให้เขาเลี้ยง จึงควรพูดให้เข้าใจกันไว้ก่อน เผื่อไว้เมื่อถึงเวลา…จะทำอะไรไม่ถูกเสีย ท่านฟังข้าสักครั้งเถิด อีกเดี๋ยวหากได้พบคุณชายรองแล้ว ท่านเรียกคุณชายรองไปที่ห้อง แล้วควรบอกอย่างไรก็บอกอย่างนั้นเถิด”
ฟู่เสวี่ยเยียนสีหน้าเรียบเฉยดังเก่า
ซิ่วฉินระบายยิ้ม “ท่านไม่พูด ข้าจะถือว่าท่านยอมตกลงแล้วนะ! หากท่านไม่กล้าเอ่ยปาก ให้ข้าเป็นคนพูดให้ก็ได้!”
ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ได้ปฏิเสธ
นายบ่าวทั้งสองเข้าไปที่ฟางชุ่ยหยวน
ใต้เท้าเจ้าสำนักตื่นสาย เวลานี้เพิ่งออกมาจากห้อง เขายังไม่ทันตื่นเต็มตา เวลานี้ยังสะลึมสะลือ เสื้อที่ใส่อยู่ไปเกี่ยวเข้ากับระเบียงทางเดินจนแขนเสื้อขาดเป็นแนวยาว
ปิงเอ๋อร์รีบเอากระเป๋าเย็บผ้าเข้ามา คุกเข่าข้างเดียวลงกับพื้นแล้วช่วยเย็บแขนเสื้อให้ใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างละเอียด
ปิงเอ๋อร์เย็บปักได้ดีมากจริงๆ ใต้เท้าเจ้าสำนักยกขึ้นดูก็ถึงกับเอ่ยด้วยความตกใจ “ราวกับของใหม่ทีเดียว!”
ปิงเอ๋อร์ยิ้มออกมา ชี้ไปยังแขนเสื้อด้านล่าง “ยังมีอีกจุดหนึ่งแหนะ”
“อ้อ” ใต้เท้าเจ้าสำนักยื่นแขนเสื้อไปให้นาง
นางตั้งใจเย็บ ทั้งสองอยู่ใกล้กันพอสมควร ใกล้จนกระทั่งได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากตัวเขา ลมหายใจของนางรินรดลงบนแขนเสื้อเขาจนปลายด้ายสั่นไหว
ปิงเอ๋อร์ยกแขนเสื้อกับด้ายขึ้นมากัดให้ขาด หากมองจากไกลๆ แล้วจึงเหมือนว่าตัวนางแนบชิดอยู่กับตัวเขา
นายบ่าวสองคนพอเข้ามาในฟางชุ่ยหยวนก็เห็นภาพเช่นนี้
ฟู่เสวี่ยเยียนจึงชักเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปกลับมา หมุนตัวจะเดินหนีไป
“พี่สาว?”
ปิงเอ๋อร์เรียกนางไว้
“เจ้ายังมีพี่สาวด้วยหรือ” ใต้เท้าเจ้าสำนักหันมองไปทางประตู จากนั้นเขาก็ถึงกับตะลึงค้างไปทันที “นางยักษ์?”
ฟู่เสวี่ยเยียนที่ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับคำเรียกนี้ จู่ๆ ก็กำมือแน่น
ซิ่วฉินถลึงตาใส่ใต้เท้าเจ้าสำนักอย่างไม่ได้ดั่งใจ ทักทายคนเป็นไหมนี่ เป็นไหม
ฟู่เสวี่ยเยียนหันหลังจะเดินหนี
ปิงเอ๋อร์ไวกว่า เข้าไปคว้าแขนนางไว้ “พี่สาว เหตุใดเพิ่งมาถึงก็จะไปแล้วเสียเล่า”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเดินตามมา มองฟู่เสวี่ยเยียนแล้วมองปิงเอ๋อร์ เอ่ยเหมือนลิ้นพันกันว่า “นาง นางเป็นพี่สาวเจ้า?” แล้วกันไปพูดกับฟู่เสวี่ยเยียนว่า “เจ้า เจ้ามีน้องสาวตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดข้าถึงไม่รู้”
“เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย” ฟู่เสวี่ยเยียนเดินต่อไปอย่างเฉยชา
“นี่! เจ้าอย่าเพิ่งไปสิ!” ใต้เท้าเจ้าสำนักก้าวเร็วๆ ไปขวางทางนางไว้ มองนางอย่างตัดพ้อและสับสน “อุตส่าห์มาถึงนี้แล้ว จะไปไหนเล่า”
น้ำเสียงที่ฟังดูสนิทสนมนี้ หากบอกว่าทั้งสองไม่เคยรู้จักกันคงไม่มีใครเชื่อ
สายตาของปิงเอ๋อร์มองสลับไปมาระหว่างฟู่เสวี่ยเยียนกับใต้เท้าเจ้าสำนัก แล้วนางก็เข้าใจอะไรบางอย่าง นางหลุบตาลงเอ่ยเสียงต่ำว่า “พี่สาว เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เมื่อครู่ข้าเพียงแค่…”
“ข้ามาหาจั๋วหม่าน้อย” ฟู่เสวี่ยเยียนเอ่ยขัดปิงเอ๋อร์
ซิ่วฉินมองคุณหนูของตนตาค้าง คุณหนูไม่เคยใช้น้ำเสียงเย็นชาเช่นนี้กับปิงเอ๋อร์มาก่อน
ไม่รู้ว่าเพราะคิดว่าตนเองผิดหวังในรักแล้วหรือไม่ ขนตาฟู่เสวี่ยเยียนสั่นระริก ผละออกจากทางสองแล้วเดินตรงไปทางห้องของเฉียวเวย
ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถูกเมินเฉยกัดฟันด้วยความขัดใจ เขาเอ่ยอย่างงอนว่า “ใช่พี่สาวเจ้าจริงๆ หรือ เหตุใดนิสัยเจ้าสองคนถึงไม่เหมือนกันสักนิด เจ้าอ่อนโยนเพียงนี้ เหตุใดนางถึง…”
ฝีเท้าฟู่เสวี่ยเยียนพลันชะงัก
ซิ่วฉินรีบตีใต้เท้าเจ้าสำนักให้ฉาดหนึ่ง
ใต้เท้าเจ้าสำนักเลยหุบปากฉับ
*******************