เล่ม 1 ตอนที่ 461-1 ความจริงของฮองเฮา (1)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 461-1 ความจริงของฮองเฮา (1)

จีหมิงซิวบอกให้เฉียวเวยอย่าคิดเพ้อเจ้อ เฉียวเวยก็ไม่คิดจริงๆ

นางที่ดูเหมือนเป็นคนอารมณ์ร้อน เอาเข้าจริงเชื่อฟังเสียยิ่งกว่าอะไร ไม่เหมือนจีหมิงซิวที่ภายนอกดูสุภาพเรียบร้อย ท่าทางดูพูดคุยด้วยได้ง่าย แต่เอาเข้าจริงกลับดื้อด้านไปถึงกระดูก ใครก็เอาเขาไม่อยู่ทั้งสิ้น

“แต่ว่า…” พอนึกถึงบางอย่าง เฉียวเวยก็อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “ท่านได้บอกเขาว่าท่านไม่ใช่ลูกเขาหรือไม่”

“อื้อ บอกไปแล้ว” จีหมิงซิวยกชาจิบเรียบๆ

“เช่นนั้นเขาเชื่อหรือไม่” เฉียวเวยถาม

จีหมิงซิว “ไม่ เขาไม่เชื่อ”

ไม่เชื่อหรือ… เฉียวเวยพึมพำกับตัวเองก่อนจะพูดต่อว่า “เช่นนั้น…ท่านได้บอกเขาหรือไม่ว่าท่านสามารถดึงกระบี่โหราจารย์ออกจากฝักได้”

กระบี่โหราจารย์เป็นถึงสมบัติของโหราจารย์ นอกจากคนในสายโหราจารย์แล้ว ไม่มีใครสามารถดึงมันออกมาได้ หากจีหมิงซิวกับเจ้าทึ่มนั่นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชาเยี่ยหลัวจริงๆ เช่นนั้นกระบี่โหราจารย์ก็คงไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสองคนแล้ว

คำตอบของจีหมิงซิวทำให้เฉียวเวยแปลกใจอยู่บ้าง “ไม่ได้บอก”

เฉียวเวยคิดอยากถามว่าเหตุใดเขาถึงไม่บอก แต่คำพูดขึ้นมาถึงริมฝีปากก็พลันนึกบางอย่างได้ นางเบิกตาคู่โตที่น่าหลงใหล ริมฝีปากสีสดเผยอออกเล็กน้อย “ท่านตั้งใจ?”

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ ส่งสายตาบอกว่าเด็กหัวทึบอย่างเจ้าในที่สุดก็เข้าใจเสียที

เฉียวเวยอยากหยิกเขานัก!

ถึงแม้จะรู้สึกขัดใจ แต่กลับต้องยอมรับว่าวิธีการของเขาถูกต้องแล้ว

พวกเขาอยู่ที่เยี่ยหลัวไม่คุ้นชินกับทั้งคนและพื้นที่ หากต้องการต่อกรกับฮองเฮาที่อยู่เหนือคนทั้งปวงของเยี่ยหลัว ถ้าไม่มีคนหนุนหลังที่แข็งพอ คงถูกคนจัดการได้ทุกเมื่อ

ราชาเยี่ยหลัวรีบร้อนจะรับเขาเป็นบุตร นับว่าเป็นการให้หมอนกับคนสัพหงกโดยแท้จริง ด้วยบุญคุณความแค้นระหว่างราชาเยี่ยหลัวกับตระกูลจี การที่หมิงซิวหลอกใช้ประโยชน์จากเขานับว่าไม่มีปราณีเอาเสียเลยจริงๆ

ปังๆๆ!

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูของผู้ดูแลปี้ดังขึ้น

ผู้ดูแลปี้เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ใต้เท้า ไม่ทราบว่าท่านอยู่หรือไม่”

“มีเรื่องอันใด” จีหมิงซิวถามเสียงเย็น

ผู้ดูแลปี้เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ท่านอ๋องให้ข้าน้อยมาเชิญใต้เท้าไปที่หอหลิวซูสักหน่อย เห็นว่า…มีเรื่องอยากหารือด้วยขอรับ”

ดีร้ายอย่างไรวันนี้ก็มาพักอยู่บ้านเขา ก่อนหน้านี้ก็นั่งรถม้าของบ้านเขา ต่อให้ต้องไปเพื่อเอ่ยขอบคุณก็ถือว่าสมควร

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างท่านมู่อ๋องกับราชาเยี่ยหลัว เกรงว่าเขาก็คงเดาได้แล้วว่าหมิงซิวเป็น “บุตรชาย” ของราชาเยี่ยหลัว ก่อนหน้านี้เคยล่วงเกินอะไรกันไว้ เวลานี้หมิงซิวจะแสดงความขอโทษก็ถือว่าสมควรแล้ว

เฉียวเวยมองส่งสามีของตนเดินออกจากประตูไป

เฉียวเวยไม่คิดว่าเขาไปครั้งนี้จะเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางออกไปจับตัวเด็กน้อยทั้งสองที่วิ่งเล่นกันจนเหงื่อแตกเต็มตัวกลับเข้ามาในห้อง

อาบน้ำล้างตัวให้บุตรทั้งสองแล้วจับตัวเข้าไปในผ้าห่ม จากนั้นจีหมิงซิวก็เดินหน้าตาประหลาดกลับมา

เขาอยู่ในอาภรณ์สีขาวตลอดร่าง แขนเสื้อกว้างทิ้งอยู่ข้างตัว มีลมอ่อนๆ พัดมาทางด้านหลังจนเส้นผมดำขลับราวกับหมึกของเขาปลิวไสว มองดูงดงามยิ่ง ดวงตาคู่งามกลับดูไม่สบายอกสบายใจดังเช่นทุกวันที่เคยเป็นมา แต่มีแววขบขันที่ชวนให้คนซักถามเพิ่มเข้ามา

“ครานี้มีอะไรอีกล่ะ” เฉียวเวยถามด้วยความงุนงง

จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้น เอยอย่างเห็นขันว่า “มู่อ๋องบอกว่าข้าเป็นบุตรของเขา”

เฉียวเวย “!”

เฉียวเวยถึงกับสะอึก

เรื่องราวที่ประหนึ่งเทพเจ้ากลั่นแกล้งนี้ เมื่อตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่!

หลังจากส่งจีหมิงซิวกลับไปแล้ว ท่านมู่อ๋องนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง

ผู้ดูแลปี้ไม่รู้ว่าเหตุใดราชามู่อ๋องจึงเป็นเช่นนี้ ยังคิดว่าพระชายาไม่อยู่นานเกินไป เขาอยู่คนเดียวในห้องแล้วเกิดเหงา เลือดในกายร่อนรุ่ม จึงคิดเองเออเองจัดการส่งสาวใช้ที่ทั้งเป็นงานและสะสวยเข้าไปรับใช้ในห้อง

เวลานี้ท่านมู่อ๋องจะมีแก่ใจจะแตะต้องสตรีได้อย่างไร

จึงไล่ตะเพิดสาวใช้ออกไปด้วยความรำคาญ

ก่อนสาวใช้จะออกไป ท่านมู่อ๋องเผลอเหลือบมองนางแวบหนึ่ง พลันมีความคิดหนึ่งแวบผ่าน จึงให้ผู้ดูแลปี้เรียกปิงเอ๋อร์มาหา

ผู้ดูแลปี้คิดในใจว่า เอาแล้วๆ เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย รู้อยู่แล้วเชียวว่ายัยหนูนั้นหน้าตางดงามราวกับบุปผา ต้องมีสักวันที่เป็นที่ถูกตาต้องใจนายท่านสักคนแน่นอน

เพียงแต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นท่านอ๋อง เพราะถึงอย่างไรอายุของปิงเอ๋อร์ก็เหมาะกับซื่อจื่อมากกว่าไม่ใช่หรือ

เฮ่อ เป็นความผิดของพระชายาแท้ๆ เชียว อยู่ดีๆ มาทิ้งให้ท่านอ๋องอยู่ในจวนคนเดียวได้อย่างไร ท่านอ๋องคนร้อนรุ่มขึ้นมาแล้วสิท่า คงมีคนอาศัยช่องว่างแทรกเข้ามาได้แล้วกระมัง!

ผู้ดูแลปี้ส่ายหน้า มาพาตัวปิงเอ๋อร์เข้าไปที่ห้องท่านมู่อ๋อง

ระหว่างทางผู้ดูแลมู่ได้เอ่ยชี้แนะนางไปแล้ว ปิงเอ๋อร์เลยคิดว่าท่านอ๋องจะให้ตนปรนนิบัติ จึงเข้าไปในห้องด้วยความตื่นเต้นและหม่นหมอง

แต่ใครจะรู้ ประโยคแรกที่ท่านอ๋องเอ่ยกลับถามถึงสองพี่น้องจีหมิงซิว

ปิงเอ๋อร์เข้าใจไปว่าท่านอ๋องจะสืบถามเรื่องของศัตรูหัวใจ จึงเล่าสิ่งที่คอยสังเกตมาได้ในหลายวันนี้ให้อีกฝ่ายฟังโดยละเอียด

อันที่จริงก็ไม่มีอะไรสำคัญนัก บุรุษหนุ่มสองคน คนหนึ่งยุ่งกับภาระการงาน หากไม่ออกไปข้างนอกก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือ ส่วนอีกคนก็นั่งว่างเสียจนจะเป็นแผลกดทับ หากไม่แหย่เด็กๆ เล่น ก็นั่งดึงอะไรเล่นไปเรื่อย

“ว่างมากหรือ…” มู่อ๋องทำท่าใช้ความคิด

“ปิงเอ๋อร์เล่าความจริงทุกอย่างเจ้าค่ะ” ปิงเอ๋อร์พูดด้วยความจงรักภักดี

ท่านอ๋องมู่พยักหน้า ไม่มีทีท่าว่าจะไม่เชื่อปิงเอ๋อร์ เขาหันไปมองปิงเอ๋อร์แล้วกำชับว่า “คอยปรนนิบัติโหราจารย์ให้ดี”

เขาไม่รอให้ปิงเอ๋อร์ตอบรับ ก็เอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “ที่ข้าบอกว่า ‘ปรนนิบัติ’ เจ้าเข้าใจว่าหมายความว่าอะไรกระมัง”

ปิงเอ๋อร์มีหรือจะไม่เข้าใจ

ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำ ตอบรับด้วยความขัดเขิน “ปิงเอ๋อร์จะไม่ทำให้ท่านอ๋องผิดหวังเจ้าค่ะ”

ท่านอ๋องมู่โบกมือแล้วให้ปิงเอ๋อร์ออกไป

ใจของปิงเอ๋อร์เต้นตุบตับๆ

นางเป็นบ่าวไพร่คนหนึ่ง จะเป็นหรือตายไม่ได้ขึ้นอยู่กับตนเอง ในเมื่อท่านอ๋องเอ่ยปากแล้ว นางจะไม่ปฏิบัติตามได้หรือ

ไม่ใช่ว่านางอยากยั่วยวนพี่เขยอย่างไร้ยางอาย แต่แท้จริงเป็นเพราะ…คำสั่งท่านอ๋องยากจะฝ่าฝืน

ปิงเอ๋อร์ที่ยากจะฝ่าฝืนคำสั่งท่านอ๋องยากจะปกปิดความตื่นเต้นในใจ นางกลับไปยังห้องส่วนตัวในฟางชุ่ยหยวนที่ตนพักอยู่ชั่วคราว

นางเข้าไปเปิดหีบไม้แกะสลักขึ้นก่อน หยิบผงชาดชั้นดีขึ้นมา แล้วจัดการผัดใบหน้าที่ขาวผ่องจนแดงระเรื่อ ดูประหนึ่งกลีบดอกไม้อันงดงามที่ดูเจิดจรัสที่สุดบนกิ่งนั้น

จากนั้นก็เอาหลัวไต้เขียนคิ้วขึ้นมาวาดคิ้วเรียวของตน

นางเกิดมามีใบหน้าสะสวย ต่อให้ไม่ผัดหน้าก็งดงามโดดเด่น แต่ไม่มีใครรังเกียจหากตนจะสวยขึ้นอีกสักนิด ประดับประดาแต่งตัวมากอีกสักหน่อย ให้ดูงดงามจับตายิ่งขึ้น

พอแต่งหน้าเสร็จ ปิงเอ๋อร์ก็เปลี่ยนไปสวมชุดใหม่ที่ดูแสนสง่า สีสันดูประหนึ่งฟ้ากระจ่างหลังเมฆหมอก เรียบง่ายแต่สะอาดตา ไม่เปรอะเปื้อนฝุ่นดิน

นางดึงคอเสื้อให้ต่ำลงแต่ไม่เปิดเผยเนื้อหนังจนเกินไป

นางเริ่มเลือกชุดผ้าโปร่งบาง นางมีเสื้อชั้นดีอยู่สองชุด ชุดหนึ่งสีทองอ่อน สูงสง่าและหรูหรา อีกชุดหนึ่งเป็นสีเงินขาว พลิ้วไหวและงดงาม

สีทองถึงอย่างไรก็ดูโบราณไปสักหน่อย

นางเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าโปร่งสีเงินขาว งดงามราวกับเทพธิดา

นางเม้มแผ่นชาดสีแดง ริมฝีปากอวบอิ่มดูแวววาวขึ้นทันตา สีสันก็พลันสดใส

หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างตั้งใจเสร็จแล้ว นางก็ลุกขึ้นไปที่ห้องของใต้เท้าเจ้าสำนัก

ที่น่าเสียดายก็คือใต้เท้าเจ้าสำนักไม่อยู่ พอถามจากสาวใช้ถึงได้รู้ว่าใต้เท้าเจ้าสำนักไปตกปลาที่ทะเลสาบด้านหลัง

ทะเลสาบด้านหลังก็ดีสิ ทิวทัศน์งดงาม ลมพัดอ่อนๆ บรรยากาศน่าเคลิบเคลิ้ม