WSSTH ตอนที่ 3,009 : ไปหาที่สนทนาเงียบๆ
‘ดูเหมือนทุกคนก็พึ่งจะผ่านการทดสอบมาสินะ’
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนมองสำรวจไปทั่วๆ จึงพบว่าไม่เพียงแต่จะสามารถมองเห็นภายในห้องโถงของตัวเองที่พึ่งออกมาได้ แต่ยังเห็นเรื่องราวภายในห้องโถงอื่นๆเช่นกัน
กวาดตามองไปปราดเดียวต้วนหลิงเทียนก็พบว่ามีห้องโถงทั้งสิ้น 10 โถง และบัดนี้คงเหลืออีก 3 ห้องโถงเท่านั้นที่มีคนกำลังประมือกับร่างจิตต่อสู้ที่เป็นบททดสอบแรกอยู่
“หืม?”
อย่างไรก็ตามพอเห็นคู่ต่อสู้ในทดสอบของคนอื่น ต้วนหลิงเทียนก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เขาพบว่าหนึ่งในนั้นกำลังปะทะกับร่างจิตต่อสู้ 7 ร่าง หากแต่ร่างจิตต่อสู้ทั้ง 7 ที่ว่ากลับไร้ซึ่งสัญญาณรวมร่างแต่อย่างไร สุดท้ายก็ถูกไล่ฆ่าทิ้งไปทีละร่างๆ
ส่วนอีก 2 คนนั้น ก็กำลังเผชิญหน้ากับร่างจิตต่อสู้ที่เหลือแค่ 4-5 ร่างเท่านั้น
‘นี่มัน…อะไรกัน?’
‘ไฉนบททดสอบที่ข้าเจอ มันยากกว่าเจ้าพวกนี้นักเล่า?’
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะงุนงงสงสัย หรือวังจอมราชันอมตะมีลำเอียงด้วย?
“ต้วนหลิงเทียน”
ตอนนี้เองเชวียจิงอวี่ที่เห็นต้วนหลิงเทียนยืนนิ่งไปด้วยสายตางุนงง ก็พอจะคาดเดาความคิดของต้วนหลิงเทียนได้ จึงกล่าวทักออกมา “เจ้าได้ช่วยสะสมคะแนนให้ใครบางคนจนครบ 10 แต้มรึเปล่า แถมยังพาคนผู้นั้นมาที่วังจอมราชันอมตะด้วย?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองเชวียจิงอวี่ด้วยความสงสัย และไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆอีกฝ่ายก็ถามเรื่องนี้ออกมา
แต่ก็ใช่ เขาช่วยหวงเจียเชาสะสมคะแนน 10 แต้ม
“ก็ใช่”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ เชวียจิงอวี่ก็เริ่มพูดต่อ “เพราะเจ้าช่วยผู้อื่นโกงคะแนนและพามันมาที่วังจอมราชันอมตะ เช่นนั้นบททดสอบแรกที่เจ้าต้องพบเจอจากวังจอมราชันอมตะจึงยากเป็นพิเศษ”
“ก่อนหน้าเจ้า ก็มีคนที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าข้าเลย ตกตายเพราะเจอการทดสอบระดับเดียวกับเจ้าไปแล้ว…”
เชวียจิงอวี่พูดออกมารวดเดียวจบ
“โกง?”
หว่างคิ้วต้วนหลิงเทียนขดย่นเป็นปม เขาไม่คิดเลยว่าวังจอมราชันอมตะจะมีกฏอะไรแบบนี้อยู่ด้วย และเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
อย่างไรก็ตามพอนึกดูอีกรอบก็จำได้ว่า ใครก็ตามที่เข้ามาในแดนสววรรค์ใต้โบราณระดับต่ำ ผู้ที่ได้ 10 คะแนนและรู้เรื่องวังจอมราชันอมตะก็จะสูญเสียความทรงจำที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นจนหมด เขาก็พอได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างเข้าใจ
เพราะแบบนี้ ถึงแม้จะมีใครบางคนเคยเจอเรื่องแบบเดียวกับเขา ต่อให้รอดกลับออกไปได้ ก็ไม่อาจเหลือความทรงจำไปบอกใครได้อยู่ดี
“ต้วนหลิงเทียน”
ทันใดนั้นเอง เรื่องที่ทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจอยู่บ้างก็เกิดขึ้น อัจฉริยะจากประเทศตงหมิง หลิงเจวี๋ยอวิ๋น ผู้นั้น กลับเป็นฝ่ายทักเขาก่อน ทั้งยังเดินเข้ามาหาเขา
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋น”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลางพยักหน้าทักตอบ
“ข้าขอคุยอะไรกับเจ้าเป็นการส่วนตัวหน่อยได้ไหม?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเอ่ยถาม
“หืม? ได้สิ”
ถึงไม่ทราบว่าทำไมอยู่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเข้าหาเขาแบบนี้ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย แล้วเลือกจะพยักหน้าตอบตกลง
“ขอบใจเจ้า”
พอเห็นต้วนหลิงเทียนยอมรับ หลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เดินนำต้วนหลิงเทียนเข้าไปในห้องโถงที่ต้วนหลิงเทียนพึ่งเดินออกมาทันที
ต้วนหลิงเทียนก็ตามไปด้วยสงสัย
“หลิงเจวี๋ยอวิ๋นรึ?”
ด้านเชวียจิงอวี่ หลังได้ยินคำทักตอบของต้วนหลิงเทียนเมื่อครู่ มันก็รู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูพิกล และพอนึกไปนึกมาก็จำได้ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็คือนามของอัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นในประเทศตงหมิง!
“ผู้ฝึกตนอัจฉริยะที่อยู่ๆก็ปรากฏตัวในงานประลองสวรรค์ใต้ของตงหมิง…หลิงเจวี๋ยอวิ๋นที่อาศัยด่านพลังยอดเซียนอมตะขั้นสวรรค์ก็สยบปราบยอดเซียนอมตะขั้นสูงสุดทั้ง 8 ของประเทศตงหมิงได้ผู้นั้น!”
ในขณะที่เชวียจิงอวี่จำหลิงเจวี๋ยอวิ๋นได้ ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เดินเข้าไปในห้องโถงแล้ว
เชวียจิงอวี่เห็นก็แต่แผ่นหลังของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไม่อาจแลเห็นสีหน้าได้
ส่วนต้วนหลิงเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นนั้น ในสายตาเผยความสงสัยอยู่บ้าง
“เฮ่! สหาย…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั่นมาจากดินแดนพันประเทศงั้นเรอะ?”
ตอนนี้เองชายวัยกลางคนผู้หนึ่งในบรรดากลุ่มคน ก็หันมามองถามเชวียจิงอวี่
คนที่เหลือก็มองรอฟังคำตอบเชวียจิงอวี่เช่นกัน
“ใช่”
เชวียจิงอวี่พยักหน้า “ไม่เพียงแต่มันจะเป็นคนจากดินแดนพันประเทศเท่านั้น แต่ข้ายังเป็นคนจากดินแดนพันประเทศด้วย และคนที่พึ่งเดินเข้าไปในห้องโถงกับมันก็เป็นคนของดินแดนพันประเทศเช่นกัน”
“ทว่าต่างจากข้าที่เป็นคนของตระกูลราชวงศ์ประเทศหนันฉี่ ทั้ง 2 ล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ ทั้งคู่อยู่ๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาและใช้ดินแดนพันประเทศเป็นใบเบิกทางสู่แดนสวรรค์ใต้โบราณระดับต่ำแห่งนี้เท่านั้น”
เชวียจิงอวี่กล่าว
“ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าในวังจอมราชันอมตะ จะมีคนของดินแดนพันประเทศ 3 คนมารวมตัวกัน”
ชายวัยกลางคนระบายลมหายใจออกมาอย่างทอดถอน
“สหายพอดีเมื่อครู่ข้าเหมือนจะสัมผัสได้…เจ้าหนุ่มชุดม่วงคนนั้นมันอายุน้อยกว่าร้อยปีรึ?”
ตอนนี้เองชายชราคนหนึ่งในกลุ่ม ค่อยๆกล่าวถามออกมาเสียงขรึมด้วยสีหน้าไม่มั่นใจ
ในระหว่างที่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋นอวิ๋นกำลังจะเดินเข้าไปในห้องโถง สำนึกเทวะของมันได้ลองแผ่ออกไปตรวจสอบทั้งคู่คร่าวๆ จึงสัมผัสได้ว่าต้วนหลิงเทียนเหมือนจะมีอายุน้อยกว่าร้อยปี แต่คนดันเข้าโถงไปก่อนมันจึงไม่อาจแน่ใจได้
“อันใด!?”
“อายุไม่ถึงร้อย เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นน่ะนะ? ไม่จริงมั้ง! เป็นไปมิได้!!”
“เหอะๆ หากมันที่ร้ายกาจขนาดนี้ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปี…มิใช่หลายปีที่ผ่านของพวกเรา ล้วนใช้ชีวิตเยี่ยงสุนัขแล้วหรือ?”
…
ได้ยินคำถามของชายชรา หลายคนอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมาพลางส่ายหัวระรัว เห็นชัดว่าพวกมันไม่เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นไปได้
“สหายทั้งหลาย พี่ชายท่านนี้พูดถูก…”
เชวียจิงอวี่กล่าวออกเสียงหนัก “และไม่ใช่แค่ชายหนุ่มชุดม่วงเท่านั้น กระทั่งชายหนุ่มชุดเทาคนนั้นก็ยังมีอายุไม่ถึงร้อยปีเช่นกัน”
“หากพวกท่านยังไม่เชื่อ…ประเดี๋ยวรอให้ทั้งคู่ออกมาจากโถงก่อน แล้วลองใช้สำนึกเทวะตรวจสอบดูกันเอาเถอะ จากนั้นพวกท่านจะเชื่อเอง ว่าที่ข้ากล่าวไปล้วนเป็นความสัตย์จริง!”
เชวียจิงอวี่ยืนกรานเสียงหนัก
“กระไร?!”
“ทั้งสองคนนั่น…พวกมันอายุไม่ถึงร้อยจริงๆหรือ!?”
“เฮ่ยๆๆ…เจ้าหนุ่มชุดม่วงนั่นมันสมควรเข้าใจความลึกซึ้งของกฏแห่งดิน 2 ประการเข้าไปแล้วนา…คนอย่างมันยังจะมีอายุไม่ถึงร้อยปีได้เหรอ สหาย…เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นแน่หรือ?”
…
ได้ยินคำพูดของเชวียจิงอวี่หลายคนนั้นไม่อาจปักใจเชื่อได้ทันที แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้โดยสมบูรณ์
เพราะพวกมันรู้สึกว่าเชวียจิงอวี่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาหลอกพวกมัน
และก็เป็นอย่างที่เชวียจิงอวี่กล่าว ขอเพียงรอให้ทั้งสองออกมาแค่ลองตรวจสอบดูเองก็รู้ได้ง่ายๆแล้ว ว่าชายหนุ่มชุดม่วงนั่นที่แท้ยังอายุไม่ถึงร้อยปีจริงหรือไม่จากสำนึกเทวะ
แน่นอนว่าตอนนี้หากเกิดอาการคันในหัวใจยากจะเกาจนทนไม่ไหวแล้ว ขอเพียงก้าวอาดๆเข้าโถงไปตรวจดูก็รู้เรื่องเช่นกัน!
อย่างไรก็ตามพอนึกถึงพลังความแข็งแกร่งชวนสยองของชายหนุ่มชุดม่วง ที่สมควรเข้าใจความลึกซึ้ง 2 ประการนั่นแล้ว พวกมันก็สำเหนียกตัวเองดีว่ายังห่างชั้นเกินกว่าจะไปทาบผู้อื่นเข้าติด
แม้ในบรรดาพวกมันจะไม่มีผู้ใดพลังฝีมือต่ำทราม และต่างเข้าใจความลึกซึ้งอย่างความหมายแห่งกฏได้หมด แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ยังถือว่าด้อยกว่าชาหนุ่มชุดม่วงหลายขุม ถึงขั้นที่ว่าให้พวกมันทั้งหมดกลุ้มรุมโจมตี ก็เกรงว่าจะไม่มีปัญญาฝ่าการป้องกันผู้อื่นเขาได้…
ภายในห้องโถง
“ว่าแต่เจ้าธุระอะไรกับข้างั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนมองถามหลิงเจวี๋ยอวิ๋นออกมาด้วยความสงสัย
เขาไม่รู้จริงๆว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นมีเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้พาเขามาคุยกันในโถงจนดูลึกลับและส่วนตัวแบบนี้
“ต้วนหลิงเทียน เจ้ารู้จักเซี่ยเจี๋ยรึเปล่า?”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นมองสบตาต้วนหลิงเทียน พลางยิงคำถามแรกออกมาทันที
“เซี่ยเจี๋ย?”
ได้ยินคำถามของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดลงเล็กน้อย หากแต่ในใจนั้นคล้ายมีมรสุมปั่นป่วน!
เซี่ยเจี๋ย
นามนี้มิใช่นามแปลกหูสำหรับเขา
ยังบอกได้ว่าเขาสลักนามนี้ลงในใจไม่รู้ลืม
เพราะเซี่ยเจี๋ยนั้น ก็คือนามของ อาสามเค่อเอ๋อเมื่อชาติที่แล้ว อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มาช่วยชีวิตเขาในระนาบโลกียะได้ทันท่วงที กระทั่งยังเป็นผู้ที่มอบทองเทพสุดลี้ลับขั้นแรก รวมถึงกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้กับเขา
“เซี่ยเจี๋ยไหน เจ้ากำลังถามถึงใครกัน?”
ต้วนหลิงเทียนสูดอากาศเข้าลึกๆ ค่อยย้อนถามกลับไป
วินาทีนี้เขาไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ยอดเซียนอมตะที่เขาบังเอิญมาพบเจอในวังอมตะจอมราชันอย่างไม่คาดคิด ไฉนจะรู้จักตัวตนอย่างเซี่ยเจี๋ยได้
ต้องทราบด้วยว่าเซี่ยเจี๋ยนั้นเป็นตัวตนที่ทรงพลังเหนือกว่าตัวตนใดๆในระนาบเทวโลก เป็นตัวตนขอบเขตเทพเจ้าของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ 1 ใน 18 ระนาบทวยเทพ
“ดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ นายท่านลำดับที่ 3 ตระกูลเซี่ย เซี่ยเจี๋ย!”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นค่อยๆกล่าวตอบออกมาชัดถ้อยชัดคำ
และทันทีที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวคำดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพออกมา ร่างต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะสะท้านไปทันใด ขณะเดียวกันก็ยืนยันได้ว่าคนที่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวถามถึงนั้น เป็นเซี๋ยเจี๋ยที่เขารู้จักจริงๆ
‘หลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นี้…ด่านพลังก็แค่ยอดเซียนอมตะเท่านั้นไฉนถึงไปรู้จักกับเซี่ยเจี๋ยได้? อีกทั้งรู้จักดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพได้อย่างไร?’
ต้วนหลิงเทียนเต็มไปด้วยความสับสน และไม่อาจคิดได้ออกจริงๆว่ายอดเซียนอมตะคนหนึ่งอย่างหลิงเจวี๋ยอวิ๋น ไฉนไปล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ กระทั่งรู้จักอาสามของเค่อเอ๋อได้
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้ารู้จักเซี่ยเจี๋ย”
หลังสูดอากาศเข้าลึกๆ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่มองอีกฝ่าย พลางเอ่ยถามเสียงหนัก
“เพราะอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดในร่างกายของเจ้า ‘กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน’ สมควรอยู่ในมือของเซี่ยเจี๋ย…แต่ในเมื่อมันมาอยู่กับเจ้าแบบนี้ได้ ข้าก็มองเห็นแค่ความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…เซี่ยเจี๋ยเป็นคนมอบกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนให้เจ้าด้วยตัวเอง…”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าว
กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน!
เมื่ออีกฝ่ายเปิดเผยการคงอยู่ของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนในร่างของเขาออกมา ต้วนหลิงเทียนก็ตระหนักได้ทันทีว่าไฉนอีกฝ่ายถึงรู้ว่าเขารู้จักเซี่ยเจี๋ย ยังมองถามอีกฝ่ายด้วยความระวัง “นี่เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“ข้าเองก็มาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพเช่นกัน”
คล้ายล่วงรู้แต่แรกว่าต้วนหลิงเทียนต้องถามเรื่องนี้ออกมา หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจึงสามารถตอบได้อย่างฉะฉานทันที “บอกเจ้าตามตรง ข้ามาจากตระกูลหลิงของแดนดินการล่มสลายแห่งทวยเทพ และเป็นตระกูลเร้นกายตระกูลหนึ่ง”
ขณะที่กล่าวถึงคำว่า ‘ตระกูลหลิง’ สองหมัดของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นพลันกำแน่น ลูกตายังกลายเป็นสีแดงฉาน ทั่วร่างยังปรากฏเจตนาฆ่าฟันออกมาอย่างยากระงับ
“ตระกูลหลิงของข้าแม้ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าตระกูลเซี่ย อีกทั้งความแข็งแกร่งยังด้อยกว่าตระกูลเซี่ยอยู่บ้าง…หากแต่ในอดีตครั้งสมัยตระกูลหลิงยังรุ่งเรืองนั้น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลเซี่ยเลย”
ขณะที่กล่าวประโยคนี้ น้ำเสียงของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็ฟังดูเย็นชาเหลือเกิน ปานจะแช่ร่างผู้คนให้เป็นน้ำแข็ง
‘มันเกลียดตระกูลหลิงของมันนักหรือ?’
‘รึบางที…อาจเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลหลิงของมัน’
ถึงแม้หลิงเจวี๋ยอวิ๋นจะไม่ได้พูดอะไรออกมาต่อ แต่ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเคียดแค้นชิงชังของอีกฝ่ายชัดเจน จากจิตฆ่าฟันที่เอ่อล้นออกมาทั่วร่างนั่น
เป็นความเคียดแค้นอาฆาตอันสาหัสนัก ไม่ใช่ความแค้นเล็กๆน้อยแน่นอน!
“เจ้าเรียกข้ามา…เพื่อพูดแค่นี้เหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
หลังจากเข้ามาในห้องโถงแล้ว นอกจากประโยคแรกที่ต้วนหลิงเทียนเอ่ยขึ้น จากนั้นต้วนหลิงเทียนกับหลิงเจวี๋ยอวิ๋นก็เลือกใช้การส่งเสียงผ่านพลังสื่อสารกัน
“ย่อมไม่”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นส่ายหัวไปมาพลางกล่าวสืบต่อ “ที่ข้าเรียกเจ้ามาคุยด้วย…จุดประสงค์คืออยากให้พี่สาวของข้าเป็นวิญญาณกระบี่ของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนที่อยู่ในร่างเจ้า”
กระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยน!
วิญญาณกระบี่!?
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันที “เจ้าหมายความว่าอะไร?”
“พี่สาวที่ข้ากำลังพูดถึงนั้น ในอดีตเคยเป็นจิตวิญญาณของอุปกรณ์เทพระดับสูงสุด และอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดที่ว่าก็คืออาวุธคู่กายยของพี่สาวแท้ๆข้า…ต่อมาพี่สาวแท้ๆของข้าตกตาย และอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดชิ้นนั้นก็ถูกศัตรูพรากไป พี่สาวที่เป็นจิตวิญญาณอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดที่ว่า ย่อมไม่คิดยอมรับนายใหม่ ยังคิดมาเตือนเภทภัยต่อข้า จึงละทิ้งอุปกรณ์เทพระดับสูงสุดนั้นมา ซึ่งการกระทำเช่นนั้นย่อมแลกมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส สุดท้ายหลังช่วงข้าหบหนีจึงต้องพักอาศัยในทะเลวิญญาณของข้าเพื่อฟื้นตัว”
หลิงเจวี๋ยอวิ๋นกล่าวว่า “หลังจากที่นางกลายเป็นจิตวิญญาณกระบี่ของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนแล้ว ชีวิตของนางจะอยู่ในกำมือเจ้าโดยสมบูรณ์ เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องที่นางจะต่อต้านเจ้าเลย”
“เรียกว่าเจ้าเป็นเจ้านายของกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนเพิ่ม 1 วัน เจ้าก็คือเจ้านายของนางเพิ่มอีกวัน…และด้วยกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนยังมีเจ้าเป็นเจ้าของ นางก็ไม่อาจละทิ้งกระบี่หลิงหลง 7 เปลี่ยนได้”