เล่ม 1 ตอนที่ 464-2 หลักฐานความผิด

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 464-2 หลักฐานความผิด

จีหมิงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มไฟโทสะอีกครึ่งที่เหลือในสงบลง แขนกว้างกอดนางไว้ มุมปากแตะลงบนศีรษะนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาหวิวว่า “เจ้าก็รู้หรือ”

เฉียวเวยพยักหน้าราวกับสับกระเทียม “ย่อมรู้สิ ท่านดีต่อข้าเพียงนี้ หากท่านเสียใจ ข้าก็จะเสียใจเช่นกัน”

จะบอกว่า “ข้ารักท่านเพียงนี้ หากท่านเสียใจ ข้าก็เสียใจเช่นกัน” ไม่ได้หรือ

ใต้เท้าอัครเสนาบดีที่ไม่ได้ยินคำหวานรู้สึกเสียใจอยู่ลึกๆ ถึงแม้จะมีคำพูดว่ารู้ใจกันไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย แต่หากสามารถพูดได้ ผู้ใดบ้างจะไม่อยากได้ยิน

แต่ดูจากความเปิดกว้างของใครบางคนแล้ว ตอนเขามีชีวิตอยู่จะได้ยินหรือไม่ก็ไม่รู้

ระหว่างที่สองสามีภรรยาพูดคุยกัน บ่าวก็เข้ามารายงานว่าท่านมู่อ๋องมาแล้ว

ระหว่างทางที่เฉียวเวยได้รับการคุ้มกันกลับมา ก็ได้รู้จากปากทหารรักษาพระองค์ที่พูดภาษาจงหยวนได้แล้วว่า พวกเขาได้รับคำสั่งจากท่านมู่อ๋องให้มาตามหานาง

ท่านมู่อ๋องทำเช่นนี้ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะถึงอย่างไรนางก็คือ “สะใภ้” ของเขา หากเกิดเรื่องกับนาง เขาก็คงอธิบายกับ “บุตรชาย” ของตนไม่ได้

เพียงแต่เมื่อเห็นหน้าตาขี้เล่นของสามีตนแล้ว ดูเหมือน…เรื่องนี้ยังมีอะไรน่าสนุกเกิดขึ้นอีก

อ้อ แปดส่วนน่าจะถูกใครบางคนเล่นลูกไม้ใส่เสียแล้ว

เฉียวเวยทอดถอนใจที่สามีของตนเจ้าเล่ห์เพทุบาย แต่อีกใจหนึ่งก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าคนที่มู่อ๋องกับราชาเยี่ยหลัวยอมรับพร้อมกันว่าเป็นบุตรนั้น แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่

ในใจนางอันที่จริงมีคนที่คาดเดาไว้อยู่แล้ว

จีหมิงซิวให้ภรรยาที่ได้รับ “ความตกใจ” พักผ่อนอยู่ในห้อง ส่วนตนกลับเรียกน้องชายมาให้ไปที่โถงน้ำชาด้วยกัน

ใต้เท้าเจ้าสำนักที่ถูกเรียกตัวรู้สึกดีใจยิ่งนัก ถูกเมินเฉยมานานเพียงนี้ ในที่สุดก็มีเรื่องให้เขาไปทำแล้ว

คนตระกูลจีหน้าโง่ ในที่สุดก็รู้ถึงคุณค่ากับความสามารถแท้จริงที่ไม่อาจมีใครทดแทนได้ในตัวเขาแล้วสินะ!

จีหมิงซิว: คุณค่าหรือ ก็มีอยู่ ส่วนความสามารถ? หึหึ

เรื่องที่เฉียวเวยถูกผู้ใดจับตัวไปนั้น จีหมิงซิวจะยังไม่เอ่ยถึงก่อนชั่วคราว มู่อ๋องก็ไม่ได้ถามให้มากความอย่างน่าประหลาดเช่นกัน เขาแค่เพียงนั่งอยู่บนตำแหน่งประธานด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ระหว่างที่ดื่มด่ำกับชาหลงจิ่งก่อนฤดูฝนของจงหยวน ก็พลางอมยิ้มมองสองพี่น้องจีหมิงซิวไปด้วย

ใต้เท้าเจ้าสำนักกำลังเหม่อ

จีหมิงซิวแอบเตะน้องชายของตน แล้วใช้สายตาสงสัญญาณพลางกระซิบบอกว่า “เรียกท่านพ่อ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักกรอกตาบนใส่ “เหตุใดต้องเป็นข้าเรียกด้วย ไม่ใช่ข้าที่ให้ไปตามหาลูกสะใภ้เสียหน่อย สะใภ้ของใครก็เรียกท่านพ่อเอาเองสิ!”

จีหมิงซิวบอกว่า “เจ้าจะเรียกหรือไม่เรียก”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ไม่เรียก!” ตีให้ตายก็ไม่เรียก!

จีหมิงซิวเลยบอก “เดี๋ยวให้เจ้าไปเจอฟู่เสวี่ยเยียน”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “ท่านพ่อ!”

น้ำเสียงทั้งใสทั้งกังวาน หนำซ้ำยังฟังดูจริงใจว่าตอนเรียกจีซั่งชิงอีกด้วย

มู่อ๋องดูจะพอใจมาก ใบหน้าที่ดำมืดอยู่ใต้แสงจากลำเทียน ยังคล้ายส่องให้เกิดความแดงระเรื่อที่แทบมองไม่เห็น

สายตาของเขาพลันเปลี่ยน หันมอง “บุตรชายคนโต” ของตนด้วยสายตายินดีและวาดหวัง

จีหมิงซิวยกชาจิบเรียบๆ “อย่าละโมบจนเกินไป”

มู่อ๋องหน้าม่อยลงทันที

หลังจากส่งมู่อ๋องไปแล้ว จีหมิงซิวก็ลุกขึ้นจะกลับห้อง

ตาหงส์ของใต้เท้าเจ้าสำนักพลันเปลี่ยนขณะเรียกพี่ชายตนไว้ แค่นเสียงหึหึออกทางจมูกก่อนบอกว่า “เจ้าบอกแล้วว่าจะให้ข้าไปเจอนาง ห้ามกลับคำเด็ดขาดนะ!”

จีหมิงซิวหัวเราะเสียงเบา “อื้อ ไม่กลับคำหรอก จะต้องให้เจ้าได้พบนางในยามที่เจ้ามีชีวิตอยู่แน่”

ตอนฟังครึ่งประโยคแรก ใต้เท้าเจ้าสำนักยังนึกลิงโลดอยู่ในใจ แต่ประโยคหลังนั่นอะไรกัน อะไรคือ “ในยามที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่”

จีหมิงซิวหัวเราะทีหนึ่งก่อนจะเดินออกจากโถงน้ำชาไปด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างแจ่มใส

ใต้เท้าเจ้าสำนักพลันขนตั้งชัน “ไอเจ้าแซ่จี! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าพูดมาให้ข้าฟังชัดๆ! ว่าเจ้าจะพาข้าไปพบนางเมื่อไรกันแน่ เจ้ากลับมาบอกข้าก่อน!”

ตกดึกสงัด ภายในวังหลวง ณ ศาลารับลมที่อยู่ห่างไกลผู้คน ฮองเฮาได้พบกับชางจิวที่มารายงานภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

สีหน้าชางจิวดูย่ำแย่เล็กน้อย “ขอโทษด้วยขอรับ ข้าทำพลาด”

ฮองเฮาตีหน้าดุดัน “พลาดได้อย่างไร เจ้าพานักรบมรณะไปตั้งมากมายเพียงนั้น จะจับสตรีเพียงนางเดียวไม่ได้เชียวหรือ”

นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้ชางจิวหงุดหงิดใจ ทั้งๆ ที่พาคนไปตั้งมากเพียงนั้น ชัยชนะอยู่ในกำมือแล้ว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าทหารรักษาพระองค์จะปรากฏตัวขึ้น

ตรงมุมปากฮองเฮามีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้น “มู่อ๋องให้ทหารรักษาพระองค์เคลื่อนพลหรือ น่าสนใจ”

ชางจิวบอกว่า “มู่ชิวอ๋องยังอยู่ในมือจีหมิงซิว มู่อ๋องจะเล่นงานพวกเขาก็กลัวบุตรของตนจะเป็นอันตราย จึงจำต้องรับคำขู่ของพวกเขา”

ฮองเฮาเด็ดดอกไม้มาใบหนึ่ง เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถิด ช่วงนี้อย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลามก็แล้วกัน”

ภายในตำหนักบรรทมของฮองเฮา ฟู่เสวี่ยเยียนกับอินทรีทองกินมื้อดึกกันนิดหน่อย จากนั้นก็ออกไปเดินเล่นที่สนามเป็นเพื่อนอินทรีทอง

ฮองเฮาไม่โปรดคนมาก นอกจากเวลางานแล้ว ในสนามจึงมีนางกำนัลเดินไปมาให้เห็นน้อยนัก

เวลานี้ภายในสนามที่กว้างขวางเหลือเพียงนางกับอินทรีทอง กับเงาบนพื้นที่สะท้อนมาจากแสงจันทร์เท่านั้น

อินทรีทองเรอออกมาด้วยความอิ่ม

ฟู่เสวี่ยเยียนยิ้มบางๆ แล้วลูกศีรษะมัน

อินทรีทองกระโดดหนี เป็นการบอกให้ฟู่เสวี่ยเยียนตามมา

ฟู่เสวี่ยเยียนหัวเราะพลางไล่ตามมันไปก้าวหนึ่ง

มันก็กระโดดหนีไปอีกครั้ง!

ฟู่เสวี่ยเยียนอุ้มท้องหกเดือนอยู่ จึงคร้านจะไล่ตามมัน มันกระโดดไปมาของมันเองอยู่พักหนึ่งก็เกิดเบื่อจึงกระโดดกลับไปตรงระเบียงทางเดิน

ขาขวาของมันยังคงไม่หายสนิทดี ยังต้องอาศัยขากลอยู่ ขากลมีแรงดีดสูง โดดทีไปได้ไกลสามฉื่อ ไม่เท่าไรมันจึงกระโดดไปถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง

ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้า “กลับมา”

อินทรีทองอยู่กับเจ้าตัวเล็กสามตัวนั่นจนเสียเด็กไปแล้ว จึงไม่เชื่อฟังเมื่อในอดีตอีก มันกางปีกที่กว้างราวกับมหาสมุทรของมันออกแล้วกระพือลมจนประตูเปิดออก

แต่นี่เป็นห้องหนังสือของฮองเฮา!

ถึงแม้จะไม่สถานที่ต้องห้ามถึงเพียงนั้น ยามปกตินางก็เข้าไปได้ แต่นั่นก็อยู่ในสายตาของฮองเฮาทุกครั้ง เวลานี้ฮองเฮาไม่อยู่ อย่าได้รุกล้ำเข้าไปในห้องหนังสือเลยจะดีกว่า

ฟู่เสวี่ยเยียนแสร้งทำเป็นดุด้วยการถลึงตาใส่อินทรีทองทีหนึ่งพร้อมกับก้าวเข้าไปหา

เวลานี้อินทรีทองก็ไม่กลัวที่นางถลึกตาใส่แล้ว (เป็นผลงานของเสี่ยวไป๋นะ ที่ถูกเฉียวเวยโบยตีอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังอาจหาญไม่มีเกรงกลัว) มันทำใจกล้า พอเห็นฟู่เสวี่ยเยียนตามมา มันก็ดีใจใหญ่ ยิ่งกระโดดด้วยความยินดี แล้วกระโดดเข้าไปในห้อง!

“เจ้านี่นะ” ฟู่เสวี่ยเยียนเข้าไปในห้องด้วยความจนใจ พอเห็นอินทรีทองที่กระพือปีกอยู่ในห้องอย่างบ้าคลั่ง หมายใจจะพัดให้ห้องกระเจิดกระเจิงเช่นนั้น น่าก็กดเสียงให้ต่ำลง “หากยังไม่เชื่อฟังอีก ข้าจะจับเจ้าไปขังอยู่ในกรงนะ”

วิธีการนี้ยังนับว่าได้ผล

อินทรีทองทำคอตก ก้าวเดินไปทางประตูห้อง แต่ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า คล้ายเป็นการบอกให้รู้ว่าตนเป็นนกผู้น่าสงสารที่ต้องการความรัก

ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายหน้าด้วยความจนใจ ไม่ได้สนใจมัน และเริ่มเก็บกระดาษที่ถูกมันพัดเสียปลิวว่อน

การที่ต้องก้มเก็บของทั้งท้องใหญ่ๆ นั้น มากน้อยอย่างไรก็ไม่สะดวกอยู่บ้าง กว่าจะเก็บทุกอย่างให้เข้าที่ ฟู่เสวี่ยเยียนก็ปวดเอวเสียแล้ว

ฟู่เสวี่ยเยียนวางกระดาษลงบนโต๊ะหนังสือ ด้วยเพราะเหนื่อยเกินไป มือเรียวจึงเท้าลงกับโต๊ะ ไม่รู้มือนางไปเท้าถูกอะไรเข้า จู่ๆ โต๊ะหนังสือก็มีลิ้นชักสี่เหลี่ยมเล็กๆ อันหนึ่งเด้งออกมา ของในมีสมุดบัญชีเล็กๆ อยู่เล่มหนึ่ง

สมุดเล็กๆ นั่นมองดูน่าจะมีอายุหลายปีแล้ว เนื้อกระดาษเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนๆ

ฟู่เสวี่ยเยียนมองสมุดเล่มเล็กนั้น หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็หยิบมันขึ้นมา

พอพลิกเปิด นางก็ถึงกับตะลึงงันไป

แสงจันทร์ทอประกายอ่อนๆ เข้ามา อินทรีทองก็ยื่นศีรษะเข้ามามองด้วย

อินทรีทองมองเจ้านางด้วยความอยากรู้

มือนางกำแน่นเป็นหมัด ตรงขมับมีเส้นเลือดเล็กๆ ปูนขึ้นมา หากมองให้ดีจะเห็นว่าตัวนางก็สั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม

นางเหลือบมองไปทางประตูทีหนี่ง ฉีกกระดาษหลายหน้าออกมาด้วยความรวดเร็ว จัดการยัดสมุดเข้าในอกเสื้อ ปิดกลไกอันนั้นให้โต๊ะหนังสืออยู่ในสภาพเดิม

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ นางก็ยกเท้าก้าวออกจากห้องสมุด

แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพอเดินเลี้ยวก็เจอข้ากับฮองเฮาที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าดุดันเข้าอย่างจัง

************************