เล่ม 1 ตอนที่ 465-1 ใกล้คลอด

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 465-1 ใกล้คลอด

เฉียวเวยสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องไห้ดังระงมของสตรี นางลืมตาขึ้น ลูบข้างตัวก่อนตามสัญชาตญาณ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูยังอยู่ แต่ทางฝั่งจีหมิงซิวกับมีแต่ความเย็นเฉียบ

ใจรู้ว่าเขาไปศึกษาฝ่ามือเก้าสุริยันอีกแล้ว เฉียวเวยลอบเบาใจ เอาเสื้อนอกมาคลุมแล้วเดินออกจากห้องไป

ดึกดื่นค่ำคืนเช่นนี้ไม่รู้ว่าสตรีไม่รู้กาลเทศะนางใดมาส่งเสียงร้องห่มร้องไห้อยู่นอกฟางชุ่ยหยวนเช่นนี้ เสียงดังจนผู้คนไม่อาจหลับนอน

บ่าวไพร่จำนวนไม่น้อยในฟางชุ่ยหยวนก็ตื่นเพราะเสียงรบกวนนี้เช่นกัน มีบางคนออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น บางคนยังรั้งอยู่ในเรือน พวกคนที่ยังอยู่ในเรือนมองเห็นเฉียวเวยกันก่อน เลยรีบทำความเคารพกันใหญ่

ด้วยเพราะพูดภาษาเยี่ยหลัวไม่ได้ เฉียวเวยจึงทำได้เพียงพยักหน้าแล้วเดินไปที่หน้าประตู ก็เห็นปิงเอ๋อร์กับสาวใช้ในฟางชุ่ยหยวนหลายคนกำลังขวางคนผู้หนึ่งอยู่ เสียงร้องไห้ที่ว่าก็มาจากปากคนผู้นั้นเอง

ที่บังเอิญก็คือ เฉียวเวยรู้จักคนผู้นี้

“จั๋วหม่าน้อย” ปิงเอ๋อร์หันมาเห็นเฉียวเวย เลยรีบหันกลับมาทำความเคารพ “ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ รบกวนจั๋วหม่าน้อยแล้ว”

เฉียวเวยปรายตามองคนผู้นั้นทีหนึ่งแล้วถามปิงเอ๋อร์ว่า “เกิดเรื่องอันใดหรือ”

“นาง…” ปิงเอ๋อร์ทำท่าเหมือนจะพูดแต่ไม่พูด

คนผู้นั้นเลยผลักสาวใช้ที่ขวางหน้าอยู่เสียเลยแล้ววิ่งเข้าไปหาเฉียวเวยแทน นางทรุดลงคุกเข่าบอกว่า “จั๋วหม่าน้อย! ท่านไปช่วยคุณหนูของข้าทีเถิด!”

เฉียวเวยมองซิ่วฉินอย่างเฉยชา ไม่รีบร้อนเอ่ยอะไร

ปิงเอ๋อร์พาเหล่าสาวใช้คนอื่นเข้าไปในห้องอย่างรู้งาน ภายในสนามที่กว้างขวางจึงเหลือแค่พวกนางกันสองคน

ซิ่วฉินเดินเข่าเข้ามาคุกเข่าอยู่ข้างเท้าเฉียวเวย นางจับชายกระโปรงเฉียวเวยไว้ สองตามีน้ำตาเอ่อคลอ “จั๋วหม่าน้อย! เวลานี้มีแค่เจ้าที่จะช่วยคุณหนูข้าได้แล้ว… ข้าขอร้องเจ้าล่ะ… เจ้ารีบไปช่วยนางทีเถิด!”

เฉียวเวยดึงกระโปรงของตนกลับมาเงียบๆ “ตายจริง น่ากลัวว่าเจ้าคงกำลังหลับฝันอยู่ กำลังเดินละเมออยู่กระมัง คุณหนูของเจ้าเป็นถึงคนสนิทของฮองเฮา นางจะมีอันตรายอันใดให้สตรีอ่อนแอที่กระทั่งจับไก่ก็ยังไม่ได้อย่างข้าช่วยเหลือหรือ”

ซิ่วฉินรู้ว่าเฉียวเวยพูดไปด้วยอารมณ์ เพียงแต่นางกำลังร้อนใจ ไม่มีเวลาอธิบาย จะเถียงก็เถียงไม่ชนะ จึงขอร้องว่า “จั๋วหม่าน้อย ที่ข้ากล่าวเป็นความจริงทั้งสิ้น! เกิดเรื่องกับคุณหนูของข้าแล้วจริงๆ! นางเข้าไปในห้องหนังสือของฮองเฮาแล้วเอาของบางอย่างของฮองเฮามา แต่ถูกฮองเฮาพบเข้า… ฮองเฮากำลังกริ้วมาก…”

เฉียวเวยยิ้มเยาะ “นางเอาธนูจันทร์โลหิตของข้าไป ข้าก็ยังโกรธมากอยู่เหมือนกันนะ”

ซิ่วฉินเอ่ยอย่างร้อนรน “แต่เจ้าก็เอากลับมาแล้วไม่ใช่หรือ นางไม่เคยคิดจะเอาธนูจันทร์โลหิตของเจ้าไปจริงๆ เลย! นางเพียงแค่…”

เฉียวเวยตัดบทอีกฝ่าย “ก็แค่ดึงให้พวกเราทุกคนไปที่อื่น ฮองเฮาจะได้ลงมือได้ง่ายๆ ลักพาตัวบุตรทั้งสองของข้าไป”

ซิ่วฉินส่ายหน้าทั้งน้ำตาคลอ “ไม่ใช่อย่างนั้นนะจั๋วหม่าน้อย… คุณหนูนาง…”

“นางดีไปหมดทุกอย่าง” เฉียวเวยบอก “เจ้าจะทำลืมไปก็ได้ว่าก่อนหน้านี้นางหักหลังตระกูลจีอย่างไร แต่ข้ากลับไม่ลืม เวลานี้แค่เพียงข้าหลับตา ก็จะคิดถึงเรื่องที่นางทำกับตระกูลจี ทำกับจิ่งอวิ๋นและวั่งซูทุกครั้ง! ต่อให้เวลานี้เกิดเรื่องกับนางจริงๆ เช่นนั้นก็เป็นผลจากแผนชั่วของนางเอง! เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย เกี่ยวอะไรกับตระกูลจีด้วย เหตุใดข้าถึงต้องไปช่วยนาง!”

ซิ่วฉินสะอึกไปเลยทีเดียว

นางยังอยากพูดอะไรอีก แต่กลับพบว่าตนพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว

นางคิดว่าคุณหนูน่าสงสาร แต่ในสายตาจั๋วหม่าน้อย คุณหนูล้วนทำตัวนางเองทั้งสิ้น นางต้องอธิบายอย่างไร จั๋วหม่าน้อยถึงจะเชื่อ…

ซิ่วฉินสูดหายใจเอาเฮือกหนึ่ง หลุบตามองนาง “ที่วันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า เป็นเพราะเห็นแก่สัมพันธ์แต่เก่าก่อน เจ้าไปเสียเถิด!”

“จั๋วหม่าน้อย! จั๋วหม่าน้อย!” ซิ่วฉินกอดขาเฉียวเวยไว้

เฉียวเวยกำลังจะดึงขาตนเองกลับมา แต่จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังกัมปนาทมาจากในฟางชุ่ยหยวน ตึง! เหมือนมีบางอย่างชนเข้ากับประตูห้องนางอย่างรุนแรง!

เด็กๆ ยังอยู่ในห้อง!

เฉียวเวยผลักซิ่วฉินออกแล้วเดินไปที่ระเบียงทางเดิน

ประตูห้องถูกกระแทกจนเปิดกว้าง ใต้แสงเทียนสลัว เงาตะคุ่มกลุ่มใหญ่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ตรงธรณีประตู

คราแรกเฉียวเวยคิดว่าเป็นนักฆ่าเลยรีบชักกริชออกมา แต่พอเดินเข้าไปใกล้ถึงได้เห็นว่าสิ่งที่นอนอยู่คืออินทรีทองตัวเขื่องที่ไม่ได้พบมาหลายวัน

ขากลของอินทรีทองหักวิ่นไปแล้ว เลยทำให้มันไม่สามารถลงพื้นได้ตามปกติ ถึงได้ชนตึงเข้ากับประตูห้อง

ซิ่วฉินเก็บกริชแล้วย่อตัวลงไป แหวกปีกมันออกดูก็เห็นว่าตรงท้องมันมีธนูสั้นคมกริบดอกหนึ่งปักอยู่ ธนูสั้นนั้นปักเข้าไปลึกมาก เลือดสดๆ เลาะเปื้อนปีกใหญ่ของมันเต็มไปหมด

เฉียวเวยรีบอุ้มมันเข้าไปในห้อง เอาวางลงบนโต๊ะแล้วเปิดกระเป๋ายาจัดการทำแผลให้มัน

“ท่านแม่”

จิ่งอวิ๋นไม่รู้เดินมาถึงตัวเฉียวเวยตั้งแต่เมื่อไร

เฉียวเวยมองมือที่เต็มไปด้วยเลือดสดๆ หันหน้าไป กลัวว่าจะทำบุตรชายตกใจ เลยเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ไม่มีอะไร เจ้ารีบไปนอนเถิด”

จิ่งอวิ๋นเห็นอินทรีทองในทันที เขาถามด้วยความง่วงงุนว่า “พี่สาวฟู่มาหรือ”

เฉียวเวยอึ้งไป ไม่เข้าใจว่าเหตุใดบุตรชายถึงถามเช่นนี้ นางตอบว่า “ไม่ได้มาจ๊ะ”

จิ่งอวิ๋น “เช่นนั้นเหตุใดอินทรีทองของนางถึงอยู่ที่นี่ได้”

เฉียวเวยตกใจไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว “อินทรีทองของนาง? อินทรีทองตัวนี้เป็นของพี่สาวฟู่ของเจ้าหรือ”

จิ่งอวิ๋นพยักหน้า

ช่วงที่ถูกลักพาตัวไป เขาได้รู้อะไรมากหนึ่ง หนึ่งในนั้นก็คือที่มาของเจ้าอินทรีทองตัวนี้

หน้าอกของเฉียวเวยคล้ายถูกบางอย่างกระแทกเข้าอย่างจัง หากอินทรีทองตัวนี้เป็นของฟู่เสวี่ยเยียน เช่นนั้นคืนที่อยู่นอกเมืองผู… เป็นฟู่เสวี่ยเยียนที่ให้อินทรีทองพานางไปหาวั่งซูหรือ ครั้งที่จิ่งอวิ๋นกับหลิวเกอร์ถูกจับตัวไปนั่น ก็เป็นฟู่เสวี่ยเยียนที่ให้อินทรีทองไปช่วยพวกเขาไว้หรือ

นางดูออกแต่แรกแล้วว่าอินทรีทองตัวนี้มีเจ้าของ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจ้าของมันจะเป็นฟู่เสวี่ยเยียน

“ท่านแม่ อินทรีทองบาดเจ็บมาหรือ” จิ่งอวิ๋นถามด้วยความเป็นห่วง

เฉียวเวยอยากลูบศีรษะบุตรชาย แต่พอเห็นเลือดบนมือก็ทิ้งแขนลงแล้วเอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “แม่รักษามันให้หายได้ เจ้าไปนอนก่อนเถิด”

“ขอรับ” จิ่งอวิ๋นปีนขึ้นเตียงไปอย่างว่าง่าย ดึงผ้าห่มมาแล้วลงนอนข้างน้องสาวต่อ

เฉียวเวยจัดการทำแผลให้อินทรีทองด้วยความรวดเร็ว พอเสร็จก็เรียกซิ่วฉินไปที่ห้อง เอ่ยด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “นายของเจ้าอยู่ที่ใด”

ซิ่วฉินเช็ดน้ำตา พูดด้วยความตื่นเต้นว่า “คุณหนูถูกจับไปที่ภูเขาร้าง!”

ภูเขาร้าง?

เดิมทีเฉียวเวยคิดว่าหากนางยังอยู่ในวังหลวง ก็จะขอให้มู่อ๋องช่วยออกหน้าให้ แล้วรับตัวฟู่เสวี่ยเยียนกลับมาที่จวน แต่ตอนนี้ตัวนางไปที่ภูเขาร้างอะไรนั่นแล้ว ดูท่าต่อให้มู่อ๋องออกหน้าอีกฝ่ายก็คงไม่ยอม

หลังจากเฉียวเวยใคร่ครวญดูแล้ว นางก็เรียกอาต๋ากับไห่สือซานมา แล้วให้ทั้งสองคอยเฝ้าอยู่ที่ฟางชุ่ยหยวน

เฉียวเวยก็คิดอยากจะบอกให้จีหมิงซิวรู้ แต่จีหมิงซิวกำลังฝึกวิชาอยู่ กลัวว่าหากไปรบกวนจะทำให้ทาสไฟเดินจนเข้าสู่ทางมารไป เฉียวเวยเลยปัดความคิดนี้ทิ้งไป เปลี่ยนเป็นเดินไปทางห้องตะวันตกแล้วเรียกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับสือชีไปแทน พร้อมกับพาเสี่ยวไป๋ออกจากฟางชุ่ยหยวนไปด้วย

พอคณะของพวกนางเดินไปถึงปากประตูจวนอ๋อง ก็บังเอิญเห็นใต้เท้าเจ้าสำนักในอาภรณ์สีน้ำตาลกำลังยืนรับลมอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ตัวเขาสูงโปร่ง ใบหน้าประหนึ่งหยก หากไม่พูดอะไรก็ดูว่ามีท่วงท่าความเป็นโหราจารย์อยู่มาก

แต่พอได้เอ่ยปาก นิสัยน่าโมโหนั่นจะต้องเผยออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย “ดึกดื่นป่านนี้ออกมาทำอะไร คิดอยากเล่นงานข้าอีกแล้วใช่รึไม่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกมือนวดหู “ดูเจ้าพูดเข้า ใครจะเล่นงานเจ้ากัน นี่ไม่ได้จะออกไปทำงานสำคัญกันหรอกหรือ”

“เรื่องสำคัญอะไรถึงพาข้าไปด้วยไม่ได้” เขาหันไปหาเฉียวเวยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เฉียวเวยชะงักไป เอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ก็ดี เจ้ามาด้วยกันเลยแล้วกัน”

เมียกับลูกอยู่ในอันตราย คนเป็นพ่ออย่างเขาไม่ควรทำว่าธุระไม่ใช่จริงๆ

พวกเขาขึ้นนั่งรถม้า มุ่งหน้าไปยังภูเขาร้างที่ซิ่วฉินบอก

ระหว่างทาง ซิ่วฉินบอกเล่าสถานการณ์ของฟู่เสวี่ยเยียนให้ฟังอย่างละเอียด… ในตอนนั้นนางกำลังอาบน้ำอยู่ในห้อง ฟู่เสวี่ยเยียนกินอะไรเสร็จก็ออกไปเดินเล่นที่สนามกับอินทรีทองตามปกติ ฮองเฮาออกไปข้างนอก ไม่รู้ว่าไปเข้าเฝ้าราชาเยี่ยหลัวหรือไม่ แต่สรุปแล้วคือไปนานมาก นางไม่ได้สนใจ อาบน้ำเสร็จก็ไปซักเสื้อผ้าที่ลานด้านหลัง

ระหว่างที่ซักไปได้ครึ่งทาง นางก็ได้ยินเสียงตบกังวานใสดังมาจากห้องหนังสือของฮองเฮา คราแรกนางไม่ได้คิดว่าคนที่ถูกตบจะเป็นนายหญิงของตน จนกระทั่งในห้องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธของอินทรีทองดังมา นางถึงได้พอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นางวางเสื้อผ้าที่ซักไปได้ครึ่งทางลงแล้ววิ่งไปที่ห้องหนังสือ ไปถึงก็ได้ยินฮองเฮากำลังกล่าวด้วยความโกรธว่า “เจ้าช่างใจกล้านักนะ กระทั่งของของข้าก็ยังกล้าเอาไป เจ้าคิดจะเอาไปให้ผู้ใด เจ้าพวกคนตระกูลจีนั่นหรือ”

นางคิดจะเข้าไปช่วยฟู่เสวี่ยเยียน แต่ฟู่เสวี่ยเยียนกลับส่ายหน้าให้นาง

นางพยายามข่มใจไม่ขยับเข้าไป ได้แต่มองนักรบมรณะสองคนพาตัวฟู่เสวี่ยเยียนออกจากวังหลวงไป

หลังจากนั้นอินทรีทองออกไป

นางลอบสะกดรอยตามไป ตามไปได้ครึ่งทางก็ถูกสลัดจนหลุด

ได้ฟังถึงตรงนี้ ตัวของใต้เท้าเจ้าสำนักก็แผ่ไอเย็นยะเยือกออกมา

เฉียวเวยเหลือบมองเขาทีหนึ่ง คิดอยากพูดบางอย่างแต่สุดท้ายก็ห้ามใจไว้ หันไปเอ่ยกับซิ่วฉินว่า “ในเมื่อเจ้าถูกพวกเขาสลัดหลุดแล้ว เหตุใดจึงยังรู้ว่าพวกเขาไปที่ภูเขาร้างเล่า?”

ซิ่วฉินบอกว่า “พวกเขามีจุดรวมพลอยู่ที่ภูเขาร้าง เรื่องที่บอกกล่าวกับผู้ใดไม่ได้ล้วนอยู่ที่นั่นทั้งหมด”

“จุดรวมพล?” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยลูบคาง “คงไม่ใช่ตรงนั้นที่ไห่สือซานพาข้ากับนายน้อยไป…ที่มีแต่นักรบมรณะนั่นหรอกนะ ค่ายใต้ดินที่กระทั่งแมลงวันสักตัวก็ยังบินเข้าไปไม่ได้น่ะ”

สุดท้ายก็เป็นสถานที่ที่เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดถึงจริงๆ ซ้ำยังเป็นค่ายใต้ดินที่มีศิษย์มรณะเฝ้าอยู่ชั้นแล้วชั้นเล่าเสียด้วย

ชั่วขณะที่ได้เห็นศิษย์มรณะมากมายเพียงนั้น เฉียวเวยถึงขึ้นเกิดความคิดอยากตบเยี่ยนเฟยเจวี๋ยให้ตายขึ้นมาเลยทีเดียว เจ้าปากอัปมงคลนี่ เหตุใดถึงทำคนกันเองเช่นนี้ได้ลง

หากเป็นสถานที่อื่น ด้วยกำลังภายในของสือชีกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยบางทีอาจจะพอลองดูได้ แต่ที่นี่ คงต้องใคร่ครวญให้ดีก่อนเสียแล้ว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าค่ายใต้ดินแห่งนี้มีประตูหลังหรืออะไรบ้างหรือไม่” เฉียวเวยถามซิ่วฉิน

ซิ่วฉินคิดก่อนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เพียงแต่เคยได้ยินคุณหนูพูดถึงที่แห่งนี้ครั้งหนึ่ง”

“หรือว่า…ลองไปหามู่อ๋องดูดี” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามอย่างใจเสาะ

เฉียวเวยเกิดหวั่นไหวขึ้นมาชั่วขณะ แต่ไม่นานก็ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไป “เจ้าเห็นนักรบมรณะที่อยู่ที่นี่ไหม ซ่อนรังนักรบมรณะไว้มากเพียงนี้ หากข่าวรั่วออกไปคงมีโทษถึงชีวิตแน่ ต่อให้ราชาเยี่ยหลัวโปรดปรานนาง มีเมตตาไว้ชีวิตนาง แต่นักรบมรณะพวกนี้ก็คงเก็บไว้ไม่ได้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยืดตัวตรง “เช่นนั้นก็พอดีเลยมิใช่หรือ ทะลายรังเก่าของนางเสียเลย!”

เฉียวเวยเอ่ยเบาๆ ว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะทะลายได้หรือไม่ ที่มู่อ๋องดีกับพวกเราเพียงนี้ก็เพราะเขาคิดว่าหมิงซิวกับหมิงเยี่ยเป็นบุตรในอุทรของเขา หากมู่อ๋องพาทหารมาล้อมค่ายใต้ดินแห่งนี้ไว้ ด้วยนิสัยของสตรีนางนั้น เชื่อว่าต้องพยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับมู่อ๋องห่างเหินกันแน่ ถึงตอนนั้น ชาติกำเนิดของหมิงซิวกับหมิงเยี่ยคงมีโอกาสที่จะถูกเปิดเผยออกมา หากมู่อ๋องรู้ว่าพวกเรากำลังใช้ประโยชน์จากเขา มีหรือจะช่วยพวกเราชิงตัวฟู่เสวี่ยเยียนกลับมา”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขมวดคิ้ว “ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ใช่บุตรบุญธรรมของเขาหรือ”

เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าก็บอกอยู่ว่าเป็นบุตรบุญธรรม”

“เฮ่อ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถอนหายใจยาว “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร”

เฉียวเวยใช้ความคิด “คอยสังเกตการณ์ก่อนก็แล้วกัน”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนของนางสักเท่าไร “คราก่อนพวกเรารอกันอยู่หนึ่งคืนเต็มๆ สุดท้าย…”

พูดไปยังไม่ทันจบ สองหูของสือชีก็ขยับ แล้วสกัดจุดใบ้ของเขาทันที!

เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “…”

อย่าใช้วิธีการนี้ทำให้เขาเงียบได้หรือไม่

พอสือชีขยับเช่นนี้ ทุกคนก็รู้ว่าคงเกิดบางอย่างขึ้นแล้ว จึงพากันกดตัวให้เตี้ยลง เอาตัวซุกเข้าไปในพุ่มไม้ มองผ่านพุ่มไม้ออกมาเพ่งมองอย่างเอาเป็นเอาตายไปทางค่ายใต้ดิน

*************************